บนความรุ่งเรือง
ความเสื่อมถอยจะค่อยแตกหน่อในความรุ่งเรือง
ตามประวัติศาสตร์โลกของเราที่มีอายุมาอย่างยาวนานเป็นเวลา6,000 ปี (ตามพระคัมภีร์) หรือ 4.6
ล้านล้านปี (ตามการคำนวณทางวิทยาศาสตร์)ในทุกผืนแผ่นดินถิ่นที่มีมนุษย์อาศัยรวมกันอยู่
ล้วนแล้วแต่เคยผ่านความรุ่งเรืองสูงสุดด้วยกันมาทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิอัคคาเดียน (เมโสโปเตเมีย) จักรวรรดิอคีเมนียะห์
จักรวรรดิโรมัน ราชวงศ์แมนจู จักรวรรดิรัสเซีย จักรวรรดิมองโกล จักรวรรดิโมกุล
จักรวรรดิอังกฤษ จักรวรรดิออตโตมัน และอื่น ๆ มาถึงวันนี้บางแห่งหลงเหลือแต่ชื่อ
บางแห่งเหลือไว้เพียงซากปรักหักพัง เป็นเพียงสิ่งสร้างที่ร้างรก
มีบางแห่งที่ยังเหลืออยู่แต่ต้องปรับเปลี่ยนสภาพให้เล็กลงเพื่อคงความอยู่รอด
ในการมาท่องเที่ยวเยี่ยมชมเมืองมองโคว์
ได้เวียนแวะเข้าพิพิธภัณฑ์ เวียนวังที่อลังการในหลาย ๆ แห่ง
ได้รับรู้ถึงประวัติความเป็นมาของคนชนชาวรัสเซียตั้งแต่อดีตที่ก่อตั้งจากเมืองเคียฟ
(ยูเคน ในปัจจุบัน) ถูกรุกไล่โดยมองโกล โยกย้ายมาตั้งถิ่นฐานเมืองมอสโคว์
มีบางช่วงบางสมัยไปตั้งเมืองที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (ข่าวเศร้า : มีการวางระเบิดในรถใฟใต้ดิน
มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บหลายคน สวดภาวนาเพื่อพวกเขาเหล่านั้นด้วย) จากเคยยิ่งใหญ่แย่งชิงอำนาจ
ต่อสู้กัน สูญเสียผู้คนไปไม่ใช่น้อย กว่าจะกลายมาเป็นประเทศรัสเซียได้เหมือนในปัจจุบันต้องผ่านวัฎจักรความรุ่งเรือง
เสื่อมถอย แต่ไม่ล่มสลายหายไป มีการปรับเปลี่ยน
สร้างบ้านแปรงเมืองกันใหม่หลายต่อหลายครั้งทำให้วันนี้รัสเซียยังคงความเป็นประเทศที่แข็งแกร่งประเทศหนึ่งในโลก
เมื่อพูดถึงตรงนี้ย้อนกลับไปที่จักรวรรดิมองโกล
ที่เคยรุกรานและครอบครองจักรวรรดิรัสเซีย วันนี้ก็กลายเป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ
มีพื้นที่น้อยกว่าประเทศไทยถึง 3 เท่า สมัยก่อนมองโกล คือ คนชนเผ่าหนึ่งที่เก่งกาจในการรบ การใช้ม้า ใช้ธนู
ที่เชี่ยวชาญ แต่แล้วเมื่ออาวุธการต่อสู้ของมนุษย์เปลี่ยนโฉม มีการใช้ปืนไฟ
ทำให้จักรวรรดิมองโกลพ่ายแพ้และที่สุดก็ลดความยิ่งใหญ่ที่เคยรุ่งเรืองเหลือเพียงส่วนเล็กในโลกใบนี้
แน่ล่ะ เราได้เห็นอะไรหลายต่อหลายอย่างที่มนุษย์เราสร้างเสริม
และใช้ทำลายล้างต่อกัน ต้องสูญเสียต่อชีวิตผู้คนมากมายครั้งแล้วครั้งเล่า
สิ่งเหล่านี้คือจุดที่ทำให้ความรุ่งเรืองมักกลายเป็นความเสื่อมถอย
จนบางทีถึงขั้นล่มสลายสาบสูญไป ใช่หรือไม่ ชีวิตคนเราก็เป็นดั่งคล้ายจักรวรรดิหนึ่งที่มีช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์
แต่ก็มีเวลาที่โรยราด้วยเช่นกัน
ความแข็งแกร่งที่แฝงเร้นมากับความอ่อนโยน
คนรัสเซียมีลักษณะของการผสมผสานกันระหว่างคนเอเชียกับคนยุโรป
หน้าตาสีผมจะเป็นเหมือนคนแถบยุโรปแต่รูปร่างไม่ใหญ่โตนักเหมือนคนทางเอเซีย
ด้วยความที่ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงมาอย่างต่อเนื่องจึงทำให้พวกเขาดูจะแข็งแกร่ง
และอาจจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อม อากาศที่อยู่ท่ามกลางความหนาวเย็นตลอดเวลา
จึงทำให้การอยู่การกินไม่สะดวกสบายมากนัก ชาวรัสเซียจึงขึ้นชื่อในเรื่องการยิ้มยากที่สุดในโลก แต่จริง
ๆ แล้วพวกเขาก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไร เพียงแค่เราต้องทำความเข้าใจกับธรรมชาติลักษณะของพวกเขาอย่างถูกต้องเสียก่อน
คนรัสเซียจะเป็นกันเองกับเราในการพบปะครั้งต่อ
ๆ ไป และจะแสดงความเป็นมิตรมากขึ้น ถ้าได้พบกันหลายครั้งมากขึ้น
การพูดจาจะเป็นกันเองและสนุกสนานขึ้น
แต่ในความเป็นกันเองนั้นก็มีขอบเขตที่ต่างไปจากคนไทย คนรัสเซียส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อย
“พูดเล่น” หรือ “แซว” กันเหมือนคนไทย
ผู้ชายรัสเซียค่อนข้างจะให้เกียรติผู้หญิง มักจะจริงจังตลอดเวลา สิ่งไหนทำได้ก็พูดว่า
“ได้” ทำไม่ได้ ก็บอกว่า “ไม่ได้หรือไม่แน่ใจ” เพราะถ้าบอกว่าได้
แล้วทำไม่ได้ภายหลัง จะรู้สึกว่าไม่ได้รักษาคำพูด บางทีในชีวิตจริงเราก็ไม่อาจจะตีค่าความเป็นคนของผู้คนที่เราพบเห็นได้
เพราะแต่ละคน แต่ละเชื้อชาติต่างก็มีที่มาที่ไปที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เราใช้สื่อสารกันได้เสมอนั่นคือ
ภาษาใจและความรักที่จะนำความอ่อนโยนมาให้กับเราเสมอ เช่น
ในวันที่เราไปเดินดูของที่ระลึกในตลาดแห่งหนึ่ง
แม่ค้าซึ่งพูดได้แต่ภาษารัสเซียกว่าจะคุยกันรู้เรื่องก็ต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่ง
สิ่งที่ซื้อ คือ รูปไอคอนพระ และนักบุญต่าง ๆ ที่ได้ทั้งลดราคาและของแถม ที่สำคัญ
ได้รอยยิ้มจากแม่ค้านั้นด้วย
ความเศร้าโศกมักคละเคล้ามากับความยินดีปรีดาเสมอ
อากาศในมอสโคว์เปลี่ยนแปลงได้เสมอในทุกวัน
วันหนึ่งแดดออกต่อมาฝนตกและที่สุดคือหิมะตกทั้งวันทั้งคืน ในวันที่แดดออกเราจะเห็นผู้คนในเมืองต่างดีอกดีใจออกมาพาลูกจูงหลานมาเดินเล่นในชุดที่เต็มไปด้วยสีสัน
เพราะนาน ๆ จะเจอแสงแดดสักครั้ง ไม่เหมือนกับพวกเราคนไทยเกลียดแสงแดด
พอเจอหิมะตกก็ดีใจ วิ่งออกไปรับหิมะอย่างร่าเริง มันก็เป็นเช่นนี้ เรามักยินดีในสิ่งที่เราไม่เคยพบเคยเห็นไม่เคยได้เป็นเจ้าของ
แต่ในขณะเดียวกันเราก็มักไม่ยินร้ายต่อสิ่งที่เรามีต่อสิ่งที่เราเห็นเป็นประจำ
เรามักจะได้ยินได้เห็นคนที่ชอบต่อว่าประเทศหรือถิ่นของตัวเองอยู่เสมอ
ในการดำเนินชีวิตของเราก็เช่นกันเรามักเรียกร้องและแสวงหาอยากได้นั่นได้นี่
อยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อยากจะเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้า นำมาซึ่งความโลภ
และความอยากได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด แต่...หากเรารู้จักที่จะประมาณตัว รู้จักที่จะจัดวางตัวได้
เราย่อมเดินไปในทุกที่ทุกเวลาอย่างผู้รู้ตัวและมีความสงบสุข
ดุจดังพระเยซูเจ้าในวันประทับบนหลังลาอย่างนิ่งสงบ
ท่ามกลางประชาชนมาต้อนรับการเข้าเมืองของพระองค์อย่างหนาแน่น เพราะพระองค์รู้ว่าในความยินดีนั้นนำมาซึ่งความเศร้าโศกในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ในความรุ่งเรืองของทุกอาณาจักรบนโลกย่อมมีวันเสื่อมสลาย
แต่อาณาจักรใจที่พระองค์ได้ปลูกฝังไว้ในคำสอนสั่งจะไม่มีวันเสื่อมสลายลงได้
นี่คือบทเรียนที่เราต้องหมั่นทบทวนอยู่เสมอ ๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น