วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ติดหล่มโลภ

ติดหล่มโลภ
ในฤดูฝนน้ำท่วมขังรอการระบายมีอยู่ทั่วไปตามท้องถนน ขับรถจึงต้องเพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น เราอยู่ในเมืองที่ถนนหนทางค่อนข้างจะดีไม่มีหลุมไม่มีบ่อ ถนนส่วนใหญ่เป็นคอนกรีต ปูนปูราดยางมะตอย ไม่เหมือนในต่างจังหวัดบางพื้นที่เป็นถนนดิน  ฝนตกลงมาก็ทำให้เป็นหลุมเป็นบ่อ เพราะดินอ่อนตัวเต็มไปด้วยโคลน รถวิ่งผ่านก็ลำบากหากไม่ชินทางมีสิทธิ์ติดหล่มเอาได้ง่าย ๆ ในเมืองเรื่องการติดหล่มบนท้องถนนนั้นโอกาสมีน้อยกว่าในต่างจังหวัด แต่กับการติดหล่มชีวิตนี่สิ คนในเมืองมักติดหล่มกันเป็นทิวแถวมากกว่าคนในชนบท ถึงแม้ว่าจะดูเชี่ยวชาญในการดำรงชีวิตที่สะดวกสบาย ก็เพราะหล่มที่ล่อให้ติดในชีวิตนั้นมักเป็นหล่มแห่งความโลภ ที่ข้างบนปูด้วยความหรูหราเข้าล่อหลอก เมื่อพลาดไปย่ำเดิน ชีวิตจึงย่ำแย่..
http://www.ahlulbait.org/images/moral/greedy.jpg
           ใช่หรือไม่ การดำเนินชีวิตของเรานั้นต้องผ่านพบอะไรต่อมิอะไรมามากมาย ทั้งความยากลำบาก ปัญหาและอุปสรรคนานาสารพัด ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้นั้นต่างก็มาจากความโลภหลงและการดิ้นรนขวนขวายไขว่คว้าจนไขว้เขว ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณต้องพบกับความเหนื่อยยาก ก้าวย่างต่อก็แสนจะลำบาก เราต่างมีพฤติกรรมและการแสดงออกที่โลภหลงด้วยกันทั้งนั้น วันเวลาทั้งหมดของคนยุคเราจึงหมดไปกับความหมกมุ่นอยู่กับความโลภ จนถึงขั้นละเลยการดูแลเอาใจใส่ต่อสุขภาพร่างกาย (ทำงานหนักเกินไป) ขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ (โลภในเงินทอง)ไม่ดูแลเอาใจใส่ครอบครัว ลูกหลาน มิตรสหาย เครือญาติ (เพราะโลภในรักลวงรักจอมปลอมรักในโลกออนไลน์แบบฉาบฉวย) และยิ่งไปกว่านั้น ละทิ้งจากพระผู้เป็นเจ้า (โลภในความฉลาดของตัวเอง) และนี่คือหล่มโลภและบ่อหลงวัตถุ
สิ่งที่พอจะช่วยบรรเทาความโลภคือการให้ โดยไม่หวังประโยชน์ส่วนตัว (ไม่ใช่ให้ทานหรือทำบุญเพราะหวังจะได้มากขึ้นนี่คือโลภในบุญ) จะช่วยลดการยึดโยงในเงินทองลง นิสัยคนเรานั้นชอบเอาเข้าตัวและหวงแหน การสละออกและให้ผู้อื่นบ้าง จะช่วยขัดเกลานิสัยดังกล่าวได้ทีละเล็กทีละน้อย ประการต่อมาก็คือ ต้องรู้จักใช้ชีวิตที่เรียบง่าย จนคุ้นเคยและพอใจในสิ่งที่มีที่หามาได้ด้วยความขยันซื่อสัตย์ ความสุขในชีวิตที่เรียบง่ายจะทำให้เราพึ่งพิงวัตถุน้อยลง ให้ความสุขที่ประณีตกว่า พยายามคลายการติดยึดในวัตถุและเงินทอง สิ่งที่จะเสริมให้มีความสุขกับชีวิตที่เรียบง่าย ก็คือการสวดภาวนา  ทำให้จิตใจสงบสยบการอยากได้ใคร่มี บางทีเงินทองก็เป็นภาระ มีมาก ๆ แทนที่จะเป็นสุขกลับเป็นทุกข์เพราะต้องดูแลรักษา หรือห่วงว่าจะมีคนเอาไป มีแล้วก็อยากมีอีก ทำให้ใจไม่สงบเสียที เพราะต้องดิ้นรนหาใหม่ไม่สิ้นสุด


ความโลภนั้นเกิดขึ้นได้เสมอเวลามีสิ่งเร้ามากระตุ้น หรือเห็นคนอื่นมีมากกว่าเรา เราต้องเรียนรู้ที่จะบริหารความอยากไม่ให้นำไปสู่ความโลภ พึงตระหนักว่าความโลภของทุกคน คือ “ทุกข์สาธารณะ” ในทุกวิกฤตของมนุษยชาติ เช่นนี้แล้วเราต้องช่วยกันเพื่อให้ทุกคนหลุดรอดจากหล่มที่เราติดกันอยู่ อย่างน้อยก็อย่าลืมที่จะสวดภาวนาให้กันและกัน เป็นกำลังใจส่งไปฉุดรั้งให้สามารถพ้นจากหล่มหลุมโลภนี้ให้ได้....

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ว่างเปล่าจริงหรือเปล่า

ว่างเปล่าจริงหรือเปล่า
เมื่อเร็วๆ นี้มีผลสำรวจออกมาว่าคนไทยเราใช้สื่อโซเชี่ยลติดอันดับหนึ่งของเอเชีย และตามสถิติคนไทยใช้มือถือกว่า 54 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สิ่งที่คนไทยชอบใช้มากที่สุดคือ เฟสบุ๊ค เพราะชอบการคอมเมนท์ใต้โพสต์ เนื่องจากมันง่าย ไม่ซับซ้อน และสามารถที่จะวิจารณ์ว่าร้ายใครโดยที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็ได้ (มี พรบ.คอมพิวเตอร์) สามารถที่จะโชว์ภูมิ อวดรู้ได้อย่างมิต้องเกรงใจใคร เราเห็นผู้คนก้มหน้าลงแต่ไม่ใช่เพื่อแสดงความอ่อนน้อม เราเห็นผู้คนสนใจคนอื่นมากกว่าคนรู้จักมักคุ้น เราเห็นคนกล้ามากมายแต่ให้ตายแทนคงไม่มี เราเห็นคนที่มุ่งมั่นในหน้าจอแต่ไม่พบคนจริงใจในชีวิตจริง เราเห็นคนแสดงออกผ่านทางตัวอักษรมากกว่าการแสดงความรับผิดชอบในทุกเรื่องราว
http://petmaya.com/wp-content/uploads/2015/05/death-of-conversation-14.jpg

ดูเหมือนสังคมยุคใหม่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ดูไปดูมาเราพบแต่ความว่างเปล่า ไม่ใช่ความว่างเปล่าเพื่อที่จะยอมรับ แต่เป็นความว่างเปล่าตรงกลางกลวงที่ปิดมิดชิดทุกด้าน และในความว่างเปล่านั้นต่างคนต่างตะโกนแข่งขัน เพื่อประชัน เพื่อโอ้อวด เราจึงเห็นการโต้เถียงกันในความเงียบ แทนที่เราจะพบความสงบในความเงียบ ใช่หรือไม่ ในสมัยหนึ่งคนที่รู้น้อยมักใช้เสียงที่ดังเข้าข่ม มาสมัยนี้คนที่รู้น้อยมักใช้อักษรสารวาทกรรมสวยหรูเพื่อดูถูกผู้อื่น
ท่านผู้เฒ่าเคยเล่าให้ฟังว่า  ช่วงเวลาสายของวันหนึ่ง  มีคุณพ่อท่านหนึ่งชวนลูกชายออกจากบ้านไปเดินเล่นในป่า ลูกชายของเขารับปากด้วยความยินดี   เมื่อเดินมาถึงทางโค้งแห่งหนึ่ง   ทั้งสองได้หยุดลง หลังจากต่างเงียบไปชั่วครู่
คุณพ่อถามลูกชายว่า “นอกจากเสียงร้องของนกแล้ว เธอยังได้ยินเสียงอะไรอีก” ลูกชายเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจหลายวินาที แล้วตอบคุณพ่อว่า “ผมได้ยินเสียงของรถม้า” คุณพ่อพูดว่า “ถูกต้อง นั่นเป็นรถม้าเปล่าคันหนึ่ง” ลูกชายถามคุณพ่อด้วยความประหลาดใจว่า “พวกเราต่างมองไม่เห็น   ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นรถม้าเปล่าคันหนึ่ง” คุณพ่อตอบว่า “ฟังจากเสียงก็สามารถแยกแยะว่าเป็นรถม้าเปล่าหรือไม่   รถม้าเปล่าเสียงจะดังผิดปกติ”
ต่อมา...ลูกชายของเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่  ทุกครั้งที่เขาเห็นใครก็ตามที่พูดสอดแทรกขึ้นมา  ระหว่างที่คนอื่นกำลังพูดคุยสนทนาอยู่   อวดอ้างตนเป็นผู้รู้   ไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา    อีกทั้งยังดู แคลนคนอื่น เขามักจะรู้สึกว่าคล้ายดั่งคุณพ่อพูดอยู่ข้างหูของเขาว่า
“รถม้าที่ว่างเปล่า เสียงก็จะยิ่งดัง” เครดิต Niwat Rungvicha


คนรู้จริงมักไม่ค่อยพูด และใช้เวลาในการไตร่ตรองกรองคำพูดทั้งของตัวเองและของผู้อื่น พูดคุยกับผู้อื่นด้วยจิตใจที่สงบ และอารมณ์ที่ราบเรียบปกติ  หลีกเลี่ยงการโต้เถียง และที่สุดมีภูมิต้านทานไม่พ่ายแพ้ต่อการผจญในสังคมได้ง่าย ๆ รับรู้ข่าวสารด้วยใจที่เป็นกลาง ใช้เวลาทุกนาทีอย่างคุ้มค่า มีเวลาสำหรับสวดภาวนามากกว่านั่งจิ้มกดบนหน้าจอไปวันๆ ใช้เสียงภายในสยบเสียงภายนอก มีจิตใจที่ปล่อยวาง ไม่ใช่ปล่อยใจให้ว่างเปล่า....

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

คนดีที่ไม่ผูกขาด

คนดีที่ไม่ผูกขาด
              อากาศที่อึมครึม ฟ้าหมอง ๆ สายฝนโปรยปรายลงมา ในช่วงเวลาที่เราเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการ เป็นข่าวดีสำหรับเกษตรกรเพื่อจะได้มีน้ำทำไร่ทำนา แต่...ฝนสำหรับคนเมืองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความน่าเบื่อหน่าย โดยเฉพาะถ้าตกในเวลาเร่งรีบ เวลาเร่งด่วน เพราะรถราจะติดยาวเหยียดเบียดซ้ายเบี่ยงขวาไปไหนไม่ได้ ระยะทางเพียงไม่กี่กิโลเมตรแต่ใช้ระยะเวลาเดินทางยาวนานเหมือนไปต่างจังหวัด เพราะน้ำท่วมขังและรอการระบาย ทำให้เกิดอาการหงุดหงิด เกิดมลพิษทางจิตใจ กลายเป็นคนขี้บ่นขี้โมโห ใช่หรือไม่ ในฤดูร้อนที่ร้อนจัดเราก็มักโหยหาความฉ่ำเย็น พอเวลามีฝนตกเราก็โวยวายว่าจะตกอะไรกันนักกันหนา ชีวิตไม่มีความพอดีเอาเสียเลย จนกลายเป็นนิสัยของคนยุคใหม่ ที่ชอบบ่นชอบว่าชอบกล่าวหานั่นนี่ไปเรื่อย

              ชีวิตที่ไม่มีความพอดี แม้แต่จะทำดีก็ยังหาความพอดีไม่ได้ เพราะใจไม่นิ่ง สิ่งที่เรียกว่าความดี บางทีก็มีสองด้าน บางคนทำดีเพื่อที่จะเอาชนะคนอื่น ทำความดีแล้วรู้สึกว่าตนต้องเหนือกว่าคนอื่น ชอบผูกขาดในการทำดี ดูถูกคนอื่น เกิดอาการหลงตัวลืมตน ใครวิจารณ์หรือตำหนิไม่ได้ แตะต้องเมื่อใดเป็นโกรธเมื่อนั้น  คนดีจำนวนไม่น้อย เมื่อถูกทักท้วงก็จะรู้สึกโกรธ ก็เพราะกลัวเสียภาพลักษณ์คนดี ถ้าเป็นแบบนี้การทำดีกลับกลายเป็นการก่อกิเลส การทำดีหรือทำบุญกุศลที่จะส่งผลสูงสุดต้องเป็นการทำด้วยใจว่างจากความโลภโกรธหลง การหวังผลว่าทำดีแล้วจะต้องได้ดี แต่เมื่อเป็นความดีที่ระคนไปด้วยโลภและหลงก็ย่อมจะได้ผลที่ไม่ค่อยดีนักความโลภความหลงมาบั่นทอนผลของความดีนั้นให้เจือจางลง
              และเมื่อใดก็ตามที่เราเชื่อมั่นว่าเรากำลังยึดถือในสิ่งที่ดีงาม  เป็นไปได้ง่ายมากที่เราจะมองคนที่คิดหรือมีความเชื่อความศรัทธาต่างจากเราว่าเป็นคนที่หลงผิด และเห็นเขาเป็นคนเลวในที่สุด  ทันทีที่เห็นว่าเขาเป็นคนเลว ความเกลียดโกรธก็ตามมา การมุ่งร้ายต่อกันก็เกิดขึ้นได้ไม่ยาก   เริ่มจากการประณามหยามเหยียดเขาอย่างสาดเสียเทเสีย โดยรู้สึกว่าตนมีความชอบธรรมที่จะกระทำเช่นนั้น ทำร้ายกันโดยอ้างว่าทำในนามของพระเจ้าบ้าง ทำในนามของความดีบ้าง ยิ่งคิดว่าตัวเองดีเลิศประเสริฐกว่าผู้อื่น ก็ยิ่งถลำเข้าสู่ความเสื่อมจนตกต่ำย่ำแย่กว่าเขา นี่จึงเป็นกับดักความดีที่เราทำกันอยู่แบบไม่รู้ตัว ยิ่งเราผูกขาดและยึดโยงความดีที่เราทำมากเท่าไรเรากลับยิ่งมองข้ามคุณค่าของคนอื่นมากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว ความดีเช่นนี้จึงเป็นความดีจอมปลอม ทำความดีแล้วใจไม่สงบ สิ่งนั้นจึงไม่ใช่ความดีบริบูรณ์

            มีวิธีตรวจใจตนเองว่าทำความดีด้วยใจโดยปราศจากกิเลส โลภโกรธหลง นั่นคือ ต้องพิจารณาดูว่าเมื่อทำความดีนั้นร้อนใจที่จะแย่งใครเขาหรือเปล่า? กีดกันใครเขาหรือไม่? ฟุ้งซ่านวุ่นวายเก็งผลเลิศในการทำหรือเปล่า? ต้องการจะทำทั้ง ๆ ที่ไม่สามารถแล้วก็น้อยเนื้อต่ำใจหรือโกรธแค้นอาฆาตพยาบาทอุปสรรคหรือเปล่า? ถ้าเป็นคำตอบว่า “ใช่” นั่น...เรากำลังตกหลุมพราง แต่ถ้าตอบ “ปฏิเสธ” ถือว่าเรามิได้ผูกขาดในความดีที่กระทำ ย่อมทำให้เราพบกับความสุขใจ พร้อมที่จะก้าวไปในชีวิตอย่างมีความสงบสันติ แม้จะอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของโลกในปัจจุบัน...
             

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เมื่อมองไกลจากกระจกข้างรถ

เมื่อมองไกลจากกระจกข้างรถ
ในขณะขับรถมาติดไฟแดงตรงแยกสุรศักดิ์ เพื่อจะเลี้ยวขวาเข้าถนนสาทร ภาพจอขนาดใหญ่ข้างตึกกำลังฉายโฆษณาชิ้นหนึ่งซึ่งผ่านหูผ่านตามาบ้าง เป็นโฆษณาที่รถพยาบาลคันหนึ่งวิ่งมาแล้วไปไม่ได้ ในรถมีผู้ป่วยสาหัส เปิดไซเรนขอทาง แต่บนท้องถนนในกรุงเทพฯ แทบไม่มีที่ว่างเสียเลย ไม่มีที่ว่างเพราะต่างคนต่างมองว่าธุระไม่ใช่ แต่ในงานชิ้นนี้สรุปว่าหากเราช่วยกันเปิดทางด้วยการขยับขวานิดชิดซ้ายหน่อย ก็จะพอมีทางว่างให้รถพยาบาลวิ่งได้แล้ว เป็นภาพยนตร์โฆษณาที่รณรงค์เรื่องน้ำใจ ซึ่งตบหน้าคนในเมืองหลวงได้อย่างดียิ่ง เราก็อาจจะเป็นคนหนึ่งที่เห็นรถพยาบาลวิ่งตามหลังมาแต่ไม่คิดว่าจะช่วยไม่รู้ว่าหลบหลีกอย่างไร ต่างคนต่างคิดว่าธุระไม่ใช่ คนอื่นไม่ทำ เราทำคนเดียวคนอื่นคันอื่นจะว่าจะด่าเอา ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นดีกว่า...

เมื่อดูโฆษณานี้จบสายตาก็เหลือบมองไปที่กระจกด้านข้างรถ ใช่หรือไม่ ส่วนใหญ่เรามองเพื่อที่จะให้รถเราปลอดภัย มองกระจกหลังก็เพื่อจะให้ห่างจากรถคนอื่น กลัวคันอื่นจะชนจะชิดเกินไป เรามองออกไปแต่มองไม่พ้นตัวเองเลย เราไม่ได้มองเห็นว่ามีใครกำลังต้องการความช่วยเหลืออยู่หรือเปล่า มีรถมาขอทาง มีช่องว่างให้รถมอเตอร์ไซค์ไปได้ไหมห่วงแต่ว่าจะมีรถคันไหนมาเฉี่ยวหูช้างรถเรา น้ำใจในเมืองใหญ่หาน้อยหายากลงทุกที จนถึงต้องทำความรณรงค์การมีน้ำใจ น่าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ การมีน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่อกัน สร้างคุณภาพของสังคมได้อย่างใหญ่หลวง อย่ามัวแต่ห่วงเรื่องทางด้านเศรษฐกิจกันอย่างเดียว
หมู่บ้านของ บุน อี มีคุณตาเร่ขายเต้าหู้อยู่คนหนึ่ง   แกถีบรถจักรยานขายเต้าหู้ทุกวัน  ไม่ว่าฝนตก แดดจะออก  วันนั้นก็เหมือนกับทุก ๆ วัน  คุณตาเอากระบะที่มีเต้าหู้อยู่เต็ม ขึ้นท้ายจักรยาน    แล้วค่อย ๆ ถีบไปตามตรอกซอกซอย ซื้อเต้าหู้ไหมครับ เต้าหู้เสียงของคุณตาดังสั่นมา ตั้งแต่ปากทางเข้าหมู่บ้าน   จังหวะนั้นคุณตาเกิดเสียหลัก รถจักรยานตุปัดตุเป๋แล้วล้มลงในที่สุด กระบะเต้าหู้ที่อยู่ด้านหลังก็คว่ำตกลงมาด้วย
คุณป้าคนหนึ่งเข้าไปพยุงคุณตาให้ลุกขึ้นยืน  แต่คุณตากลับนั่งนิ่ง  มองเต้าหู้ที่เกลื่อนพื้น   น้ำตาเริ่มคลอหน่วย   คิดว่าวันนี้ต้องขาดทุนแน่ ๆ   คุณป้าช่วยเก็บเต้าหู้ที่เปื้อนดิน    คุณป้าคนนี้ยังเป็นลูกค้าขาประจำ วันนี้ก็เช่นกันแกออกมาเมื่อได้ยินเสียงของคุณตา เลยทันได้เห็นเหตุการณ์พอดี คุณตาทำท่าเสียใจแล้วพูดกับคุณป้าว่า ขอโทษด้วยน่ะ ทำยังไงดีล่ะวันนี้เห็นทีต้องไปซื้อเต้าหู้ที่อื่นแทนก่อนซ่ะแล้วแต่คุณป้ากลับหัวเราะร่วน แล้วบอกว่าตาเอาเต้าหู้ให้ฉัน 3 ก้อน แหมฉันกินเต้าหู้ของตามาตลอด แล้ววันนี้จะให้ไปซื้อที่อื่นได้ยังไง     แค่เปื้อนดินนิดหน่อย  ไม่เป็นไรหรอก

คุณตายกมือห้ามว่าไม่ทำอย่างนั้นหรอก   แต่คุณป้ากลับบอกว่าไม่มีปัญหา  แค่เอาตรงที่เปื้อนดินทิ้ง แล้วค่อยกินก็ได้  ที่สุดคุณป้าก็ขอซื้อเต้าหู้ไปจนได้   ชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่ยืนดูอยู่ก็เข้ามาขอซื้อเต้าหู้กันถ้วนหน้า   เย็นวันนั้นคุณตาไม่เหลือเต้าหู้ติดจักรยานสักก้อนเดียว คุณตากลับบ้านด้วยความรู้สึกว่าตัวเบากว่าทุก ๆ วันเราต้องแบ่งปันส่วนของเรา ให้แก่คนที่ลำบาก  ร่วมกันแบ่งปันความเจ็บปวดกับคนที่ตกทุกข์ได้ยาก  น้ำใจเช่นนี้จะทำให้โลกของเราอบอุ่นน่าอยู่  โลกที่เราอาศัยอยู่จะงดงาม สดสวยด้วยคนเหล่านั้น (ที่มา : หนังสือ Vitamin story เขียน พาก ซอง ซอล, แปลโดย อันตน)

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เก้าอี้ตัวนั้น

เก้าอี้ตัวนั้น
วันเวลาเดินมาอย่างรวดเร็ว ผ่านมาครึ่งปีแล้ว ผ่านแดดที่ร้อนจ้า ฟ้าฝนกำลังมา แล้วที่ผ่านมา เราเคยแหงนหน้ามองท้องฟ้ามองไปไกล ๆ จากตัวเราออกไปมากน้อยสักเพียงใด หรือเพียงแต่ก้มหน้าก้มตาหาเงิน จนลืมมองดูสิ่งรอบ ๆ ที่ผ่านเข้ามาแล้วผ่านไป ใช่หรือไม่ นอกจากเงินทองทรัพย์สมบัติภายนอกที่เราใฝ่ฝัน ดิ้นรนค้นหามาครอบครองกันแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่คนในยุคเรา ยุคสมัยใหม่ต้องการเพื่อก้าวสู่ความสำเร็จก็คือ ตำแหน่ง โดยมีสัญลักษณ์ “เก้าอี้” ที่ต่างคนต่างยื้อแย่งกันเหมือนกับกำลังเล่นเก้าอี้ดนตรี ที่พยายามแข่งกันยึดเก้าอี้ตัวนั้นมาเป็นของเราให้ได้ เวลาที่เรายึดติดอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ใจเราก็จะมีความห่วง มีความกังวลคอยคิดอยู่เรื่อยว่า สิ่งต่าง ๆ ที่เรารัก ที่เราชอบ ยังอยู่กับเราหรือเปล่าแล้วจะอยู่กับเราไปได้นานสักแค่ไหน เรื่องเหล่านี้นั้นล้วนเป็นการสร้างความเครียด สร้างความวิตก สร้างความกังวล ทำให้ใจไม่สงบไม่นิ่ง สิ่งนี้แหละที่เรียกกันว่า “ความหลง

บางคนหลงใหลในตำแหน่งแห่งหนต้องมีคำนำหน้าชื่อ ต้องมีการระบุตำแหน่ง ยศ ระดับ โดยลืมไปว่าในตำแหน่งนั้นได้บ่งบอกถึงความรับผิดชอบ ต้องทำภาระหน้าที่หนักและมากกว่าคนอื่น หาใช่เป็นเพียงเครื่องบ่งบอกถึงการมีอำนาจเหนือคนอื่นเท่านั้น หลายคนเสพสิ่งเหล่านี้ถึงกับต้องมีเก้าอี้ให้นั่งหลาย ๆ ตัว หลาย ๆ ที่ เมื่อมีแล้วก็ไม่ปล่อยให้ใครเข้ามานั่งแทนที่ได้ง่าย ๆ แม้จะต้องปล่อยให้เก้าอี้นั้นว่าง นาน ๆ ถึงจะมาใช้มานั่งสักครั้งหนึ่ง ก็ไม่ยอมสละเพราะคิดว่ามีแต่เพียงตัวเองเท่านั้น ที่เหมาะสมกับ “เก้าอี้ตัวนี้”
ในชีวิตจริงของเราแต่ละคนย่อมมีภาระหน้าที่ มีเก้าอี้ประจำกันด้วยทุกคน บางคนอาจจะเป็นเก้าอี้หลุยส์อย่างแพง บางคนเป็นเพียงเก้าอี้พลาสติก เก้าอี้หวาย ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่สาระมันอยู่ตรงที่เราใช้เก้าอี้ตัวนั้นอย่างคุ้มค่าหรือยัง ใช้เก้าอี้ตัวนั้นตามความสามารถเพื่อก่อประโยชน์สุขครบถ้วนหรือไม่ หรือว่า... เราปล่อยเก้าอี้นั้นให้ว่าง ตากแดด ตากลม ตากฝน ไม่สนใจต่อภาระหน้าที่ของเรา โดยกระทั่งไม่รู้ว่า “เราเป็นใคร” เพราะมัวแต่ออกไปแสวงหาเก้าอี้ตัวใหม่ ตัวใหญ่กว่าเดิมอยู่ร่ำไป เรามิได้นำพาสิ่งที่เราเป็น มิได้สำนึกในสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบต่อการดำรงชีวิต
ในอีกมุมหนึ่งในบางครั้งตำแหน่ง ภาระหน้าที่เก้าอี้ที่เราได้มานั้น หากเราไม่นั่ง หากเราไม่สามารถจะทำหน้าที่หรือทำแล้วทำไม่เต็มที่ เราก็ต้องรู้จักที่จะถอย ต้องรู้จักที่จะมอบหมายให้ผู้อื่นได้ใช้ให้เกิดประโยชน์ดีกว่าปล่อยให้ว่าง ๆ ยังมีคนที่คู่ควร ยังมีคนที่ขาดแคลนที่นั่ง ใช่หรือไม่ บางครั้งเรายึดมั่นถือมั่นจนหลงลืมว่า โลกนี้ยังมีคนต้องการสิ่งที่เราเหลือกินเหลือเก็บเหลือใช้อีกเป็นจำนวนมาก ความทุกข์ทั้งหลายทั้งมวลเกิดจากความยึดติดยึดติดปัญหาต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตที่สำคัญคือ การยึดติดในตัวตนโดยไม่รู้ตัวเป็นอันตรายอย่างยิ่ง วันใดที่เรารู้ว่าเราเป็นใคร แล้วควรทำอะไร อย่าเอาความหลงนำพาชีวิต เลือกและใช้เก้าอี้ให้ถูกที่ถูกเวลา สันติสุขในใจคือสิ่งที่ตามมา ในเวลาที่เราได้นั่งอยู่ตรงนั้น....
วันเวลาเดินมาอย่างรวดเร็ว ผ่านมาครึ่งปีแล้ว ผ่านแดดที่ร้อนจ้า ฟ้าฝนกำลังมา แล้วที่ผ่านมา เราเคยแหงนหน้ามองท้องฟ้ามองไปไกล ๆ จากตัวเราออกไปมากน้อยสักเพียงใด หรือเพียงแต่ก้มหน้าก้มตาหาเงิน จนลืมมองดูสิ่งรอบ ๆ ที่ผ่านเข้ามาแล้วผ่านไป ใช่หรือไม่ นอกจากเงินทองทรัพย์สมบัติภายนอกที่เราใฝ่ฝัน ดิ้นรนค้นหามาครอบครองกันแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่คนในยุคเรา ยุคสมัยใหม่ต้องการเพื่อก้าวสู่ความสำเร็จก็คือ ตำแหน่ง โดยมีสัญลักษณ์ “เก้าอี้” ที่ต่างคนต่างยื้อแย่งกันเหมือนกับกำลังเล่นเก้าอี้ดนตรี ที่พยายามแข่งกันยึดเก้าอี้ตัวนั้นมาเป็นของเราให้ได้ เวลาที่เรายึดติดอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ใจเราก็จะมีความห่วง มีความกังวลคอยคิดอยู่เรื่อยว่า สิ่งต่าง ๆ ที่เรารัก ที่เราชอบ ยังอยู่กับเราหรือเปล่าแล้วจะอยู่กับเราไปได้นานสักแค่ไหน เรื่องเหล่านี้นั้นล้วนเป็นการสร้างความเครียด สร้างความวิตก สร้างความกังวล ทำให้ใจไม่สงบไม่นิ่ง สิ่งนี้แหละที่เรียกกันว่า “ความหลง
บางคนหลงใหลในตำแหน่งแห่งหนต้องมีคำนำหน้าชื่อ ต้องมีการระบุตำแหน่ง ยศ ระดับ โดยลืมไปว่าในตำแหน่งนั้นได้บ่งบอกถึงความรับผิดชอบ ต้องทำภาระหน้าที่หนักและมากกว่าคนอื่น หาใช่เป็นเพียงเครื่องบ่งบอกถึงการมีอำนาจเหนือคนอื่นเท่านั้น หลายคนเสพสิ่งเหล่านี้ถึงกับต้องมีเก้าอี้ให้นั่งหลาย ๆ ตัว หลาย ๆ ที่ เมื่อมีแล้วก็ไม่ปล่อยให้ใครเข้ามานั่งแทนที่ได้ง่าย ๆ แม้จะต้องปล่อยให้เก้าอี้นั้นว่างนาน ๆ ถึงจะมาใช้มานั่งสักครั้งหนึ่ง ก็ไม่ยอมสละเพราะคิดว่ามีแต่เพียงตัวเองเท่านั้น ที่เหมาะสมกับ “เก้าอี้ตัวนี้”
ในชีวิตจริงของเราแต่ละคนย่อมมีภาระหน้าที่ มีเก้าอี้ประจำกันด้วยทุกคน บางคนอาจจะเป็นเก้าอี้หลุยส์อย่างแพง บางคนเป็นเพียงเก้าอี้พลาสติก เก้าอี้หวาย ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่สาระมันอยู่ตรงที่เราใช้เก้าอี้ตัวนั้นอย่างคุ้มค่าหรือยัง ใช้เก้าอี้ตัวนั้นตามความสามารถเพื่อก่อประโยชน์สุขครบถ้วนหรือไม่ หรือว่า... เราปล่อยเก้าอี้นั้นให้ว่าง ตากแดด ตากลม ตากฝน ไม่สนใจต่อภาระหน้าที่ของเรา โดยกระทั่งไม่รู้ว่า “เราเป็นใคร” เพราะมัวแต่ออกไปแสวงหาเก้าอี้ตัวใหม่ ตัวใหญ่กว่าเดิมอยู่ร่ำไป เรามิได้นำพาสิ่งที่เราเป็น มิได้สำนึกในสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบต่อการดำรงชีวิต

ในอีกมุมหนึ่งในบางครั้งตำแหน่ง ภาระหน้าที่เก้าอี้ที่เราได้มานั้น หากเราไม่นั่ง หากเราไม่สามารถจะทำหน้าที่หรือทำแล้วทำไม่เต็มที่ เราก็ต้องรู้จักที่จะถอย ต้องรู้จักที่จะมอบหมายให้ผู้อื่นได้ใช้ให้เกิดประโยชน์ดีกว่าปล่อยให้ว่าง ๆ ยังมีคนที่คู่ควร ยังมีคนที่ขาดแคลนที่นั่ง ใช่หรือไม่ บางครั้งเรายึดมั่นถือมั่นจนหลงลืมว่า โลกนี้ยังมีคนต้องการสิ่งที่เราเหลือกินเหลือเก็บเหลือใช้อีกเป็นจำนวนมาก ความทุกข์ทั้งหลายทั้งมวลเกิดจากความยึดติดยึดติดปัญหาต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตที่สำคัญคือ การยึดติดในตัวตนโดยไม่รู้ตัวเป็นอันตรายอย่างยิ่ง วันใดที่เรารู้ว่าเราเป็นใคร แล้วควรทำอะไร อย่าเอาความหลงนำพาชีวิต เลือกและใช้เก้าอี้ให้ถูกที่ถูกเวลา สันติสุขในใจคือสิ่งที่ตามมา ในเวลาที่เราได้นั่งอยู่ตรงนั้น....