บ้านหลังนี้
เมื่อถึงวาระหนึ่ง
ชีวิตเราก็มักต้องพบเจอการจากลา แต่ละการจากลาก็มักมีร่องรอยแห่งความรักและความสุขทิ้งไว้เสมอ
สำหรับเราชาวเซนต์หลุยส์เราก็พบเจอกับวาระแห่งการจากลา
การโยกย้ายหน้าที่ของพระสงฆ์อยู่เสมอ ในวาระนี้ก็เช่นกัน คุณพ่อสุพจน์ ฤกษ์สุจริต
เจ้าอาวาส และคุณพ่อกรณ์อดิเรกวุฒิกุล ปลัดคนสุดท้อง
คุณพ่อทั้งสองผู้เคยร่วมชายคาบ้านแห่งนี้ บ้านที่มีคุณพ่อสุพจน์ที่ใจดี ดูแลจัดการ
สร้างบรรยากาศให้บ้านหลังนี้เป็นที่ที่มีความงามยิ่งนัก
ทำให้เกิดความรักและความสุขตลอดมา ทำให้คิดถึงภาพยนตร์เรื่อง THE SHACK กระท่อมปฎิหาริย์ ที่มิตรสหายคนหนึ่งแนะนำให้ไปดู
เป็นหนังที่ดีเหมาะกับคาทอลิกมาก ๆ เพราะมีคำสอน ข้อคิดมาก
หนังที่ถูกสร้างจากนวนิยายเรื่องเยี่ยม ผลงานปลายปากกาของนักเขียน William Paul Young
เรื่องราวในภาพยนตร์เป็นเรื่องของแม็คที่วัยเด็กถูกพ่อขี้เมาทำร้ายร่างกายครั้งแล้วครั้งเล่าในขณะทำร้ายก็ให้ท่องพระคัมภีร์ไปด้วย
เขาสงสารแม่และเจ็บแค้นเคืองคนเป็นพ่อจนถึงกับนำยาเบื่อผสมเหง้าที่พ่อกิน
ต่อมาแม็ควัยหนุ่มได้แต่งงานกับแนนผู้ศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างสุดซึ้ง
เขาพยายามสร้างครอบครัวให้อบอุ่นเพื่อชดเชยกับวัยเด็กที่ขาดความรักจากพ่อ
แม้จะไม่ศรัทธาและเชื่อในพระเจ้านัก
เพราะในใจฝังลึกด้วยว่าพระเจ้าให้ชีวิตเขาเต็มไปด้วยความทุกข์
แต่ก็ไม่เคยขัดแนนที่พาครอบครัวไปวัด ร่วมพิธีกรรมอย่างสม่ำเสมอ
(ในพิธีดูแล้วน่าจะเป็นคนละนิกาย)
ทั้งสองมีลูกด้วยกัน 3 คน
เป็นชาย 1 และหญิง 2 วันหนึ่งแม็คไปปิกนิกกับลูก ๆ แนนติดงานเลยไปด้วยไม่ได้
ในขณะที่เขากระโดดน้ำลงไปช่วยลูกสาวและลูกชายที่กำลังจะจมน้ำจากเหตุที่เรือล่มในทะเลสาบ
ลูกสาวคนเล็กได้ถูกลักพาตัวไป ตำรวจได้ออกตามหาตัวกันอย่างเต็มที่
แต่สุดท้ายพบว่าลูกสาวโดนฆ่าตายที่กระท่อมร้างแห่งหนึ่งบนภูเขา จากวันนั้นเป็นต้นมา
หัวใจของเขาก็แหลกสลาย กลายเป็นคนที่จมอยู่กับความทุกข์และการโทษตัวเอง
วันหนึ่ง...เขาได้รับจดหมายจากพระเจ้า ให้กลับไปที่กระท่อมซึ่งลูกสาวของเขาถูกฆ่า
เมื่อเขาไปถึงที่กระท่อมแห่งนั้น
เขากลับหลุดไปในโลกอีกใบหนึ่ง และพบกับผู้คนที่อ้างว่าเป็นพระเจ้าสามคน
(พระตรีเอกภาพ) และสอนให้เขารู้ถึงการให้อภัย
และวิธีการปลดปล่อยตัวเองออกจากอดีตอันแสนเจ็บปวด เขาใช้เวลาอยู่ที่นั่นถึง 10 วัน ตลอดเวลาเขาได้พบเจอกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้เขาเข้าใจชีวิตมากขึ้น
คำสอนในพระคัมภีร์ถูกถ่ายทอดให้คนดูเข้าใจได้ไม่ยากนัก เช่น
ตอนที่แม็คพายเรือออกไปเพื่อปล่อยอารมณ์กลางทะเลสาบ จู่ๆเรือก็เกิดรอยรั่ว น้ำค่อย ๆ ซึมเข้าเรือ เกิดรอยร้าวขึ้น
เขากลัวมาก และแล้วเขาก็เห็นลูกชายเจ้าของกระท่อมเดินลงบนน้ำ ชี้ทางสว่างให้กับเขา
ด้วยการบอกว่า หากเรายิ่งมองไปที่ความทุกข์เราก็ยิ่งเกิดความกลัว
แต่ยามใดที่เกิดทุกข์จงมองมายังเรา (พระเยซูเจ้า) ท่านจะไม่กลัว
แล้วก็ชวนแม็คเดินลงบนผิวน้ำ
ทำให้เรามองเห็นภาพที่นักบุญเปโตรเดินบนน้ำพร้อมกับพระเยซูเจ้าในวันที่พระองค์ทรงห้ามพายุกลางทะเล
และที่สำคัญการอธิบายถึงการให้อภัยโดยมีคำพูดในบทหนังว่า “ยกโทษ
ไม่ได้จำเป็นว่าต้องลืม”
ตรงนี้นี่เองที่ทำให้คิดถึงคำกล่าวของพระเยซูที่ว่า
เราต้องให้อภัยเจ็ดครั้งคูณเจ็ดสิบครั้ง เพื่อที่จะให้เราลืมได้
ไม่ใช่อภัยครั้งแรกแล้วจะลืมได้เลย
แม้กระทั่งเรื่อง “การพิพากษา”
มีการใช้บทสมมุติว่าหากวันหนึ่งเราต้องเป็นผู้พิพากษา เราจะพิพากษาอย่างไร??? เป็นการแทงใจดำว่ามนุษย์เราหลายคนชอบทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษา
กำหนดชั่วดีจากมุมมองของตนเอง เป็นมุมคับแคบและแฝงไปด้วยอคติ ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นผู้พิพากษา
ไม่เพียงเท่านี้ พระองค์เองแม้จะทรงเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรม แต่ก็เป็นองค์แห่งความเมตตา
ทรงรักเราทุกคนเหมือนเป็นลูก พระองค์จะทรงทำเช่นไร
หากรู้ว่าลูกทุกคนจะต้องพินาศเพราะบาปในนรก
พระองค์จึงต้องลงมาเป็นมนุษย์และรับบาปผิดของทุกคน แล้วถ้าเราต้องพิพากษาลงโทษลูกเรา
เราจะปล่อยให้ลูกเราลงสู่หุบเหวหรือ!!!
เขาได้พบกับลูกสาวของเขาที่ตายไป
และยังได้แก้ปมในใจสมัยเด็ก ๆ ที่เขามีกับพ่อของเขาอีกด้วย ตอนฟื้นขึ้นมาพบว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่
แล้วทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป เขาให้อภัยและกลับมาเป็นคนที่มีจิตใจที่งดงาม
รักพระเจ้ามากยิ่งขึ้นเพราะบ้านหลังนั้นได้สอน และมอบร่องรอยแห่งรักเพื่อลบเลือนรอยทุกข์ในใจให้หมดไป
ในชีวิตจริงของเราทุกคนย่อมหนีไม่พ้นความทุกข์ใจ
และหลายคนก็ชอบเก็บความทุกข์นี้กอดรัดไว้อย่างเหนียวแน่น ฝังตรึงอดีตที่ปวดร้าว
หลายคนก็ใช้ปมทุกข์เพื่อพิพากษาผู้อื่น จนทำให้ชีวิตไร้สุข ครอบครัว คนรอบข้างต่างไม่ได้รับความรักจากเรา
ใช่หรือไม่
บ้านเซนต์หลุยส์หลังนี้ ได้ทำให้เราพบกับความสุข หลายคนคลายจากความเจ็บปวด
หลายคนได้รู้จักพระเจ้าผ่านทางคุณพ่อทั้งสองท่าน ที่ทำให้บ้านหลังนี้อบอุ่น
และอบอวลไปด้วยไออุ่นแห่งความรักและเมตตาตลอดมา
การมาเข้าร่วมมิสซาเสมือนกับการที่เรากลับมาบ้าน บ้านที่อบอุ่น
มีคำพูดคำเทศน์สอนเตือนจิตใจเราเพื่อให้เราใช้ชีวิตจริงอย่างดี ลบรอยทุกข์เพิ่มรอยรักในสายสัมพันธ์กับผู้คนรอบตัว
แสงสว่างที่คุณพ่อออกแบบเพื่อเสริมสร้างให้ในวัดมีความสดใสและงดงามยิ่งนัก
คุณพ่อเหมือนปาป้าที่ใจดีมีความเอ็นดูต่อเด็ก ๆ ที่มักวิ่งเข้ามาหาทุกครั้งในตอนเลิกมิสซา
มาทักทายมาขอขนม มาให้อวยพร สิ่งเหล่านี้มีให้เห็นในบ้านพระบ้านพักแห่งนี้ แม้คุณพ่อจะจากลาบ้านหลังนี้ไปด้วยเพราะหน้าที่ที่ต้องปรับเปลี่ยนโยกย้ายตามวาระก็ตาม
แต่บ้านในใจที่พวกเรามีพระเจ้าหนึ่งเดียวกันนั้นจะร้อยรัดพวกเราให้เป็นหนึ่งเดียวกันตลอดไป
สายใยผ่านคำภาวนาที่เรามีให้กันจะทำให้เราคิดถึงกันตลอดไป ตราบจนนิรันดร์ ชีวิตของคนเรานั้นสั้นกว่าความรักที่เรามีต่อกันเสียอีก...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น