วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2560

ในวันที่ต้องอยู่ในการจัดการของคนอื่น

ในวันที่ต้องอยู่ในการจัดการของคนอื่น
วันสุดท้ายในรัสเซีย(ตามตารางเวลาที่วางไว้) จู่ ๆ หิมะก็ตกลงมาทั้งวันทั้งคืนอย่างหนักหน่วง หลายคนชื่นมื่นแต่เป็นสิ่งที่น่ารำคาญและแสนเบื่อของชาวมอสโคว์ ก็คงจะเหมือนกับเรา ๆ ที่บ่นเบื่อแสงแดดที่แผดเผา สำหรับคนเมืองหนาวนี่คือสวรรค์ คนเรามักจะตื่นเต้นกับสิ่งที่แปลกใหม่ ต่างไปจากวิถีประจำวัน ระหว่างทางไปสนามบิน รถรับส่งเราได้ขอหยุดจอดเพื่อทำธุระ หลายคนวิ่งลงไปเล่นและถ่ายรูปท่ามกลางหิมะขาวโผลน และมีเสียงเล็ดลอดออกมาว่า น่าจะได้อยู่ต่ออีกสักวัน!!! เสียดายหมดเวลาท่องมอสโคว์เสียแล้ว คำพูดนี้ดูจะเป็นจริงขึ้นมาเมื่อสายการบินเที่ยวกลับเมืองไทยถูกประกาศยกเลิกอย่างปัจจุบันทันด่วน เรารับรู้เพียงแค่เพื่อความปลอดภัย นั่นแหละครับท่านผู้ชม จากนั้นเราต้องเดินไปต่อแถวเรียงคิวตรวจคนเข้าเมืองอีกรอบ และไปรับกระเป๋าเพื่อไปนั่งรอรับการจัดการเรื่องที่พักและเที่ยวบินในวันถัดไป


แรก ๆ เราก็ยังใจชื้นที่ได้รับแจ้งว่ามีโรงแรมรองรับ เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละชั่วโมง รวม ๆแล้วเริ่มหลายชั่วโมง ความหิวประดังเข้ามา การจัดการก็ยังไม่ไปถึงไหน เราจึงต้องไปเรียกร้องสิทธิ์ กว่าจะได้อาหารมาทาน ต้องถามแล้วถามอีก เรื่องที่พักยิ่งห่างไกลความหวัง คิดในใจว่าคงได้นั่ง ๆนอน ๆ ในสนามบิน ทำให้คิดถึงคำพูดที่ว่า คนที่เคยอยู่ในระบบที่ทำตามคำสั่งอย่างเดียว (ระบบสังคมนิยม) จะไม่ค่อยรู้จักวิธีแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและบังเอิญเรากำลังตกอยู่ภายใต้การจัดการของคนที่เติบโตมาในระบบนี้ทั้งชีวิต ใช่หรือไม่ หลายครั้งในชีวิตที่เราต้องตกอยู่ในการจัดการของคนอื่น แบบไม่มีทางเลือก การต่อกร ต่อรองล้วนถูกปฏิเสธ จากความร่าเริง สนุกสนาน กลับกลายเป็นหงอยเหงา หิวโซ มีโมโห นี่คือวันที่เกิดเหตุการณ์พลิกพลันในสนามบิน กรุงมอสโคว์ รัสเซีย 
ทำอะไรตามใจคือไทยแท้ แต่ที่แน่ ๆ ไทยแท้ถูกลอยแพด้วยการจัดการบริหารที่ต้องรอคำสั่งจากเบื้องบนอย่างเดียว ในชีวิตจริงของเรา บางทีก็เป็นคนจัดการบริหารให้คนอื่น บางครั้งมีบ้างบางหนเราต้องตกอยู่ภายใต้การจัดการจากคนอื่น จากสิ่งอื่น หลายครั้งหลายคนก็ฝากการจัดการไว้กับการดูฤกษ์ดูยาม    นานแค่ไหนก็รอคอยได้ และยังมีความสุขและความหวังเพราะความเชื่อในโชคลาง แต่วันนี้ ยุคนี้ทุกอย่างเป็นการตลาด ต้องมีการ วางแผน ไม่ใช่นึกอยากทำอะไรก็ทำ นึกอยากไปไหนก็ไป จะไปเมื่อไร ทำเวลาใดก็ได้ ทุกอย่างมีระเบียบ กฎเกณฑ์ เราจึงรู้สึกโกรธ โมโห หากทุกสิ่งไม่เป็นไปตามแผนการ แม้จะมีกลิ่นอายความเชื่อเรื่องโชคลางอยู่บ้าง แต่ความอดทนหดหายไปมาก
นอกจากนี้ชีวิตยุคดิจิทัล ต้องมีความไวความเร็วเข้าว่า วันนี้หลายอย่างต้องเร็วสุดจึงจะเป็นดีที่สุด การไหลเวียนของข้อมูลข่าวสาร การหมุนเงินในตลาดทั่วโลกที่ตะวันไม่เคยตกดิน และทุกอย่างต้องมีความเร็วเท่าแสง ความเร็วของคนสมัยโน้นเป็นความเร็วขนาดคนเดิน ต่อมาก็ความเร็วของพาหนะอย่างเกวียนเทียมวัวควาย ถ้ารีบเร่งมากหน่อยก็วิ่ง คนวิ่ง ม้าวิ่ง (ต่อมาใช้เทียบกับแรงรถยนต์ขนาดเท่ากับกี่แรงม้า) ผู้คนอยู่กับต้นไม้ที่ค่อย ๆ เติบโต ต้นข้าวที่ค่อย ๆ ออกรวง สุก และเก็บเกี่ยว อย่างน้อยก็หลายเดือนกว่าจะได้กินข้าว เป็นความเร็วของธรรมชาติ ไม่มีการเร่งรัด ในยุคความเร็วของเมืองอุตสาหกรรมเป็นความเร็วของเครื่องจักรกล เครื่องยนต์ รถยนต์ และปรับเข้าสู่สังคมยุคข้อมูลข่าวสาร สังคมดิจิตอลที่ความเร็วเท่าแสง อะไรเกิดที่ไหนในโลกเรารับรู้พร้อมกัน เห็นพร้อมกันหมด ข้อมูลความรู้อยู่ในซอกหลืบไหนก็ค้นคว้าหามาได้หมด ความเร็วของสังคมวันนี้น่ากลัว เร่งรีบ เร่งรัด เพื่อให้ได้ทุกอย่างเร็ว ๆ ไม่มีเวลารอ เป็นสังคมที่เพ้อฝัน ทุกอย่างเป็นความเร็วแบบกึ่งสำเร็จรูป เราจึงหมดความอดทนต่อสิ่งรอบกายง่ายกว่าแต่ก่อน และตกอยู่ภายใต้ความรวดเร็วที่บีบบังคับบัญชา ช้าคือล้าหลัง
อดีต บรรพบุรุษได้สอนให้เรารู้จักจัดการชีวิต ให้อยู่อย่างมีแบบมีแผน มีกฎมีระเบียบ มีจารีตและประเพณี มีสิ่งร้อยรัดผู้คนให้เป็นครอบครัว ชุมชน ให้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน พึ่งพาอาศัยกัน ทำให้พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเรามีเรา และเลี้ยงดูเรามาด้วยภูมิปัญญาที่สืบทอดต่อ ๆ กัน ทุกสังคมก็คล้ายกันจนวันหนึ่งก็มีคนที่ค่อย ๆ เอาระบบใหม่เข้ามาจัดการชีวิตของเราแทนบรรพบุรุษของเรา ในนามของรัฐ ในนามของธุรกิจ เศรษฐกิจ การค้าการขาย มาจัดการให้เรากิน อยู่ และมีชีวิตอย่างที่พวกเขาอยากให้เป็น การศึกษาให้ไปโรงเรียน เจ็บป่วยให้ไปโรงพยาบาล ทำงานมาก ๆ จะได้มีเงินมาซื้อทุกอย่างที่ต้องการ...


กว่าจะได้ที่พักก็เกือบจะตีสองของวันใหม่ ทั้ง ๆ ที่โรงแรมอยู่ตรงข้ามกับสนามบิน เดินมาเพียง 10 นาทีก็ถึง แต่ทุกอย่างต้องเป็นขั้นเป็นตอน เป็นไปตามระเบียบ เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นว่าหลายคนทนไม่ไหวกับการรอคอยที่แสนจะยาวนานและเริ่มเหนื่อยหน่าย ก็จัดการให้เราออกมายืนรอรถที่จะมารับ ท่ามกลางหิมะโปรย และรถมีเพียงคันเดียว สามารถไปได้ทีละ 10 คน ชีวิตเราก็เป็นดังนี้มักถูกผู้อื่นจัดการ เราไม่เป็นตัวของตัวเอง เราตัดสินใจเองไม่ได้ เราทำทุกอย่างที่คนอื่นคิดให้ ทำให้ สั่งให้ทำ เราพึ่งตนเองไม่ได้ เพราะการอยู่ผิดที่ผิดทาง คนเรานั้นไม่สามารถที่จะควบคุมทุกอย่างเลย

เหนือสิ่งอื่นใดหมด สิ่งที่มีค่ามากกว่าการจัดการชีวิตตนเองและชีวิตผู้อื่นนั่นคือ การมีเมตตาต่อกัน อย่าเอากฎระเบียบมากะเกณฑ์ชีวิตจนบีบรัด อย่าเอาความหละหลวมเป็นบ่วงทำให้ชีวิตต้องจมอยู่กับทุกข์เดิมเพิ่มเติมสร้างทุกข์ให้คนอื่น แน่ล่ะ ในชีวิตจริงเรามีช่วงที่ต้องจัดการตัวเองและมีช่วงที่ต้องให้คนอื่นจัดการ ถ้าทุกการจัดการ เรามีความรักและความเมตตาเป็นแก่นกลาง เราก็ไม่ต้องกังวลหรือสาละวนว่า แผนการทุกอย่างจะเป็นอย่างที่เราหวังหรือเปล่า มอบทุกอย่างอยู่ในความวางใจพระเจ้าผู้เป็นเจ้าชีวิตที่แท้จริง แล้วเดินหน้าทำความดีต่อไป....

ไม่มีความคิดเห็น: