วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2559

จึงออกตามหาความหมาย

จึงออกตามหาความหมาย
            อีก 365 วันผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลายเรื่องราวผ่านเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัวเตรียมใจรับ แต่ทุกสิ่งก็ผ่านไปด้วยดี บนสายพานกาลเวลา สุขทุกข์ไหลผ่านมาผ่านไปใครเล่าจะเก็บไว้กับตัวได้!!!ขอบคุณทุกนาทีที่ทำให้เห็นความหมายของคุณค่าชีวิตมากขึ้นกว่าในทุก ๆ ปี นึกย้อนกลับไปมองดูแล้วทบทวน ใช่... ชีวิตเรามีความสุขเข้ามามากกว่าความทุกข์ เพียงแค่เราไม่ค่อยจะจดจำสะสมความสุขเก็บไว้ สุขแล้วลืมหายละลายไปกับวันคืน ส่วนที่ไม่เคยลืม คือ ความทุกข์ยากลำบากที่เข้ามาแวะเยี่ยมเป็นครั้งคราว
            เมื่ออายุวงปีชีวิตมากขึ้น เริ่มเห็นความเจ็บป่วยของคนรอบกาย ความเจ็บป่วยของตัวเอง  เห็นการจากลาของญาติสนิทมิตรสหายที่ร่วงโรยไปทีละคนสองคนยิ่งใจหาย ยิ่งสงสาร ยิ่งครุ่นคิดว่าที่ผ่านมา ชีวิตเรามีความหมายต่อใครบ้าง? มีความหมายที่จะมอบ “รักและเมตตา” ต่อผู้คนมากน้อยเพียงใด? การงานที่ทำของเรานั้นได้สร้างคุณค่าให้กับจิตใจเราแค่ไหน? หรือเราเพียงมุ่งหวังทำงานเพียงเพื่อให้ได้เงิน และก็เพลิดเพลินจับจ่ายใช้สอยให้หมดไป ทำให้วิถีชีวิตเต็มไปด้วยความสะดวกสบายของตนเป็นอันใช้ได้!!!ในความทุกข์ที่ต้องเผชิญแม้ไม่มากแต่..ช่างทรมานนั้น ได้สอน ได้ให้บทเรียนอะไร ได้บ้างหรือเปล่า
            ในท่ามกลางความทุกข์ ท่ามกลางความเจ็บความปวด สิ่งที่มีความหมายอย่างยิ่ง คือ หัวใจ คือ จิตวิญญาณ คือ กำลังใจ สิ่งเหล่านี้นั้นมีมาในทุกวัน ผ่านมาทางความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านมาทางรอยยิ้ม ความหวังดีมีเมตตาต่อกัน ผ่านมาทางบุคคลผู้เป็นตัวอย่างในฝ่ายทางดี ผ่านมาทางคำตักเตือนสอนสั่ง ผ่านมาทางการรับฟังการน้อมยอมรับในข้อบกพร่อง ผ่านมาทางคำติฉินนินทา คำสรรเสริญ ผ่านมาทางคนรอบกายหายใจร่วมกัน ผ่านมาทางเช้าวันใหม่ อากาศที่เปลี่ยนแปลงและข่าวคราวที่เปลี่ยนไป แล้วเราได้เก็บเกี่ยว เก็บสะสมความงามความดีในทุกนาทีทุกเรื่องไว้มากน้อยเพียงใด
            สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราได้เห็นถึงความหมายที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตคือในหลวงรัชกาลที่ ๙ ตลอดเวลาทุกนาทีมีชีวิตเพื่อปวงประชา บนความเหนื่อยคือความสุขของลูกไทย บนความยากลำบากเพื่อความสะดวกสบายขึ้นของผู้คน เป็นที่ประจักษ์ถึงความยิ่งใหญ่ของหนึ่งชีวิตที่ทำเพื่ออีกหลายสิบล้านคนบนหนทางธรรม วันนี้ประชาชนชาวไทยจึงไม่อ่อนแรง ที่จะเดินทางมากราบพระบรมศพ หลังจากจัดการกับวันเวลาได้อย่างลงตัวแล้ว จึงนัดหมายกับผู้ร่วมทุกข์ร่วมทาง เพื่อไปยังพระบรมมหาราชวัง พวกเราจะเข้าไปกราบคุณความดีที่ยิ่งใหญ่ เพื่อเป็นแรงพลังใจให้ก้าวเดินออกไปหาความหมายให้กับชีวิตในปีต่อไป...

            ทุกวันเวลาจึงเป็นการออกหาความหมายให้กับชีวิต การเริ่มต้นเดินทางไปยังท้องสนามหลวงเริ่มต้นในยามเย็นด้วยการนั่งเรือจากวัดราชสิงขร พระอาทิตย์กำลังตกดิน แสงสีทองส่องสะท้อนลงบนผิวน้ำ ยังสะท้อนความหมายในชีวิตของเราว่า การจากกัน การจากลามักแฝงไปด้วยความสวยงามแห่งความหวัง การลาลับกลับขอบฟ้าของดวงตะวันในวันนี้ก็เพื่อมีแสงใหม่ในวันพรุ่งนี้ ชีวิตเราย่อมต้องไม่ระทดท้อต่อความลำบาก มีวันพรุ่งนี้ให้สำหรับเราเสมอ จากท่าหนึ่งถึงท่าหนึ่ง ผู้คนเริ่มมากขึ้น ๆ แต่เรือก็ยังคงแล่นไปด้วยการบังคับของคนขับผู้ชำนาญการ ในชีวิตของเราย่อมมีโอกาสพบเจอผู้คนมากมายและมากขึ้น เราผู้ซึ่งเป็นผู้ขับเรือชีวิต เราชำนาญการมากน้อยเพียงใดที่จะนำพาทุกคนที่ผ่านพบได้พบเจอความดี ความงาม ตามวิถีคริสตชน
            กลุ่มของเราตามที่นัดหมายมีจำนวน ๑๔ คน ระยะทางจากจุดเริ่มต้นตรงท้องสนามหลวงเข้าจนถึงจุดพักคอยว่าไกลแล้ว การนั่งรอคอยยิ่งยาวไกลกว่า แต่สิ่งที่เห็นทำให้เวลาผ่านไปอย่างไม่รู้เบื่อ เห็นความดีผ่านจิตอาสา เห็นการแบ่งปันฉันลูกพ่อเดียวกัน พ่อหลวงผู้ที่ทำให้ทุกคนต่างมีจุดหมายเดียวกัน แม้ต้องรอคอย ก็มิย่อท้อ ในเวลาที่เราไปถึงมีพระราชพิธีฯ ทำให้การเข้าไปกราบพระบรมศพต้อหยุดลงชั่วขณะ การรอคอยยิ่งเพิ่มขึ้น ในขณะเดินหาน้ำดื่มซึ่งมีบริการอย่างทั่วถึงอยู่นั้นได้พบเจอเพื่อนร่วมงานเก่า ที่ไม่ได้พบเจอกันหลายปี จึงถือโอกาสได้พูดคุยไถ่ถามสารทุกข์ต่อกัน เป็นการพบกันแบบมิได้นัดหมายบางครั้งในการรอคอยเรามักพบบางสิ่งที่มิได้คาดหมาย การรอคอยเพิ่มพลังความหวังและกำลังใจต่อเราเสมอ เราได้เห็นผู้ที่รอคอยก่อนหน้าเราลุกขึ้นตั้งแถว หัวใจเริ่มพอง และแล้วก็มาถึงแถวเราจนได้ เดินจากจุดพักคอยเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง ใช้เวลาอีกนับชั่วโมงมีการหยุดรอเป็นระยะ ๆ แต่ความสวยงามยามค่ำคืนก็ดึงดูดความตื่นตาตื่นใจ จนลืมความเหนื่อยเมื่อยล้า ในความเหนื่อยเมื่อยล้าหากว่าเราพยายามมองให้เห็นความสวยงามระหว่างทางบ้าง จะทำให้ชีวิตเราหยัดยืนก้าวหน้าก้าวเดินต่อไปได้

           


เมื่อเข้าสู่ประตูพิมานไชยศรี  ในขณะที่เดินตามแถวเข้าไป มีเวลาได้หยุดยืน จึงตั้งจิตตั้งใจสวดภาวนาให้พ่อหลวง บางช่วงนิ่งสงบส่งใจรำลึกถึงพระคุณความดี ที่พระมหากษัตริย์ผู้สละความสุขส่วนตัวเพื่อสร้างสุขให้ประชาชนมาอย่างยาวนาน ความเมตตานำมาซึ่งความเจริญร่มเย็นและความผาสุก นี่เป็นความหมายที่เราต้องพยายามเดินตามรอยพระองค์ท่าน แม้เพียงไม่กี่นาทีที่เราได้เข้าไปกราบหน้าพระบรมศพ แต่ก็ก่อเกิดความหมายและแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ต่อการดำเนินชีวิต ใช่หรือไม่เราทุกคนล้วนมีความหมายต่อกัน เราทุกคนล้วนมีคุณค่าในตัวเอง ในทุกวันเวลา ทุกย่างก้าว ทุกลมหายใจล้วนเป็นหนทางให้เราออกไปทำให้ความหมายแห่งความรักและความเมตตาปรากฏเป็นจริง อย่าปล่อยให้ชีวิตไร้ความหมายด้วยการอยู่เพียงเพื่อตัวเอง แล้วชีวิตเราจะมีความหมายมากยิ่ง ๆ ขึ้นในทุก ๆ ปี สวัสดีปีใหม่ครับ...

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เรียน (เลียน) คำสอนพ่อ บทสุดท้าย

เรียน (เลียน) คำสอนพ่อ บทสุดท้าย


บทที่ ๙ การเอาชนะใจตน
                 “ในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องข่มใจไม่กระทำสิ่งใด ๆ ที่เรารู้สึกด้วยใจจริงว่าชั่ว ว่าเสื่อม เราต้องฝืน ต้องต้านความคิดและความประพฤติทุกอย่าง ที่รู้สึกว่าขัดกับธรรมะ เราต้องกล้าและบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบว่าเป็นความดี เป็นความถูกต้อง และเป็นธรรม ถ้าเราร่วมกันทำเช่นนี้ให้ได้จริง ๆ ให้ผลของความดีบังเกิดมากขึ้น ๆ ก็จะช่วยค้ำจุนส่วนรวมไว้ มิให้เสื่อมลงไป และจะช่วยให้ฟื้นคืนดีขึ้นได้เป็นลำดับ”  (พระราชดำรัส พระราชทานเพื่อเชิญไปอ่าน ในพิธีเปิดการประชุมยุวพุทธิกสมาคมทั่วประเทศ ครั้งที่ ๑๒ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๑๓)
                 และแล้วการได้อ่าน ได้ไตร่ตรองเพื่อเลียนแบบคำสอนของพ่อหลวงรัชกาลที่ ๙ ก็เดินทางมาถึงบทสุดท้าย ในบทที่ ๙ เพื่อให้เราก้าวเดินต่อไปในชีวิตอย่างมีเป้าหมาย อย่างมีความสุข และประจวบเหมาะกับในบทนี้ตรงกับวันคริสต์มาสพอดี ซึ่งในบทเรียนนี้ได้พูดถึงการเอาชนะใจตน คนเราเกิดมาเพื่อเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์นั้นสิ่งสำคัญก็คือ เรื่องของการฝึกจิตฝึกใจ ให้รู้เท่าทันใจตัวเอง โดยพยายามเอาชนะใจตนเองให้ได้ แล้วเราก็จะได้รับความเข้าใจ ความใส่ใจจากผู้คนรอบข้าง คนเราไม่ใช่เกิดมาเพื่อคว้าชัยชนะต่อคนอื่น แน่ล่ะ... กระแสสังคมยุคใหม่มักฝังความคิดทัศนคติเราให้ต้องเป็นผู้ชนะอยู่ร่ำไป เร่งให้เราก้าวแล้วก็ก้าวอีก เพื่อตักตวงและกอบโกย โดยไม่ได้เหลียวมาแลคนรอบ ๆ ข้าง และยังไม่สามารถที่จะหาเวลานั่งลงไตร่ตรอง หาความหมายที่แท้จริงของชีวิตได้ ครั้นพอผิดหวัง ผิดคาด ไม่ได้ดังใจ ก็มักฟูมฟายว่าร้าย เรียกร้องคนอื่นให้มาเข้าใจ หรือไม่ในทางตรงกันข้าม ทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะใจคนอื่นเพียงเพื่อเข้าครอบครองครอบงำความคิดผู้อื่น ทัศนคติแบบนี้มิใช่จริตคริสตชน ผู้ที่กำลังระลึกถึงการบังเกิดของพระกุมาร


                 ใช่.... ชีวิตเราทุกคนปรารถนาความสุข เราต่างก็มุ่งแสวงหาความสุขและหลุดพ้นจากทุกข์ แต่ในการแสวงหาความสุข เรามักมองข้ามสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป นั่นคือ จิตใจเราแสวงหาทรัพย์สมบัติ เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง ตั้งแต่เด็กจนเติบโต ต้องมีพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก โดยที่เข้าใจเอาเองว่า เมื่อเราได้สิ่งนั้นแล้ว ชีวิตก็จะมีความสุข จึงดิ้นรนแสวงหาสิ่งเหล่านี้เป็นเวลานาน แสวงหาไปเรื่อย ๆ แสวงหาไปตลอดชีวิตก็ยังไม่พบความสุขที่แท้จริง เพราะนี่เป็นการแสวงหาความสุขจากภายนอก และพากันเรียกสิ่งนั้นว่า “ความสำเร็จ
                 การสร้างความสำเร็จของแต่ละคนย่อมมาจากความสามารถและความขยัน มุ่งมั่น มานะ  มีความเพียรพยายามที่ต่างแตกกัน  แต่โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ทุกคนล้วนมีความเกียจคร้านรวมทั้งข้อจำกัดอยู่ด้วยเสมอ  หนทางที่จะพาเราไปสู่เส้นทางแห่งความก้าวหน้าในชีวิตก็คือ  การรู้จักขจัดความเกียจคร้านและข้อจำกัดในอุปนิสัยส่วนตัวที่ไม่ดีออกไป ด้วยการเอาชนะใจตนให้ได้เสียก่อน
                 การชนะใจตนนั้นจัดว่าเป็น “ศาสตร์” อย่างหนึ่ง ที่สามารถทำให้เรามีการพัฒนาจิตใจให้ดีและสูงกว่าเดิมได้ การปล่อยให้ความโกรธเกลียดครอบงำจิตใจจนลงมือทำร้ายผู้อื่น แม้ดูเหมือนจะได้รับชัยชนะ แต่ก็เป็นชัยชนะเพียงชั่วคราว ในที่สุดก็จะต้องประสบกับความพ่ายแพ้ เป็นความพ่ายแพ้ที่เรียกว่า แพ้ภัยตน”  เพียงแค่คิดจะเอาชนะผู้อื่น เราก็กลายเป็นผู้แพ้ไปแล้ว คือ แพ้ต่อความโกรธเกลียด ถูกความโกรธเกลียดครอบงำย่ำยีจิตใจจนเร่าร้อน ความโกรธเกลียดนี้แหละ ที่ทำให้เราลืมตัวจนสามารถทำสิ่งเลวร้ายได้มากมาย การชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ การชนะใจตน เพราะถือว่าเป็นการชนะความอยาก และจิตใจที่ใฝ่ต่ำ คนที่สามารถเอาชนะใจตัวเองได้นั้น จะต้องมีการฝึกแก้นิสัย ข้อบกพร่องของตนเอง ให้เกิดนิสัยที่ดีขึ้นมาทดแทนนิสัยที่ไม่ดีไม่งาม
                 การชนะใจตนยังเป็น “ศิลปะ” อันหนึ่ง ที่ทำให้เราสามารถสร้างอุปนิสัยที่ดีมาสู่ตัวเราได้  ซึ่งการชนะใจตนเองเป็นการทำได้ยาก  แต่ถ้าได้ลองทำครั้งที่หนึ่งแล้ว  ครั้งที่สอง  ครั้งที่สาม  จะค่อย ๆ ง่ายลง  การเริ่มเอาชนะใจตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ ลองเริ่มต้นสลัดความเกียจคร้าน พยายามเป็นคนขยัน  มานะ  พากเพียรเตือนตัวเองให้ตั้งมั่นอยู่ในความขยัน  กระตือรือร้นอยู่เสมอ  ไม่นานนิสัยนี้ก็จะติดตัวเรา สิ่งหนึ่งที่เราต้องมีอันดับแรกก่อนอื่นหมด เพื่อนำชีวิตตนเองไปสู่ความสุขที่ยั่งยืน ก็คือ ต้องชนะใจตน จากนั้น ต้องชนะใจคนอื่น การชนะใจทั้งสองแบบนี้ ถือว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่เหนือทุกชัยชนะบนโลกนี้ เมื่อชนะใจตน ก็ไม่ยากที่จะชนะใจผู้อื่น ใครทำได้ก็พบสันติสุขก่อน พระเยซูเจ้าถ่อมพระองค์เองมาบังเกิดเป็นมนุษย์ก็ด้วยการชนะใจตนเองและพระองค์ก็ชนะใจผู้คนอีกมากมายบนโลกนี้ แล้วเราจะไม่ลองทำบ้างหรือ...

ใจของท่านทั้งหลายจงอย่าหวั่นไหวเลย จงเชื่อในพระเจ้า และเชื่อในเราด้วย เรามอบสันติสุขไว้ให้ท่านทั้งหลาย เราให้สันติสุขของเรากับท่าน เราให้สันติสุขกับท่าน ไม่เหมือนที่โลกให้ ใจของท่านอย่าหวั่นไหว หรือมีความกลัวเลย(ยอห์น 14:1,27)

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เรียน (เลียน) คำสอนพ่อ ๘

เรียน (เลียน) คำสอนพ่อ ๘



บทที่ ๘ ความซื่อสัตย์
                 “ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐานของความดีทุกอย่าง เด็ก ๆ จึงต้องฝึกฝนอบรมให้เกิดมีขึ้นในตนเอง เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมีประโยชน์ และมีชีวิตที่สะอาด ที่เจริญมั่นคง”  (พระบรมราโชวาท พระราชทานเพื่อเชิญลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็ก ปีพุทธศักราช ๒๕๓๑)
                 หลายสิบปีที่ผ่านมากระแสโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ทุกสังคมหันไปบูชาคนมีทรัพย์สมบัติ จนกระทั่งมีความคิดกันว่า “คนรวย คือ คนดีที่น่ายกย่อง” โดยมิได้คำนึงถึงที่มาของความร่ำรวยหรือการได้ครอบครองที่มากกว่าคนอื่น คนที่ทำมาหาเลี้ยงชีพโดยขยัน สุจริต ไม่เอาเปรียบใครและได้มาซึ่งผลตอบแทนมากมาย คนแบบนี้ต่างหากที่น่ายกย่องสรรเสริญ แต่นั่นแหละด้วยความฉาบฉวยเพียงแค่เห็นคนมีฐานะหน่อยก็เหมารวมว่าเป็นคนดี จึงเป็นที่มาของผู้คนที่อยากจะมีคนนับหน้าถือตา จึงทำทุกอย่าง ให้มีมาก ๆ โดยไม่สนใจถึงวิธีการว่าบริสุทธิ์หรือไม่ ความซื่อสัตย์ต่อตัวเองกลายเป็นสิ่งตายด้านในหัวใจของผู้คน เหลือแต่ความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว จนที่สุดสังคมโลกเริ่มแพ้ภัยตัวเอง คนที่เคยถูกยกย่องกลับถูกปลด ถูกไล่อย่างน่ารังเกียจ คุณธรรมความซื่อสัตย์กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สังคมโลกเริ่มหันมาใส่ใจและเรียกร้องมากยิ่งขึ้น
                 จริง ๆ แล้ว “ความซื่อสัตย์” เป็นหัวใจสำคัญของทุกอย่างในการดำเนินชีวิต เป็นสิ่งชี้นำทุกความคิดและทัศคติจริตของเรา เป็นสิ่งบ่งบอกเพื่อให้เป็นที่ยอมรับนับถือและไว้วางใจ  เป็นที่น่าคบหาสมาคมด้วย  ถ้าขาดความซื่อสัตย์จะกลายเป็นคนไม่น่าคบหา  เป็นที่ระแวงแคลงใจของคนรอบข้างและผู้ผ่านพบ ไม่ว่าโลกจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย ผ่านการเปลี่ยนแปลงระบบต่างๆ มาอย่างนับครั้งไม่ถ้วน บางสิ่งล่มสลายหายไป แต่ผู้ปฏิบัติตนด้วยความซื่อสัตย์ก็มักจะมีความเจริญก้าวหน้าทั้งด้านส่วนตัว การประกอบอาชีพ   การสังคม  พูดให้เห็นภาพแบบง่ายขึ้น ความซื่อสัตย์ก็คือการทำอะไรตรงไปตรงมา จริงใจ   ไม่คิดคดทรยศ   ไม่โกง   ไม่หลอกลวง
                 ในหลวง พ่อที่รักยิ่งของเราช่วยไทย พระองค์ท่านเป็นกษัตริย์ที่ยึดถือความซื่อสัตย์เป็นอย่างยิ่ง หลายครั้งหลายเวลาได้ตรัสกับพวกเราเน้นย้ำเรื่องนี้ตลอดมา และทรงเป็นตัวอย่างของ ความซื่อสัตย์ตลอดพระชนม์ชีพ มีเรื่องบันทึกอยู่มากมาย เช่น ครั้งหนึ่งในการแข่งขันเรือใบ  ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่ง และตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า ที่เสด็จกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาแข่งเรือใบถือว่าผิดกติกา(ฟาวส์)ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครเห็น หากไม่ทรงบอกใคร ก็ไม่มีใครทราบ การแข่งก็ดำเนินต่อไปได้ และท่านอาจจะเป็นผู้ชนะก็ได้ แต่ก็ทรงยึดตามกติกาทุกอย่าง ทำตามกติกาทุกประการ เอาความซื่อสัตย์เป็นที่ตั้ง เพื่อให้การแข่งนั้นยุติธรรม
                 ในอดีตที่ผ่านมาในหลาย ๆ องค์กร ห้างร้านมักจะสรรหาบุคลากรที่มีความเก่งเป็นหลัก ความขยันและซื่อสัตย์เป็นรอง นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเทคโนโลยียังไม่ทันสมัยเหมือนอย่างในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องอาศัยคนที่มีความรู้หรือมีทักษะมีความชำนาญมาทำงานให้  เมื่อความเจริญทางวัตถุ เทคโนโลยีสูงขึ้นเรื่อย ๆ มีการพัฒนานาทีต่อนาทีจึงทำให้ง่ายในการเข้าถึงข้อมูล แลกเปลี่ยนความรู้ และทักษะกันได้ง่ายขึ้น จึงเห็นชัดขึ้นว่าความซื่อสัตย์เป็นความสำคัญลำดับแรก ๆ ที่ทุกองค์กร หน่วยงานต่าง ๆ ได้ให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
ในขณะที่กำลังเขียนบทความนี้ ก็เห็นข่าว ๆ หนึ่งตามหน้าสื่อสมัยใหม่ เป็นข่าวที่น่าชื่นชมของนักร้องขวัญใจวัยรุ่น หนุ่มตูน อาทิวราห์ คงมาลัย หลังจากวิ่งจบรายการก้าวคนละก้าว 400 กิโลเมตร เพื่อหารายได้ช่วยเหลือโรงพยาบาลที่บางสะพาน และได้รับเงินร่วมบริจาคเป็นจำนวนมาก แต่เขายังคงออกไปวิ่งระยะทาง 27 กิโลเมตร ซึ่งหลายคนคิดว่าเป็นการออกกำลังกายตามปกติ แต่เขาบอกว่า “เพราะตอนที่เข้าเส้นชัยที่โรงพยาบาล ดูที่นาฬิกามันไม่ครบระยะ 400 กม. อย่างที่บอกไว้ว่ากรุงเทพ บางสะพาน 400 กม. มันขาดอีกประมาณ 27 กม. เลยต้องมาวิ่งให้ครบ 400 กม.” เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งเมล็ดพันธุ์ความซื่อสัตย์กำลังงอกงามในแผ่นดินไทย

 ภาพ : http://pantip.com/topic/33703431

“ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งสำคัญเพราะหากขาด ความซื่อสัตย์ที่ว่านี้ รวมไปถึงการมี สัจจะ พูดจริงทำจริง ไม่โกหกหรือพูดเหลวไหล พูดคำไหนเป็นคำนั้นด้วย คนเช่นนี้ไปที่ใด ย่อมเป็นที่เคารพนับถือว่าเป็นคนมีเกียรติ และถ้าทุกคนทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ก็ย่อมจะทำให้สังคม และประเทศชาติมีความมั่นคง สงบสุข
“ความซื่อสัตย์” เป็นคุณธรรมที่จำเป็นต่อทุกสังคม ไม่ว่าจะเป็นความซื่อสัตย์ในระดับตัวเอง ระดับครอบครัว ในที่ทำงานและระดับประเทศชาติ เราต้องร่วมกันปลูกฝัง สอนเยาวชนคนรุ่นหลังให้ประพฤติปฏิบัติจนกลายเป็นนิสัยประจำชาติให้ได้ เพราะหากคนในสังคมขาดคุณธรรมนี้เมื่อใด ก็จะวุ่นวาย ไม่สงบ ผู้คนก็จะเอารัดเอาเปรียบกันและเห็นแก่ตัวมากขึ้น จนก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมาอีกมากมาย เราอยากจะเห็นประเทศชาติเป็นอย่างนั้นอีกหรือ!!

            เพราะฉะนั้น ถ้าท่านไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องเงินทองของโลกธรรมแล้ว ผู้ใดจะวางใจมอบสมบัติแท้จริงให้ท่านดูแลเล่า”     (ลก 16:11)...

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เรียน (เลียน) คำสอนพ่อ ๗

เรียน (เลียน) คำสอนพ่อ ๗


บทที่ ๗หนังสือเป็นออมสิน
“หนังสือเป็นการสะสมความรู้และทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้สร้างมา ทำมา คิดมา แต่โบราณกาลจนทุกวันนี้ หนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็นคล้าย ๆ ธนาคารความรู้และเป็นออมสิน เป็นสิ่งที่จะทำให้มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้” (พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะสมาชิกห้องสมุดทั่วประเทศ ในโอกาสที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๑๔)
เคยมีคนตั้งคำถามบ่อย ๆ ว่า นำเอาอะไรที่ไหนมาเขียนบทความได้เกือบทุกสัปดาห์ มักจะตอบกลับไปว่า “ได้มาจากสิ่งที่อ่าน” ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา การอ่านคือกิจวัตรประจำวัน ที่พยายามทำมาตลอด อาจจะเป็นเพราะแบบอย่างที่เห็นจากพ่อเมื่อครั้งวัยเด็ก ถ้าพ่อมีเวลาว่างพ่อจะหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่าน อ่านในทุกหน้า แม้กระทั่งหน้าโฆษณา อ่านแม้กระทั่งถุงใส่กล้วยทอด อ่านหนังสือทุกอย่างทุกประเภท พ่อเป็นคนไม่ค่อยพูดแต่ถ้าถามเรื่องการบ้านการเมือง เรื่องต่างประเทศพ่อมักมีคำตอบที่น่าสนใจเสมอ สิ่งนี้จึงเป็นมรดกตกทอดในเรื่องของการอ่าน การซื้อหนังสือคือสิ่งหนึ่งในชีวิตที่ไม่เคยคิดเสียดายที่ได้จ่ายเงินออกไป ผลจากการอ่านหนังสือทำให้การคิดเรื่อง การผลิตคำที่จะเขียนที่จะพิมพ์ออกมาเป็นเรื่องไม่ยากนัก เพราะคำในคลังที่เราอ่านมานั้นมันเก็บสะสมเอาไว้ในธนาคารสมองที่พร้อมจะออกดอกผลเมื่อเราคิดถึงเรื่องราวนั้น ครั้นยุคสมัยเปลี่ยนแปลง การอ่านเปลี่ยนไป จากหนังสือก็หาอ่านจากอินเตอร์เน็ตและทางสื่อสมัยใหม่มากขึ้น การอ่านจากหนังสือเริ่มน้อยลงต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าความหลากหลายทำให้สมาธิการอ่านลดน้อยลง
การอ่านก็เหมือนกับการออกกำลังกาย แต่เป็นกำลังสายตา และกำลังสมอง สมองก็ต้องการการออกกำลังเพื่อให้แข็งแรงและมีสุขภาพดีอยู่เสมอเช่นเดียวกับร่างกาย การอ่านหนังสือทำให้สมองของเราได้คิดและได้ทำงานตลอดเวลา ซึ่งทุกครั้งที่มีความทรงจำใหม่ ๆ สมองก็จะเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้ และเรียกกลับมาเมื่อเราต้องการใช้งาน ยิ่งอ่านหนังสือมาก สมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการจดจำก็จะได้ทำงานมากขึ้น ทุกอย่างที่ได้อ่านจะเป็นการเพิ่มเติมความรู้ทั้งสิ้น แน่นอนเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าต้องนำความรู้เหล่านั้นออกมาใช้เมื่อไร? ยิ่งมีความรู้มาก ก็จะยิ่งทำให้เราสามารถเผชิญกับปัญหาและความท้าทายต่าง ๆ ได้อย่างชาญฉลาด อ่านหนังสือมากก็อ่านผู้คนและเหตุการณ์ต่างๆได้ไม่ยากนัก สิ่งของหรือเงินทอง อาจถูกขโมยไปได้ แต่ความรู้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถเอาไปได้
การอ่านช่วยให้มีทักษะในการคิดเชิงวิเคราะห์นำมาซึ่งความรอบคอบสุขุมในการคิดแก้ปัญหาต่าง ๆ เราจะเห็นว่าในยุคเฟื่องของข้อมูลข่าวสาร จริงบ้างเท็จก็ไม่น้อย มีนับร้อยนับพันอ่านกันแบบเพียงผ่าน ๆ แล้วก็นำไปพูดนำไปวิพากษ์วิจารณ์แสดงความคิดเห็นแบบผิด ๆ มีมากขึ้นทุกวัน การอ่านแบบนี้จึงไม่ช่วยให้เราพินิจพิเคราะห์สิ่งที่ผ่านตาเราได้เลย ความหลากหลายในการสื่อสารเช่นนี้ดูเหมือนทำให้เกิดการอ่านมากขึ้น แต่แท้จริงแล้วกลับตรงข้ามมันทำให้เราเสียสมาธิ มีเรื่องต่างๆ มากมายที่ดึงดูดความสนใจของเรา เช็กอีเมล เช็กข้อความ แชทกับเพื่อน อ่านสเตตัส ดูโทรศัพท์มือถือ ทำให้ความสามารถในการทำงานของเราลดลง และอาจเป็นสาเหตุให้เกิดความเครียดได้ การอ่านหนังสือควรอ่านเรื่องหนึ่ง เล่มเดียว ก่อนเริ่มทำอย่างอื่นสัก 1520 นาที สามารถช่วยให้มีสมาธิมากขึ้น และทักษะเชิงวิเคราะห์ก็จะตามมา
อีกสิ่งหนึ่งหนังสือยังเป็นตัวจุดประกาย และเสริมสร้างแรงบันดาลใจให้เราก้าวหน้าก้าวเดินต่อไป ใช้ชีวิตแบบมีคุณค่า มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความอยากรู้อยากเห็น อยากทำนั่นอยากทำนี่ แต่ก็มีกฎเกณฑ์หรือมาตรฐานอีกหลายอย่างที่ขวางกั้นไม่ให้เราทำทุกสิ่งได้ดังใจหวัง การอ่านจึงเป็นการสร้างเสริมประสบการณ์ทางอ้อมให้กับเรา ใครล่ะจะรู้ว่าเมื่อถึงคราวที่ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ประสบการณ์ทางอ้อมที่เราได้รับจากการอ่านจะช่วยเราไว้ได้

เมื่อพูดถึงการอ่านหนังสือ ต้องคิดถึงคนญี่ปุ่นที่อ่านหนังสือเฉลี่ยคนละ 40-50 เล่มต่อปีเลยทีเดียว การอ่านหนังสือสำหรับคนญี่ปุ่นนั้นได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก จะเห็นว่าเด็กญี่ปุ่นเติบโตมากับหนังสือตั้งแต่การอ่านการ์ตูนมังงะ ที่มีภาพประกอบซึ่งเป็นการช่วยให้เด็กอยากอ่านหนังสือมากขึ้น และอีกทั้งมีเนื้อหาที่สนุกสนาน และก็กลายเป็นนิสัยติดตัวชาวญี่ปุ่นมาจนโต เราไม่เคยเห็นคนญี่ปุ่นละทิ้งการอ่านหนังสือเลย นอกจากนี้ก็ยังมีการจัดงานที่เรียกว่า สัปดาห์แห่งการอ่านหนังสือของญี่ปุ่นด้วย เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน สิ่งหนึ่งที่คนญี่ปุ่นนึกถึงคือ “การอ่านหนังสือ” การส่งเสริมการอ่านหนังสือเป็นนโยบายทางการศึกษาที่รัฐบาลญี่ปุ่นทุ่มงบประมาณอย่างเต็มที่

การอ่านหนังสือที่มีเรื่องราวดี ๆ สิ่งดีก็จะถูกเก็บสะสมเอาไว้ และพร้อมที่จะเกิดดอกออกผล และถ้าหากเราปรารถนาที่จะเป็นคนดี เป็นคนที่มีคุณค่าเราก็ต้องเริ่มสะสมสิ่งที่ดี ๆ ที่มีคุณค่าตั้งแต่วันนี้ สำหรับเราคริสตชนเรื่องราวที่ดีมีให้เราอ่าน ให้เราฟังมาอย่างยาวนานแสนนาน หากเราตั้งมั่นในปณิธานในการก้าวสู่ความดีงาม หนังสือพระคัมภีร์คือสิ่งที่เราควรหยิบมาอ่านเพื่อให้ความดี ความรัก ดำรงอยู่ในตัวเรา และกระจายออกไปสู่สังคมรอบตัวเรา สร้างความผาสุกให้กับทุกผู้คนตลอดไป

วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เรียน(เลียน) คำสอนพ่อ ๖

เรียน(เลียน) คำสอนพ่อ ๖


บทที่ ๖.พูดจริง ทำจริง
“ผู้หนักแน่นในสัจจะพูดอย่างไร ทำอย่างนั้น จึงได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธาเชื่อถือและความยกย่องสรรเสริญจากคนทุกฝ่าย การพูดแล้วทำ คือ พูดจริง ทำจริง จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด และสร้างเสริมความดี ความเจริญ ให้เกิดขึ้นทั้งแก่บุคคลและส่วนรวม”(พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๐)
เมื่อได้ไตร่ตรองในเรื่องของการ พูดจริง ทำจริง มีสองสิ่งที่ผุดขึ้นมานั่นคือ “ใจนักเลง” และการยึดมั่นต่อ “คำสัญญา”
ความเป็นนักเลงที่จะนึกถึงไม่ใช่นักเลงในด้านลบที่เที่ยวตบตีวิ่งปล้น หรือประเภทที่ยกพวกรุมทำร้ายผู้อื่น แบบนั้นเป็นพวกนักเลงที่เพียงอวดเบ่ง อวดอำนาจ และคิดเพียงว่าความร่ำรวยจะช่วยให้ตัวเองอยู่เหนือทุกสิ่งได้ ตรงกันข้ามความเป็นนักเลงในด้านบวกที่จะกล่าวถึงคือการกล้าทำดี กล้ายอมรับผิดรับชอบ กล้าที่จะยืนเคียงข้างความถูกต้อง ปกป้องคนที่อ่อนแอแต่จะมีสักกี่คนที่ทำแบบนี้ได้หากไม่ได้รับการฝึกฝนภายในมาดีพอ เรามักเห็นคนพูดดีมากกว่าพูดจริง บางคนพูดดีเพียงเพราะเป็นคนพูดเก่งพูดมาก พูดถ้อยคำที่มีประโยชน์แต่ปฏิบัติตามถ้อยคำที่พูดไม่ได้พูดเสียงดังเป็นนักเลงอวดใหญ่
วิธีสังเกตคนได้ดีอย่างหนึ่ง คือ การดูคำพูด คนดีแต่พูดมักพูดให้คนเคลิบเคลิ้ม พูดใหญ่โตพูดให้คนลุ่มหลง พูดเกินความจริง พูดเอาดีเข้าตัว คนดีจริง ทำได้จริงแล้วจึงค่อยพูด อะไรที่ทำได้มากก็พูดแต่น้อย อะไรที่ทำไม่ได้ก็ยอมรับไม่โอ้อวด ไม่พูดเกินความจริงส่วนคนดีแต่พูดนั้น พูดไม่จริงทำไม่จริง ทำไม่ได้อย่างที่เคยพูด ไม่นานพอผู้คนรู้เท่าทันความจริง ต่างก็ถอยห่างหนีหายกันหมด แต่สำหรับคนดีจริง พูดจริง ทำจริง ทำดีตามที่พูดผู้คนย่อมสรรเสริญ พบแต่ความเจริญ เป็นนักเลงตัวจริงที่ไม่ต้องพึ่งพิงอำนาจบาตรใหญ่ ไม่ต้องใช้คำพูดเป็นอาวุธ มีแต่ความจริงใจเป็นเกราะป้องกัน
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องระลึกถึงคือการรักษาคำมั่นสัญญา ที่ต้องอาศัยความซื่อสัตย์ ที่รวมไปถึงความซื่อตรงต่อหน้าที่ คือการปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา โปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้างไม่ใช้อํานาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว สังคมที่ทรุดพังเพราะความคดโกง รุกล้ำรุกรานเพียงเพื่อความสุขของตัวเองและไม่ซื่อตรงต่อภารกิจรับใช้ และเพื่อเราจะทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายให้บรรลุผล เราต้องซื่อตรงต่อเวลา การตรงต่อเวลาเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นผู้มีความรับผิดชอบ ไม่ทําให้เสียงานไม่ทําให้ผู้ที่นัดหมายเสียความรู้สึก ทําให้ได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากผู้คน ท้ายที่สุดเพื่อที่จะรักษาสัญญาให้คงมั่นตลอดไปเราต้อง ซื่อตรงต่อตนเอง คนเรานั้นจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อมีความจริงใจ ความสุจริตใจ มีความเป็นธรรม สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเราต้องซื่อตรงต่อตนเองตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรม รู้จักตัวเอง ซื่อตรงต่อตนเองในการดำเนินชีวิตบนหนทางแห่งความดีงาม
ใช่หรือไม่ ในบรรดาความดีงามทั้งหลายทั้งปวงนั้นความซื่อสัตย์สุจริตเป็นสิ่งสําคัญที่สุดเมื่อไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตแล้วก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนดีได้ นิสัยพูดจริง ทำจริง เป็นนิสัยประจำตัวของบุคคลที่มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ในสิ่งที่มุ่งหวัง นิสัยพูดจริง ทำจริง นอกจากจะช่วยให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีแล้ว ยังจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ คนรอบข้างมีความเชื่อถือ เชื่อมั่น และที่สำคัญคนที่พูดจริงทำจริงมักคิดถึงส่วนรวมเป็นที่ตั้ง

ภาพ : https://s3-ap-southeast-1.amazonaws.com

ท่ามกลางวันเวลาแห่งกลลวง ข่าวลือ สร้างข่าวสร้างคนสร้างผลงาน เราจึงมักเห็นแต่คนพูดอย่างทำอย่างมีให้พบเห็นอยู่ทั่วไป และการที่เราจะเป็นคนพูดจริง ทำจริง ให้ได้นั้น เราต้องทำตามที่ได้ให้สัญญาเอาไว้ เป็นการทำให้จิตใจมีความเข้มแข็ง เพราะสัจจะคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปในทางที่ถูกที่ควร และแน่นอนการให้สัญญาอะไรกับใครนั้นสิ่งแรกที่เราจะต้องประเมินว่าสิ่ง ๆ นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องอันพึงกระทำหรือไม่ เป็นสิ่งที่ดีที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ต่อมา ต้องประเมินว่า เรามีความสามารถพอที่จะทำสิ่งเหล่านั้นได้หรือไม่ อย่าไปสัญญาพร่ำเพรื่อ เพราะหากเราทำไม่ได้เราจะเสียคน และผลสุดท้ายเมื่อเราประเมินแล้วว่าสามารถทำได้จริง ก็เพียงทำตามที่ได้พูดได้กล่าวได้สัญญา แต่หากสิ่งที่จะต้องทำเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ผิดธรรมเนียมประเพณี เป็นเรื่องไม่เหมาะไม่ควร ก็ต้องรู้จักที่จะปฏิเสธและถอยห่างออกมา

หากคุณเป็นคนดีตามที่พ่อหลวงได้ทรงสอนไว้ ก็จะต้องรักษาคำพูด พูดจริง ทำจริงไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ พ่อแม่ที่เคยให้สัญญากับลูกหลานก็ต้องทำตามนั้น อย่าเพียงแต่พูดเพื่อปัดความรำคาญ ยิ่งเราสัญญากับพระเอาไว้ก็อย่าลืมและซื่อสัตย์ต่อคำสัญญานั้น แล้วเราก็จะเป็นคนที่ น่าเชื่อถือ คนที่พูดจริงทําจริงซื่อตรงต่อคํามั่นสัญญาจะได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากทุกผู้คน รวมถึงทุกคนจะได้รับความรักความเมตตาจากพระเจ้าผ่านการกระทำของเราด้วยเช่นกัน