วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

บ้านหลังนี้

บ้านหลังนี้
            เมื่อถึงวาระหนึ่ง ชีวิตเราก็มักต้องพบเจอการจากลา แต่ละการจากลาก็มักมีร่องรอยแห่งความรักและความสุขทิ้งไว้เสมอ สำหรับเราชาวเซนต์หลุยส์เราก็พบเจอกับวาระแห่งการจากลา การโยกย้ายหน้าที่ของพระสงฆ์อยู่เสมอ ในวาระนี้ก็เช่นกัน คุณพ่อสุพจน์ ฤกษ์สุจริต เจ้าอาวาส และคุณพ่อกรณ์อดิเรกวุฒิกุล ปลัดคนสุดท้อง คุณพ่อทั้งสองผู้เคยร่วมชายคาบ้านแห่งนี้ บ้านที่มีคุณพ่อสุพจน์ที่ใจดี ดูแลจัดการ สร้างบรรยากาศให้บ้านหลังนี้เป็นที่ที่มีความงามยิ่งนัก ทำให้เกิดความรักและความสุขตลอดมา ทำให้คิดถึงภาพยนตร์เรื่อง THE SHACK กระท่อมปฎิหาริย์ ที่มิตรสหายคนหนึ่งแนะนำให้ไปดู เป็นหนังที่ดีเหมาะกับคาทอลิกมาก ๆ เพราะมีคำสอน ข้อคิดมาก หนังที่ถูกสร้างจากนวนิยายเรื่องเยี่ยม ผลงานปลายปากกาของนักเขียน William Paul Young 

 เรื่องราวในภาพยนตร์เป็นเรื่องของแม็คที่วัยเด็กถูกพ่อขี้เมาทำร้ายร่างกายครั้งแล้วครั้งเล่าในขณะทำร้ายก็ให้ท่องพระคัมภีร์ไปด้วย เขาสงสารแม่และเจ็บแค้นเคืองคนเป็นพ่อจนถึงกับนำยาเบื่อผสมเหง้าที่พ่อกิน ต่อมาแม็ควัยหนุ่มได้แต่งงานกับแนนผู้ศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างสุดซึ้ง เขาพยายามสร้างครอบครัวให้อบอุ่นเพื่อชดเชยกับวัยเด็กที่ขาดความรักจากพ่อ แม้จะไม่ศรัทธาและเชื่อในพระเจ้านัก เพราะในใจฝังลึกด้วยว่าพระเจ้าให้ชีวิตเขาเต็มไปด้วยความทุกข์ แต่ก็ไม่เคยขัดแนนที่พาครอบครัวไปวัด ร่วมพิธีกรรมอย่างสม่ำเสมอ (ในพิธีดูแล้วน่าจะเป็นคนละนิกาย)
ทั้งสองมีลูกด้วยกัน 3 คน เป็นชาย และหญิง  วันหนึ่งแม็คไปปิกนิกกับลูก ๆ แนนติดงานเลยไปด้วยไม่ได้ ในขณะที่เขากระโดดน้ำลงไปช่วยลูกสาวและลูกชายที่กำลังจะจมน้ำจากเหตุที่เรือล่มในทะเลสาบ ลูกสาวคนเล็กได้ถูกลักพาตัวไป   ตำรวจได้ออกตามหาตัวกันอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายพบว่าลูกสาวโดนฆ่าตายที่กระท่อมร้างแห่งหนึ่งบนภูเขา  จากวันนั้นเป็นต้นมา หัวใจของเขาก็แหลกสลาย กลายเป็นคนที่จมอยู่กับความทุกข์และการโทษตัวเอง วันหนึ่ง...เขาได้รับจดหมายจากพระเจ้า  ให้กลับไปที่กระท่อมซึ่งลูกสาวของเขาถูกฆ่า  
เมื่อเขาไปถึงที่กระท่อมแห่งนั้น เขากลับหลุดไปในโลกอีกใบหนึ่ง และพบกับผู้คนที่อ้างว่าเป็นพระเจ้าสามคน (พระตรีเอกภาพ) และสอนให้เขารู้ถึงการให้อภัย และวิธีการปลดปล่อยตัวเองออกจากอดีตอันแสนเจ็บปวด เขาใช้เวลาอยู่ที่นั่นถึง 10 วัน  ตลอดเวลาเขาได้พบเจอกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้เขาเข้าใจชีวิตมากขึ้น คำสอนในพระคัมภีร์ถูกถ่ายทอดให้คนดูเข้าใจได้ไม่ยากนัก เช่น ตอนที่แม็คพายเรือออกไปเพื่อปล่อยอารมณ์กลางทะเลสาบ จู่ๆเรือก็เกิดรอยรั่ว  น้ำค่อย ๆ ซึมเข้าเรือ เกิดรอยร้าวขึ้น เขากลัวมาก และแล้วเขาก็เห็นลูกชายเจ้าของกระท่อมเดินลงบนน้ำ ชี้ทางสว่างให้กับเขา ด้วยการบอกว่า หากเรายิ่งมองไปที่ความทุกข์เราก็ยิ่งเกิดความกลัว แต่ยามใดที่เกิดทุกข์จงมองมายังเรา (พระเยซูเจ้า) ท่านจะไม่กลัว แล้วก็ชวนแม็คเดินลงบนผิวน้ำ ทำให้เรามองเห็นภาพที่นักบุญเปโตรเดินบนน้ำพร้อมกับพระเยซูเจ้าในวันที่พระองค์ทรงห้ามพายุกลางทะเล และที่สำคัญการอธิบายถึงการให้อภัยโดยมีคำพูดในบทหนังว่า ยกโทษ ไม่ได้จำเป็นว่าต้องลืม ตรงนี้นี่เองที่ทำให้คิดถึงคำกล่าวของพระเยซูที่ว่า เราต้องให้อภัยเจ็ดครั้งคูณเจ็ดสิบครั้ง เพื่อที่จะให้เราลืมได้ ไม่ใช่อภัยครั้งแรกแล้วจะลืมได้เลย

ภาพ  : http://d.christianpost.com/full/101774/590-244/the-shack.png

แม้กระทั่งเรื่อง การพิพากษา” มีการใช้บทสมมุติว่าหากวันหนึ่งเราต้องเป็นผู้พิพากษา เราจะพิพากษาอย่างไร??? เป็นการแทงใจดำว่ามนุษย์เราหลายคนชอบทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษา กำหนดชั่วดีจากมุมมองของตนเอง เป็นมุมคับแคบและแฝงไปด้วยอคติ ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นผู้พิพากษา ไม่เพียงเท่านี้ พระองค์เองแม้จะทรงเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรม แต่ก็เป็นองค์แห่งความเมตตา ทรงรักเราทุกคนเหมือนเป็นลูก พระองค์จะทรงทำเช่นไร หากรู้ว่าลูกทุกคนจะต้องพินาศเพราะบาปในนรก พระองค์จึงต้องลงมาเป็นมนุษย์และรับบาปผิดของทุกคน แล้วถ้าเราต้องพิพากษาลงโทษลูกเรา เราจะปล่อยให้ลูกเราลงสู่หุบเหวหรือ!!!
เขาได้พบกับลูกสาวของเขาที่ตายไป  และยังได้แก้ปมในใจสมัยเด็ก ๆ ที่เขามีกับพ่อของเขาอีกด้วย  ตอนฟื้นขึ้นมาพบว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ แล้วทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป เขาให้อภัยและกลับมาเป็นคนที่มีจิตใจที่งดงาม รักพระเจ้ามากยิ่งขึ้นเพราะบ้านหลังนั้นได้สอน และมอบร่องรอยแห่งรักเพื่อลบเลือนรอยทุกข์ในใจให้หมดไป
ในชีวิตจริงของเราทุกคนย่อมหนีไม่พ้นความทุกข์ใจ และหลายคนก็ชอบเก็บความทุกข์นี้กอดรัดไว้อย่างเหนียวแน่น ฝังตรึงอดีตที่ปวดร้าว หลายคนก็ใช้ปมทุกข์เพื่อพิพากษาผู้อื่น จนทำให้ชีวิตไร้สุข  ครอบครัว คนรอบข้างต่างไม่ได้รับความรักจากเรา




ใช่หรือไม่ บ้านเซนต์หลุยส์หลังนี้ ได้ทำให้เราพบกับความสุข หลายคนคลายจากความเจ็บปวด หลายคนได้รู้จักพระเจ้าผ่านทางคุณพ่อทั้งสองท่าน ที่ทำให้บ้านหลังนี้อบอุ่น และอบอวลไปด้วยไออุ่นแห่งความรักและเมตตาตลอดมา การมาเข้าร่วมมิสซาเสมือนกับการที่เรากลับมาบ้าน บ้านที่อบอุ่น มีคำพูดคำเทศน์สอนเตือนจิตใจเราเพื่อให้เราใช้ชีวิตจริงอย่างดี ลบรอยทุกข์เพิ่มรอยรักในสายสัมพันธ์กับผู้คนรอบตัว แสงสว่างที่คุณพ่อออกแบบเพื่อเสริมสร้างให้ในวัดมีความสดใสและงดงามยิ่งนัก คุณพ่อเหมือนปาป้าที่ใจดีมีความเอ็นดูต่อเด็ก ๆ ที่มักวิ่งเข้ามาหาทุกครั้งในตอนเลิกมิสซา มาทักทายมาขอขนม มาให้อวยพร สิ่งเหล่านี้มีให้เห็นในบ้านพระบ้านพักแห่งนี้ แม้คุณพ่อจะจากลาบ้านหลังนี้ไปด้วยเพราะหน้าที่ที่ต้องปรับเปลี่ยนโยกย้ายตามวาระก็ตาม แต่บ้านในใจที่พวกเรามีพระเจ้าหนึ่งเดียวกันนั้นจะร้อยรัดพวกเราให้เป็นหนึ่งเดียวกันตลอดไป สายใยผ่านคำภาวนาที่เรามีให้กันจะทำให้เราคิดถึงกันตลอดไป ตราบจนนิรันดร์ ชีวิตของคนเรานั้นสั้นกว่าความรักที่เรามีต่อกันเสียอีก...

ไม่มีความคิดเห็น: