วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ความกลัวคือสิ่งที่น่ากลัว

ความกลัวคือสิ่งที่น่ากลัว
ระหว่างที่คุยกับพี่ ๆ น้อง ๆ ผ่านทางกลุ่มไลน์ มีหนึ่งในพวกเราชวนคุยเรื่องราวในสมัยที่ยังเป็นเด็กและมีความทรงจำร่วมกัน เรื่องที่พวกเราพี่น้องนึกถึงคือ การได้ฟังเรื่องที่พวกผู้ใหญ่คุยกันยามค่ำคืน ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีทีวีมาแยกบ้าน มาแย่งความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือมายึดพื้นที่ร่วมกันให้กลายเป็นพื้นที่ส่วนตัวไปแบบสมัยนี้ และเรื่องราวที่บรรดาลุงป้าน้าอามาจับกลุ่มคุยกัน ก็มักหนีไม่พ้นเรื่องผีสางนางไม้เพื่อทำให้เด็ก ๆ อย่างพวกเรารู้สึกหวาดกลัว ถึงขนาดต้องนั่งนิ่งบนกระดานแผ่นเดียว ด้วยกลัวว่าจะมีนิ้วมือลอดช่องรอยต่อแผ่นกระดานมาจิกมาจับ มีบางจังหวะได้ขยับแนบชิดเกาะติดกับพ่อแม่แล้วก็หลับไป พอโตขึ้นเราก็รู้ว่าเรื่องราวเหล่านั้นเป็นเรื่องเล่าเพื่อความสนุกสนาน เพื่อให้เราเด็ก ๆ ไม่ออกไปซุกซนยามค่ำคืน เพราะมีแต่ความมืดมิดที่อาจจะทำให้เราไม่ปลอดภัย ความกลัวสมัยวัยเด็กคือการกลัวผี ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือ การกลัวความมืดนั่นเอง พอพ้นจากวัยเด็กก็มีความกล้าที่จะอยู่ในความมืดมากขึ้น เลิกกลัวความมืด มีวันเวลาได้นอนนับดาว  ใช่หรือไม่ ต้องออกไปอยู่กับความมืด เราจึงไม่กลัวความมืด  ก็จะพบว่าความมืดนั้นไม่น่ากลัวอย่างที่คิด  ถึงตอนนั้นเราก็ไม่กลัวความมืดอีกต่อไป 



พอเราเริ่มมีวิถีชีวิตที่พลิกผันจากรูปแบบในวันวาน มาสู่วัฒนธรรมใหม่ในวันนี้ที่ดูเหมือนมีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายมากมาย มีแสงไฟส่องทางในความมืด เรากลับมีความกลัวรูปแบบใหม่เกิดขึ้น เป็นความกลัวที่ถูกสร้างขึ้นแบบสาธารณะ สร้างให้เกิดขึ้นในความรู้สึกของผู้คนเป็นอันมาก นั่นคือ  กลัวความยากลำบาก กลัวมีรายได้น้อย  กลัวความล้มเหลว ล้วนเป็นสิ่งน่ากลัว เพราะเกิดขึ้นกับใครย่อมทำให้เป็นทุกข์ ความทุกข์ที่แท้นั้นเกิดจากใจที่หวาดกลัวต่างหาก สิ่งที่เราต้องทำคือ จัดการกับความกลัว  ด้วยการเข้าไปสัมผัสกับสิ่งที่เรากลัว
ยังมีความกลัวอีกหลายรูปแบบบนหนทางชีวิตของยุคปัจจุบัน และที่กำลังมาแรงแซงความกลัวทั้งหลายทั้งปวงคือ กลัวจะไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม หลายคนจึงพยายามหาที่หาทางเพื่อยึดเกาะเกี่ยวใช้เป็นฐานที่มั่น และสร้างตัวตนขึ้นมา แต่สิ่งมากเกินไปคือ การกลัวคนอื่นเด่นกว่าตัวเอง อันนี้อันตรายมาก การทำความดีที่คิดกันว่าน่าจะดีก็กลายเป็นการขัดแข้งขัดขากัน หลายคนจึงเบื่อหน่ายหนีหาย กลับไปอยู่ในมุมเล็ก ๆ ของตัวเอง และปล่อยให้ใครอยากทำอะไรก็ทำไป เราจึงเห็นคนสร้างภาพ สร้างตัวตนแบบจอมปลอมมากขึ้น การแสดงออกผ่านสื่อสมัยใหม่โดยไม่มีความกลัวเกรงสายตาคนอื่น กลายเป็นยิ่งกล้าทำตามกันมากขึ้น ในลักษณะแบบนี้จึงเป็นการใช้ความกล้าลบเลือนความกลัวแบบผิดที่ผิดทาง หากยังมีลมหายใจเราต้องกล้าที่จะทำดี และกลัวที่จะทำชั่ว ไม่ใช่แยกแยะไม่ออกว่าจะกล้าจะกลัวสิ่งไหนตอนไหนดี หลายคนกลายเป็นคนท้อแท้และกลัวที่จะทำดี เพียงเพราะเสียงต่อว่าและคำวิจารณ์ ใช่หรือไม่ถ้าเรากลัว เราจะต้องกล้าที่จะไปสัมผัสในสิ่งที่เรากลัว ถ้าสิ่งนั้นคือความงดงาม ไม่ใช่การหนีสิ่งที่เรากลัว การหันหน้ามาเผชิญกับมันต่างหาก คือสิ่งที่ควรทำ เพราะจะทำให้เราหายกลัว เมื่อนั้นมันจะไม่มีพิษสงอีกต่อไป

นักเขียนชาวอเมริกันคนหนึ่งเล่าว่าเขาเป็นคนกลัวขายหน้ามาก วันหนึ่งจิตแพทย์ชื่อดัง อัลเบิร์ต เอลลิส (Albert Ellis) เล่าว่า เคยแนะนำให้คนไข้ของเขานั่งรถไฟใต้ดินในนิวยอร์ค  เมื่อผ่านสถานีใดให้ส่งเสียงเรียกชื่อสถานีนั้นดัง ๆ โดยไม่ต้องสนใจว่าใครจะมองอย่างไร  เขาจึงทดลองทำดูบ้างเมื่อนั่งรถไฟใต้ดินในลอนดอน แม้จะรู้สึกประหม่าและพรั่นพรึงขณะที่ส่งเสียงดังท่ามกลางผู้คนแน่นขนัด  แต่ปรากฏว่าไม่มีใครด่าหรือทำร้ายเขาเลย มีบางคนเท่านั้นที่มองเขาด้วยสายตาประหลาด นับแต่วันนั้นความกลัวขายหน้าได้ลดลงมาก

เมื่อมาพิจารณาดูแบบจริง ๆ จัง ๆ สิ่งที่เรากลัวนั้นไม่ทำให้เราทุกข์มากกว่าความกลัว และนี่เป็นจุดอ่อนของผู้คนทุกยุคทุกสมัย  เมื่อสังคมมีวิวัฒนาการสู่ระบบทุนนิยมเสรี ใช้การบริโภคขับเคลื่อน ใช้ระบบบริหารด้วยการแข่งขัน และเพื่อให้ทุกสิ่งเข้าสู่ตลาดการค้าการขาย การจับจ่ายของผู้คนจึงถูกตั้งอยู่บนความกลัว นักการตลาดจึงรู้ดีว่า ความกลัวจะเป็นแรงจูงใจอย่างดีในการขายสินค้าและนับวันเราก็ถูกกระแสสร้างให้เกิดความกลัวสมัยใหม่เกิดขึ้นเสมอ กลัวว่าจะไม่สวยกลัวว่าจะไม่เด่น กลัวว่าจะไม่ทันสมัย กลัวจะตกเทรนด์ แล้วเราก็จะถูกบอกว่าต้องทำแบบนั้น ต้องใช้สินค้าตัวนี้ เราจึงหายกลัว มันจริงหรือ ? เราถูกทำให้กลัวด้านร่างกาย และไม่กล้าด้านชีวิตภายใน เมื่อเป็นเช่นนี้สังคมวันนี้จึงอ่อนล้าและอ่อนแอลง ต่างคนต่างกลัว ต่างคนต่างกล้าแสดงออกแบบผิด ๆ โดยคิดว่าจะมาลบเลือนความกลัว แต่ทำไมยิ่งทำเรายิ่งมีแต่ความกลัว เพราะสิ่งที่เรากล้าทำไปนั้นมันปราศจากความกล้าที่จะสัมผัสความกลัวด้วยจิตวิญญาณ พูดอย่างถึงที่สุดเรากล้าเพราะเราบูชาวัตถุภายนอกกันเกินไป เราจึงจมอยู่กับความกลัวตลอดเวลาและหาสันติสุขในชีวิตไม่พบ  ความกลัวคือสิ่งที่น่ากลัว แต่ความกล้าที่ฆ่าวิญญาณเรานั้นน่ากลัวกว่า “อย่ากลัวมนุษย์ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่าวิญญาณได้”

ไม่มีความคิดเห็น: