วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

หากมีปรีชาญาณการโฆษณาก็ไม่จำเป็น

หากมีปรีชาญาณการโฆษณาก็ไม่จำเป็น
หลายครั้งที่ขับรถออกจากวัดในเวลากลางคืน แล้วต้องติดอยู่บนถนนสาทร แสงไฟจากป้ายโฆษณาช่างสว่างแรงแทงเข้าตาจนพล่ามัว ช่างเจิดจ้าเกินคำว่าพอดิบพอดีเสียจริง ๆ ป้ายโฆษณาสมัยนี้ มีแสงสีที่สวยงาม แต่ความงามนั้นถูกทำลายลงด้วยการใช้แสงที่จ้าและแรงเกินไป แทนที่คนจะจดจำสินค้า กลับสร้างแรงขัดเคือง วิวัฒนาการของป้ายโฆษณาก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกลายเป็นระบบ มีบริษัทเข้ามาประมูลเพื่อเช่าพื้นที่ เพื่อเช่าเสา เช่ากำแพง แถมบริษัทขนส่งมวลชนใหญ่ ๆ ยังเปิดให้เช่าพื้นที่ข้างพาหนะ เมืองไทยเราเต็มไปด้วยการโฆษณา ติดป้ายกันแบบฟุ่มเฟือย ทุกตึกต้องติดจอใหญ่ เพื่อฉายโฆษณา ตามเสาไฟฟ้า ตามกำแพง แทบไม่มีที่ว่างเว้น แม้กระทั่งถังขยะหน้าบ้านก็ยังมีคนเอาป้ายโฆษณาหมูกระทะมาติด จะเยอะไปไหน



พูดถึงสื่อต่าง ๆ ที่เราเสพ ต้องมีโฆษณาขั้น รายการโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ล้วนได้กำไรจากการขายโฆษณากันทั้งนั้น และบริษัทที่ซื้อโฆษณาบางทีก็เป็นตัวกำกับ กำหนดเนื้อหา รูปแบบไปเสียเอง ทำให้ขาดการสร้างสรรค์ และเมื่อรูปแบบของตัวสื่อเปลี่ยนไปอยู่ในรูปแบบใหม่ โฆษณาก็ยังตามมา ใครช่องไหน หรือบุคคลใดเป็นที่โด่งดัง ได้รับความนิยม ก็จะมีบริษัทต่าง ๆ มาเสนอมาสนับสนุน เพราะเห็นว่านี่เป็นช่องทางเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย ไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนไป ยังไงๆ การโฆษณาชวนเชื่อก็ไม่มีวันหมดไป



ชีวิตนี้เต็มไปด้วยโฆษณา ทำให้คิดถึงบทเพลงท่อนหนึ่งของคุณมาโนช พุฒตาล ที่ว่า.... โฆษณา โฆษณา หันไปทางไหนก็เจอแต่โฆษณา โฆษณา  โฆษณา พวกเราบ้าโฆษณา กันไปทั้งบาง ...




            ใช่หรือไม่ ชีวิตของคนดีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยปรีชาญาณ ไม่จำเป็นต้องโฆษณา เพียงแค่กระทำความดี และยึดมั่น มุ่งมั่นที่จะทำดีตลอดไป แล้วความดีงามจะเป็นตัวประกาศให้ผู้อื่นได้รับรู้ เฉกเช่น ความเชื่อที่มั่นคงของชุมชนวัดเซนต์หลุยส์ ผ่านมา 60 ปี ก็เป็นการประกาศถึงความรักของพระเป็นเจ้าได้เป็นอย่างดี โดยมิต้องเสียเงินเสียเวลาไปโฆษณา...

วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ตาย(ได้)ดี 4.0

ตาย(ได้)ดี 4.0
ในช่วงนี้ได้เห็นคนสาธารณะหลายคนดับสูญสิ้นชีพไป โดยเฉพาะคนในแวดวงบันเทิง หรือแม้กระทั่งคนคุ้นเคย เพื่อนสนิทมิตรสหายต่างก็ล้วนสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปหลายคนเช่นกันเรียกว่าเดือนนี้เป็นเหมือนเดือนดาวดับ ครั้นลองมานึก ๆ ดูตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา ในหลายช่วงเวลาก็ได้มีส่วนเข้าไปข้องเกี่ยวโดยตรง ได้ไปร่วมแสดงความเสียใจ ร่วมงานศพ โดยเฉพาะพี่สาวคนลาว (ที่รู้จักกันในยามทุกข์) ที่ยังคิดถึงอยู่ตลอดเวลา นี่ก็ใกล้จะครบร้อยวันแล้ว จากที่เคยนั่งเล่นนั่งคุยกันในวันที่ไปเยี่ยมเยียนในโรงพยาบาล มีช่วงดูแลช่วยเหลือกันมาสักระยะหนึ่ง มาวันนี้ร่างกายพี่สาวคนนั้นก็หายไปจากโลกนี้ คิดแล้วมันใจหายเสียจริง ๆ แต่สิ่งนี้ คือความจริงที่เราต้องประสบพบเจอ ในช่วงเวลาหนึ่งเราก็ต้องเห็นคนที่เรารักนับถือ คนรู้จัก คุ้นเคยคุ้นชินลาลับหายไป คงจะเหลือไว้แต่ความทรงจำที่ดีต่อกัน ใช่หรือไม่ เราก็ควรที่จะเก็บเกี่ยวส่วนดี ๆ ความดีของบุคคลที่จากเราไป และพยายามสานต่อความดีนั้นให้งอกเงยงดงามมากยิ่งขึ้น



และจากที่ไม่เคยข้องแวะกับโรงพยาบาลมาเลย จนมากระทั่งเริ่มสู่วัยกลางคน อยู่ในยุคไทยแลนด์ 4.0 ที่มีเชื้อโรคเกิดขึ้นมากมายควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจบนฐานดิจิตอล วันนี้เราเลยต้องเข้า-ออกโรงพยาบาลนั้นทีนี้ทีเป็นว่าเล่น เพื่อไปเยี่ยมไปดูแลและให้กำลังใจคนป่วย ยิ่งทำให้เห็นความทุกข์ยากจากความเจ็บปวดของคนยุคนี้มากขึ้น ในทุกโรงพยาบาลเต็มไปด้วยคนป่วย พยาบาล คุณหมอ มีไม่พอ ทั้ง ๆ ที่เรามีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ แต่เรากลับไม่เคยเอาชนะต่อโรคภัยได้เลย ในยุคที่เรามีอาหารเสริม วิตามินบำรุง เต็มท้องตลาด แต่ก็ยังไม่อาจจะต้านโรคร้ายได้เลย
จากความสูญเสียบุคคลที่รู้จักทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ส่วนมากจากไปด้วยโรค "มะเร็ง" เสียเป็นส่วนใหญ่ โรคที่คุกคามชีวิตคนยุค 4.0 ยุคที่เรามีสารที่เข้าสู่ร่างกายหลากหลาย จากข้อมูลของศูนย์มะเร็งแห่งประเทศไทยพบว่า โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายสูงเป็นอันดับ 1 ของคนไทย ต่อเนื่องนานกว่า 13 ปี นับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา และข้อมูลล่าสุด จากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พบอีกว่า คนไทยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งกว่า 60,000 คนต่อปี ขณะที่มีรายงานการเสียชีวิตปีละเฉียด 8 ล้านคนทั่วโลก ล่าสุด องค์การอนามัยโลกคาดว่า อีก 21 ปีข้างหน้า จะมีผู้ป่วยมะเร็งเพิ่มขึ้นปีละ 24 ล้านคน และแม้ว่าวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์จะพัฒนามากขึ้นกว่าสมัยก่อน แต่บ่อยครั้งก็แค่เป็นการชะลออาการ พูดอีกนัยหนึ่งเป็นเหมือนกับเปิดโอกาสให้คนป่วยและญาติพี่น้อง ให้พร้อมรับมือกับการจากลา เป็นการเตรียมตัวสู่วันสุดท้ายอย่างดี



ความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อมจริงๆ แต่เราต้องไม่กลัว หลายครั้งหลายคนที่ได้ไปพบเห็นสามารถที่จะเตรียมตัวน้อมรับสัจจะข้อนี้ได้อย่างงดงาม ยามจากไปไม่ทุกข์ทรมาน จากโลกไปอย่างสงบ ลูกหลานก็จัดงานศพแบบเรียบง่าย เราต้องยอมรับว่าวันหนึ่งเราก็ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ ชีวิตต้องไม่วุ่นวายทั้งยามอยู่และยามจาก ดูเหมือนว่าคนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตยิ่งมาก ยิ่งเข้าใจความสวยงามของความเรียบง่ายของชีวิต การเตรียมตัวตายไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องทำอะไรเลย แต่เราต้องกระทำกิจการให้คนพูดถึงตอนมีลมหายใจ และคิดถึงตอนไร้สิ้นลมหายใจ
ในโลกที่มีผู้คนหลายล้าน แต่จะหายใครที่จะตายได้อย่างหมดจดสวยงามไม่ง่ายเลย แน่ล่ะ เราไม่อาจจะเลือกว่าจะตายเมื่อไรที่ไหนได้?? แต่เราเลือกที่จะตายอย่างไรมิใช่หรือ!!! ด้วยการเตรียมตัวตั้งแต่บัดนี้ เพื่อบัดนั้น เราอาจเลือกวิธีการจากโลกไปได้ การอยู่ในโลกในเวลาที่เหลืออยู่ คือ กำไร เราอาจจะตายอย่างทรมานด้วยโรคร้ายที่รุมเร้า หากนั่นคือการร่วมทนทรมานกับพระเยซูเจ้าความทรมานอาจจะนำมาซึ่งการท้อถอย นั่นแค่เป็นการพิสูจน์ความแข็งแรงทางจิตวิญญาณ หากวันนี้เรามีพระอยู่ในใจมีความดีเคียงคู่ เราย่อมสู้ทนได้ มีไม่น้อยที่ตายตาไม่หลับห่วงกังวลเรื่องโน้นเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไปแบบไม่เป็นสุขก็พลอยทำให้คนอยู่ข้างหลังเป็นทุกข์ไปด้วย



ใช่หรือไม่ เราทุกคนล้วนแต่ต้องการจากชีวิตนี้ไปอย่างมีสติและสงบ เป็นสันติสุขสุดท้ายที่เราปรารถนาอยากพบเจอ เพื่อจะไปถึงยังจุดนั้น เราต้องรู้จักที่จะใช้วันเวลาอย่างมีคุณค่า ไม่ว่าสังคมโลกจะมีการพัฒนาต่อไปอย่างไร???เราต่างหากที่จะต้องอยู่กับยุคสมัยให้ได้อย่างเป็นสุขในทุกนาทีและทำดีได้ในทุกสถานการณ์

วัดเซนต์หลุยส์ของเราผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย รับใช้บริการทั้งการเกิด แต่งงาน งานศพ เพราะทุกอย่างผ่านการเตรียมงานมาอย่างดี ผ่านวิสัยทัศน์ของบรรดาคุณพ่อมิชชันนารี ที่มีความดีและการเสียสละเป็นหลัก และเป็นเครื่องประกันว่าวันที่พวกท่านจากไปนั้นทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยความดี ใช่หรือไม่ การจากไปหรือการตายของคนดี ๆ คนหนึ่งมักส่งผลต่อคนอีกหลาย ๆ คน และในวันที่เรายังอยู่ร่วมฉลอง 60 ปีนี้ เรามีความดี เราเตรียมความดีอะไรไว้บ้าง ? เพื่อส่งต่อให้ลูกหลาน ต้องเริ่มต้นเสียแต่วันนี้ เพื่อว่าในวันสุดท้ายที่มาถึงเราจะจากลากันไปอย่างงดงาม และจะนำมาซึ่งสันติสุข มายังคนรุ่นต่อ ๆ ไป ความดีจะยังอยู่แม้ในวันที่ไม่มีเราอยู่

วันเสาร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ตัวแปร

ตัวแปร
ในวันที่ร่วมส่งดวงวิญญาณของคุณแม่เพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งนานมากแล้วที่ไม่ได้พบเจอกัน เพื่อนได้กล่าวขอบคุณในงานและได้เล่าเรื่องราวของแม่ผู้เป็นต้นแบบในชีวิต ที่ต้องสู้ทนความยากลำบากมาอย่างหนักหน่วงเพื่อเลี้ยงลูก ๆ ยันถึงเลี้ยงหลาน ๆ เพื่อให้ทุกคนเติบโตอย่างสมบูรณ์ คิดไปถึงแม่ของตัวเองและผู้เป็นแม่ของทุกคน ที่มักมีหัวใจแกร่งและยิ่งใหญ่ หลังพิธีผ่านไปอย่างเรียบร้อย ถือโอกาสได้นั่งคุยเพื่อปลอบประโลมใจกันในวันที่เพื่อนสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง เพื่อนบอกว่าเสียใจมากที่ก่อนหน้านี้มีความขัดข้องหมองใจกับแม่มาระยะหนึ่ง แต่ยังโชคดีที่มีการปรับความเข้าใจกันได้ ถึงยังงั้นเพื่อนก็ยังมิวายเศร้าใจที่ขาดความเข้าใจผู้เป็นแม่ในบางขณะ เพราะรับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของแม่ไม่ได้ จึงได้แบ่งปันจากประสบการณ์ตรงของลูกคนหนึ่งที่ต้องรับรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนไปของแม่ผู้ที่เข้าสู่วัยชรา คุณหมอคนที่พาแม่มาพบบ่อย ๆ เคยบอกว่า การรักษาโรคของผู้สูงอายุที่ดีที่สุดคือการรักษาลูกหลานควบคู่ไปด้วย เพื่อจะได้รู้ว่าควรอยู่กับพ่อแม่ที่สูงวัยและมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอย่างไร? เพราะตัวแปรสำคัญเลยคือความเข้าใจ ใส่ใจ ปล่อยวางใจบ้าง



ในชีวิตคนเรามีตัวแปรมากมาย แต่ละคนผ่านชีวิตมาไม่เหมือนกัน พ่อแม่ของหลายคนต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูลูกหลาย ๆ คน สภาพร่างกาย สมอง ความคิดถูกใช้ไปอย่างเกินขีดกำหนด พอถึงช่วงหนึ่งจึงล้า จึงเสื่อมไป ทำให้เกิดโรค หน้าที่ของเราที่ต้องดูแลพ่อแม่เราต้องปรับตัวให้ได้ ยอมรับความเปลี่ยนแปลงและอารมณ์เปลี่ยนไป พยายามอยู่กับปัญหาอย่างมีความสุข จากที่เคยเครียดกับอาการของแม่ที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ วันนี้เรากลับมองเห็นสิ่งที่แม่แสดงออกที่ผิดแผกไปกลายเป็นเรื่องเบาบาง และดูเป็นความน่ารักน่าเอ็นดู ตัวแปรที่แม่เปลี่ยนไปมันคือ ความรักที่แม่มอบให้เราเสมอ ที่เหลืออยู่คือเราต้องแปรสิ่งเหล่านี้ให้กลายเป็นความรักสืบต่อไป
ใช่หรือไม่ในชีวิตของแต่ละคนนั้น มีความยากลำบากซึ่งเป็นตัวแปรของชีวิตต่างกัน บางคนเกิดจากตัวแปรที่สร้างขึ้นเอง จากความโลภ โกรธ หลง บางคนมีตัวแปรจากสิ่งแวดล้อม จากคนแวดวงเดียวกันที่บาดหมางกัน บางคนอาจจะกล่าวโทษตัวแปรเป็นเรื่องโชคชะตาและเวรกรรมแต่ปางไหนนั่น ก็สุดแล้วแต่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะนำตัวแปรนั้นมาเปลี่ยนแปลงมาเป็นแรงผลักดัน พลิกฟื้นพื้นที่แห้งแล้งให้เป็นพื้นที่เพื่อรองรับการเจริญเติบโตทั้งฝ่ายร่างกายและจิตใจได้ ดังตัวอย่างของคนเล็ก ๆ ในสังคมเล็ก ๆ ที่ลุกขึ้นยืนได้อย่างสง่าด้วยการเอาชนะตัวแปรที่เกิดขึ้น
ฮากิ ฮารุโทโมะ เปิดร้านอาหารฝรั่งเศสในจังหวัดฟุกุชิม่า และมีลูกค้าแน่นตลอดทุกวัน ทว่า วันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2011 สถานการณ์ทุกอย่างพลิกผัน เกิดแผ่นดินไหวและสึนามิในเขตโทโฮกุ ร้านอาหารฝรั่งเศสชื่อดังที่เคยมีลูกค้าแน่นเต็มเกือบทุกโต๊ะกลับว่างเปล่า
เมื่อผ่านไปสามเดือน เชฟฮากิ ต้องเผชิญกับสภาพวันที่ไม่มีใครมาทานที่ร้านเลย หรืออย่างมาก ก็มีแขกเพียงแค่วันละโต๊ะเท่านั้น ตัวเขาเองอยู่ในสภาพหมดหวัง และเตรียมใจปิดร้านในไม่ช้า
วันหนึ่ง ขณะที่ไปหาวัตถุดิบในฟาร์มท้องถิ่น เกษตรกรคนหนึ่งได้เล่าให้เขาฟังว่า “ขายผักไม่ได้เลย แย่จัง” (ลูกค้ากลัวเรื่องกัมมันตภาพรังสี ทั้ง ๆ ที่ผักคุณภาพดี ปลอดภัย) ฮากิจึงคิดว่า ถ้าอย่างนั้น เขาจะช่วยซื้อผักของเกษตรกรมาทำอาหาร ไหน ๆ ก็ใกล้จะปิดร้านอาหารอยู่แล้ว ลองช่วยคนดีกว่า เขาจึงจำกัดลูกค้าเหลือเพียงวันละโต๊ะเท่านั้น และทุ่มเทใช้ฝีมือปรุงอาหารให้ดีที่สุด บริการให้ประทับใจที่สุ
ไอเดีย “ลูกค้าวันละโต๊ะ” กลับทำให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษ และทุกคนประทับใจในการให้บริการ พร้อมทั้งบอกปากต่อปาก เชฟฮากิ ยังมุ่งมั่นนำวัตถุดิบในท้องถิ่นมาปรุงและถ่ายทอดวิธีการทำ จนในที่สุด ปี ค.ศ. 2014 เขาได้รับรางวัลจากกระทรวงเกษตรในฐานะ Master Chef และได้เป็นตัวแทนของจังหวัดฟุกุชิม่าในการเดินทางไปถ่ายทอดเสน่ห์ของวัตถุดิบจังหวัดอีกด้วย ทุกวันนี้ เขามีความสุขกับการได้ช่วยเหลือผู้ผลิตและสังคมด้วยอาหาร




บางคนมีมากแต่ยากที่จะมีความสุข บางคนมีน้อยกลับมากล้นด้วยความอิ่มเอม เพราะความยากลำบากคือบทเรียน บทสอน เป็นตัวแปรให้ชีวิตเห็นคุณค่ากับทุกสิ่งที่ผ่านมา หลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านเข้ามาบนเส้นทางชีวิตของเรา หากเรารู้จักเลือก คัด กลั่นกรอง เพื่อการมีอยู่ของเราเกิดผล และก่อให้เกิดความดีงาม อย่าเอาตัวแปรมาเป็นอุปสรรคในการพัฒนาและการกระทำดี แต่จงใช้ตัวแปรเหล่านั้นเป็นตัวช่วยให้เราก้าวหน้าเดินสู่หนทางธรรม สู่หนทางสันติ และต้องไม่ลืมว่า หากเราพร้อมที่จะเป็นพื้นดินดีแล้ว ก็ต้องส่งความดีงามนั้นสู่สังคมโดยรอบตัวด้วย บนพื้นดินวัดเซนต์หลุยส์ในวัยก้าวย่างสู่ปี 60 แผ่นดินแห่งนี้เคยผ่านตัวแปรมานักต่อนัก แต่ยังคงยืนยงและยืนยันถึงความเชื่อต่อองค์พระคริสตเจ้า และเกิดดอกออกผลอย่างมากมาย เราก็เป็นผลหนึ่งในนั้น แล้วเราจะไม่ดำรงผลแห่งความงามนี้ต่อไปหรือ!!!.....

วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

อาจจะไม่ใช่ในสิ่งมองเห็น

อาจจะไม่ใช่ในสิ่งมองเห็น
ในระยะหลัง ๆ มานี้ มีข้อสังเกตหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกว่า คนเราวันนี้เป็นอะไรกันหมดตั้งแต่บรรดา สำนัก ข่าวที่ไร้ สำนึก ขึ้นทุกวัน ๆ ปล่อยให้พวกแอดมินเพจเที่ยวหาหัวข้อข่าวที่เรียกเรตติ้ง เรียกคนเข้ามากดไลค์ เข้ามาอ่าน มาคอมเม้นต์หาข่าวที่แปลกแหวกแนวจากลักษณะทั่วไปของคนไทย แล้วก็ใส่สีตีความ โดยไม่ได้ระบุว่าเกิดขึ้นที่ไหน ทั้ง ๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นเหตุการณ์จากต่างประเทศเกือบทั้งนั้น คนอ่านคนเสพก็ไม่ได้เข้าไปอ่านเนื้อหาข่าว ไม่ได้พินิจพิเคราะห์ขอแค่มีส่วนร่วม แสดงความคิดเห็นส่วนตัวที่คิดว่า เจ๋งสุด เก่งสุด เพราะคนเราสมัยนี้ชอบตัดสินคนอื่นภายใต้ความคิดของตัวเอง  โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร? 

ข่าวในประเทศอังกฤษ

ยุคสมัยนี้เป็นยุคที่ทุกสิ่งทุกอย่างเคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็วกว่าสายลม และคำพูดปากต่อปากก็กลายเป็นส่งต่อข้อความ เกิดการแพร่กระจายไปไกลยิ่งกว่า ความเท็จถูกสร้างให้กลายเป็นจริงเพียงไม่กี่นาที กระแสถูกจุดติดง่ายเพราะจริตของคนเราชอบที่จะดูผู้อื่นในแง่ร้ายในด้านลบ พลาดเพียงหนึ่งดึงความดีนับร้อยให้ดับสูญสิ้น ลงโทษด้วยอคติ ด้วยการกล่าวร้ายแบบไร้ความรับผิดชอบ สนุกปาก สะใจ บางคนจึงหยิบเรื่องสร้างเรื่องเพื่อเรียกความสนใจสาธารณะชนโดยไร้หัวใจ ใช่หรือไม่ โลกวันนี้เรามักตัดสินคนอื่นในมุมที่เรายึดถือ แล้วคิดว่ามุมนี้แหละดีสุด สว่างสุด สะอาดสุด โลกเราจึงดูเหมือนหยุดนิ่งปล่อยให้ทุกสิ่งเคลื่อนไป บางคนมีรูปร่างหน้าตาโหดร้าย น่ากลัว แต่จริง ๆ แล้วภายในจิตใจของเขาอาจเป็นคนที่อ่อนโยนได้ บางคนมีรูปร่างหน้าตา น่ารัก หล่อ สวย แต่จริง ๆ แล้วภายในจิตใจเขาอาจจะเป็นคนชั่วร้ายได้ใครจะไปรู้ 

การพาดหัวข่างเพื่อเรียกเร็ตติ้ง

อากงแก่ ๆ คนหนึ่ง รับหน้าที่เลี้ยงดูหลานที่กำลังอยู่ในวัยซนทั้งสี่ หลานทั้งสี่ก็เล่นกันบ้าง ตีกันบ้างตามประสาเด็ก แต่ครั้งหนึ่งรุนแรงจนถึงขนาดที่อากงต้องออกโรงห้ามปราม เมื่ออารมณ์ทุกฝ่ายสงบลง อากงจึงเรียกหลาน ๆ มาล้อมโต๊ะคุยกัน
อากงบอก เอาล่ะหลาน ๆ หลับตานะ หลับตา”  พอหลาน ๆ หลับตา อากงก็เดินกลับเข้าไปห้องเก็บของแล้วหยิบตะเกียงเก่า ๆ ออกมาอีกอันหนึ่ง อากงเปิดฝาครอบ จุดไฟ แล้วปิดฝาครอบ จากนั้นก็บอกหลานทั้งสี่ให้ลืมตา  “บอกซิว่าโคมไฟสีอะไร” เด็กทั้งสี่ลืมตาขึ้น เห็นเปลวไฟในตะเกียงสี ต่างแย่งกันตอบ คนที่นั่งด้านหนึ่งบอกว่า สีแดง” อีกด้านหนึ่งบอก สีเขียว” อีกด้านหนึ่งบอก “สีเหลือง” และอีกด้านหนึ่งเห็น สีน้ำเงิน
จากคำตอบเล็ก ๆ กลายเป็นเสียงถกเถียง และเริ่มทะเลาะกันอย่างรุนแรงขึ้นอีกครั้ง จนเกือบกลายเป็นกรณีพิพาท อากงนิ่ง ปล่อยให้อารมณ์ราวกับพายุของหลานทั้งสี่เริ่มสงบลง
หลานคนหนึ่งจึงเอ่ยปากถามว่า “อากง ของอย่างเดียวกันทำไมจึงมีตั้งหลายสี ?” อากงยิ้มแล้วบอกว่า “อากงจะทำอะไรให้ดู” อากงเดินไปที่โต๊ะหยิบฝาครอบตะเกียงออก แล้วหมุนฝาครอบนั้นให้หลาน ๆ ดูปรากฏว่าฝาครอบตะเกียงนั้น ทั้งสี่ด้าน มีสีที่แตกต่างกันไป สีแดง สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน
อากงถามอีกว่า “คราวนี้บอกอากงซิว่า เห็นตะเกียงเป็นสีอะไร ?” “สีของไฟ” หลาน ๆ ตอบเป็นเสียงเดียวกัน อากงขอถามอะไรสักสองข้อ เมื่อสักครู่นี้ใครตอบผิด ?” หลาน ๆ ตอบโดยพร้อมเพรียงกัน “ไม่มีใครผิด อากงจึงกล่าวต่อไปว่า..... “เจ้าทั้งสี่นั่งอยู่ในที่เดียวกัน มองของอย่างเดียวกันในเวลาเดียวกัน ยังเห็นไม่เหมือนกัน นั่นก็เพราะคนทุกคนมองตะเกียง จากมุมมองของตัวเองมองในสิ่งที่ตัวเองเห็นและก็เชื่อมั่นในสิ่งที่เห็น แต่ถ้าเจ้าอยากรู้ว่า ทำไมคนอื่นจึงเห็นไม่เหมือนเรา แตกต่างกับเรา ก็จงเดินไปดูที่มุมของเขา แล้วเราก็จะรู้ จะเข้าใจว่า เขาเห็นอย่างไร เห็นและคิดได้อย่างที่เขาเห็น
ต่อไปในอนาคต เวลาที่พวกหลาน ๆ ต้องเข้าไปอยู่ในสังคม จะต้องพบคนต่าง ๆ มากมายที่มองสิ่งเดียวกัน แต่กลับเห็นไม่เหมือนกัน เพราะมีมุมมองที่แตกต่างกัน ก็อย่าไปโกรธเขา เพราะนั่นเป็นเพียงแต่เป็นการมองต่างมุมไม่มีใครถูกไม่มีใครผิดและอย่าไปกลัวว่า ตัวเองจะผิดที่มองไม่เห็นเหมือนคนอื่น เพราะแต่ละคนก็จะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ด้วยขอบข่ายจากประสบการณ์ และจากสิ่งแวดล้อมของตนเอง ถ้าเราอยากเข้าใจว่า ทำไมคนอื่นถึงคิดแบบนั้น เห็นแบบนั้น ก็จงเดินไปที่มุมของเขา เราก็จะรู้ว่าเขาคิดอะไร ทำให้เราเข้าใจคนอื่นได้มากขึ้น และเมื่อเราเข้าใจคนอื่นมากขึ้น จะทำให้คนอื่นยอมที่จะเดินมาและเข้าใจหลานเช่นกัน

ภาพ  : http://smilefilmmy.exteen.com/images/899.jpg


หลายสิ่งหลายคนที่เราเห็นการกระทำของเขาวันนี้ เราต้องหัดมองผู้คนในมุมที่แตกต่าง ต้องมีการช่างใจและใช้สำนึกแห่งการเป็นลูกพระที่มีความเท่าเทียมกัน เราไม่มีหน้าที่จะตัดสินใครแต่ควรใช้การตักเตือนแบบสร้างสรรค์จะดีกว่า สิ่งที่พูดออกจากปากเราอย่าให้มันกลายเป็นของเสีย สิ่งที่ออกจากความคิดเราอย่าให้เป็นมลพิษเลย เพราะหากเราเห็นด้วยตาอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ใจที่สุขคือใจที่มองผู้อื่นอย่างชื่นชม....

วันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ฟ้ายังต่างสี

ฟ้ายังต่างสี


เมื่อรถวิ่งสู่จุดสูงสุดบนสะพานแขวน มองออกไปเห็นหลายสิ่งหลายอย่าง แม่น้ำ ตึกอาคาร สะพานข้ามฝั่ง และท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ วันนี้ท้องฟ้าสว่างมีเมฆประปราย แต่เมื่อมาถึงแถวจังหวัดเพชรบุรี ฟ้ากลับครึ้มมีสายฝนโปรยปราย จนเมื่อถึงจุดหมายปลายทางยังถิ่นหัวหิน ท้องฟ้ายามเย็นกลับมีสีสันสวยงาม ใช่หรือไม่ ฟ้าเดียวกัน ต่างที่ก็ต่างสีสัน คนเราก็เช่นกันมีความแตกต่าง มีความสามารถพรสวรรค์ไม่เหมือนกัน บางคนเหมาะกับงานอีกอย่างหนึ่ง บางคนถนัดที่จะทำตามคำสั่ง บางคนชอบสร้างสรรค์ บางครั้งคนเราอีกนั่นแหละลืมที่จะมองเห็นความต่าง ชอบที่จะเห็นความแตกจึงแยกแยะไม่ออก ชีวิตเลยจมอยู่กับสีหม่นหมองตลอดมา หากเรารับรู้ความจริงว่าท้องฟ้าที่กว้างใหญ่แต่ละวันยังไม่เคยซ้ำสี แต่ละที่ยังไม่เคยซ้ำแสง สาอะไรกับเราคนตัวเล็ก ๆ รังเที่ยวแต่จะให้ใครต่อใครต้องเป็นดังใจเรา ใช่ล่ะ บางทีความหวังดีของเราอาจจะเป็นความทุกข์ที่มิอาจจะลบเลือนได้ เพราะเฝ้าแต่มองในมุมตน ต้องหัดมองท้องฟ้าให้หลากสีจึงจะเห็นความดีในผู้คน



มีหญิงชราคนหนึ่งอยู่บ้านคนเดียว เมื่อเวลาที่ฝนตกเธอก็ร้องไห้ เมื่อเวลาอากาศดีฝนไม่ตก เธอก็ร้องไห้ ชายหนุ่มคนหนึ่งแปลกใจจึงถามหญิงชราผู้นี้ว่า เพราะอะไรครับ เมื่อเวลาฝนตกยายก็ร้องไห้ เวลาอากาศดีฝนไม่ตกก็ร้องไห้
หญิงชราตอบว่า เพราะว่าป้ามีลูกชาย 2 คน ลูกชายคนโตขายน้ำแข็ง ลูกชายคนเล็กขายร่ม เวลาที่อากาศดีฝนไม่ตก ป้าจึงคิดถึงลูกชายคนเล็กว่าต้องขายร่มไม่ดีแน่นอนและเวลาที่ฝนตกป้าก็คิดถึงลูกชายคนโต ว่าน้ำแข็งของเขาต้องขายไม่ดีเหมือนกันเพราะฉะนั้นทุกๆ วัน ป้าจึงได้กลุ้มใจและทุกข์ใจอยู่อย่างนี้
ชายหนุ่มจึงบอกกับหญิงชราผู้นี้ว่า ยาย..ยายมองอีกมุมหนึ่งไหมครับ วันไหนที่ท้องฟ้าแจ่มใส อากาศปลอดโปร่งฝนไม่ตก ยายควรจะดีใจกับลูกชายคนโตสิ ที่น้ำแข็งขายดีถ้าวันไหนฝนตก ยายก็ควรดีใจไปกับลูกคนเล็กด้วย ที่ร่มเขาขายดี
ตั้งแต่นั้นมาไม่ว่าอากาศจะเป็นอย่างไร หญิงชราผู้นี้ได้แต่ยิ้มอย่างมีความสุข (ที่มา Page เรื่องดีๆ มีข้อคิด)




บางทีชีวิตเราทุกข์เกินไปก็เพราะก็มองโลกในมุมเดิม ๆ มีทัศนคติเก่า ๆ ไม่ได้ตระหนักถึงความต่างของผู้คน คิดแต่ในกรอบของตัวเรา คนเราไม่ใช่ทุกคนที่จะเกิดมาเป็นเสาเอก บางคนอาจจะเป็นเพียงเสาเข็ม ที่หยั่งรากลึกยึดโครงสร้างให้แข็งแกร่ง แฝงตัวอยู่ใต้ดิน บางคนเป็นเสาหลักที่จะให้ผู้คนได้ยึดโยง และนี่คือความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ ฟ้ายังต่างสีมีหรือคนจะไม่ต่างกัน เคารพกันและกัน สันติสุขย่อมตามมาอย่างถ้วนทั่ว