วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2559

ขึ้นๆ ลงๆ คงมีความงาม

ขึ้นๆ ลงๆ คงมีความงาม
              การเดินทางสู่ทางตอนเหนือของประเทศอังกฤษเริ่มต้นด้วยการเยี่ยมเยียนอาสนวิหารแห่งเมืองลิเวอร์พูล Metropolitan Cathedral of Christ the King ท่ามกลางสายลมที่พัดพานำความหนาวเย็นมาปะทะใบหน้าที่ไร้ที่ปกปิด ภายนอกด้านหน้ามีบันไดขึ้นสู่ตัววิหารสูงพอสมควร มีศิลปะสลักตราสัญลักษณ์ของพระสันตะปาปากลางแสงส่อง   เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งพระจิตเจ้าที่ยังช่วยเหลือพระศาสนจักรมาจวบจนปัจจุบันดูเด่นเป็นสง่า บนยอดวิหารสร้างขึ้นเหมือนมงกุฎของกษัตริย์ ภายในตัววัดเป็นวงกลมมีที่นั่งสัตบุรุษล้อมรอบ พระแท่นอยู่ตรงกลาง ด้านหน้าพระแท่นเป็นรูปลูกแกะกับไม้กางเขนเอียง เปรียบเหมือนลูกแกะกำลังแบกกางเขนอยู่ ด้านรอบๆ เป็นพระแท่นเล็กๆ ให้ผู้มาเยือนสวดภานา มีศิลปะเกี่ยวกับคำสอนสวยงามอยู่รายรอบ มีรูป 14 ภาคสีทองท่ามกลางกระจกสีม่วงเข้ม เราจึงมาสวดขอบคุณวันเวลาที่พระประทานให้เราในช่วงพักผ่อนนี้ และให้พระคุ้มครองตลอดการเดินทางท่องไปทางภาคเหนือของอังกฤษในครั้งนี้ด้วย

              จากนั้นผู้นำทางของเราได้พาเราไปยังเมืองต่างๆ ภายในหนึ่งสัปดาห์ เช่น วินเดอร์เมียร์ เกรตนา  กลาสโกว์ เอดินเบอะรา สกอตแลนด์ (ที่เป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร)  เมืองนิวคาสเซิล วิทบิ สคาร์เบอระ ลีดส์ ยอร์ค ลินคอร์น น็อตติ้งแฮม และอีกหลายเมือง สิ่งที่น่าจดจำนอกจากสถานที่สำคัญๆ ของเมืองต่างๆ เหล่านั้น ก็อยู่ตรงที่ผู้นำทางของเราเป็นผู้รู้เส้นทางค่อนข้างดีมาก รู้ว่าควรไปในเส้นทางไหน โดยส่วนใหญ่มักพาเราไปในทางรอง ที่ไม่ใช่ทางหลัก แต่ไปถึงจุดหมายปลายทางได้ ถามว่าทำไม? เพราะทางรองเหล่านี้แม้จะไม่ค่อยมีรถราวิ่ง ทางมักเป็นทางขึ้นๆลงๆภูเขา แต่สองข้างทางนั้นสวยงามเพลินตายิ่งนัก แม้หนทางจะดูไม่ราบเรียบ ความงามของภูเขา ทุ่งกว้างเขียวขจี มีฝูงแกะหากินตามทุ่งนั้น เป็นความงามที่เชยชมอย่างมิรู้เบื่อ จึงลืมไปว่าทางขึ้นลงมานั้นมีมากน้อยเท่าไร หากเราพะวงกับการขึ้นลงเขาเพียงอย่างเดียว เราก็พลาดความงามสองข้างทาง หากเราไปทางหลักเราก็ไปถึงได้เร็วกว่าแต่คงขาดความงามและบรรยากาศแห่งท้องทุ่งไป มีบางครั้งบางที่อดรนทนไม่ไหวขอลงไปถ่ายภาพเก็บไว้ เมื่อก้าวย่างลงจากรถก็พบกับสายลมผสมผสานกับความเย็นยะเยือก บางที่มีสายฝนปอยๆลงมาผสมโรงอีก หรือแม้กระทั่งระหว่างรอยต่อสก๊อตแลนด์กับอังกฤษเราพบชาวสกอตเป่าปี่สวมใส่ชุดลายสกอต เราก็จอดรถข้ามถนนเพื่อไปฟังเสียงปี่อันไพเราะนั้น แม้สภาพอากาศจะไม่เอื้ออำนวย แต่ความสุขอิ่มเอมของบรรยากาศข้างหน้านั้นก็ทำให้เราสามารถที่จะยืนอยู่ในที่นั้นได้
             
ในระหว่างทางขึ้นๆ ลงๆ ในบางขณะเพื่อนได้เล่าเรื่องราวความทุกข์ยากของชีวิตให้ฟัง เล่าถึงความสุขที่ได้รับมา ทั้งจากวัยเด็กจวบจนปัจจุบันที่ใช้ชีวิตในต่างแดน จึงอดที่จะคิดถึงชีวิตตนเองไม่ได้ หลายครั้งในชีวิตเราก็เป็นเช่นนั้นมีขึ้นมีลง ใช่หรือไม่ ชีวิตไม่ได้มีแต่ช่วงขาขึ้นเพียงอย่างเดียว ยังมีช่วงขาลงด้วยเช่นกัน ถ้าคนเราไม่รู้จุดต่ำสุด  ก็จะไปไม่ถึงจุดสูงสุด ไม่มีกราฟของชีวิตของคนไหนหรอกที่ตกตลอด เมื่อลงถึงจุดต่ำสุดแล้ว  ก็มีโอกาสพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดเช่นกัน ตราบใดที่พระอาทิตย์ยังขึ้นทางทิศตะวันออก เราต้องอยู่อย่างมีความหวังอยู่เสมอ ชีวิตคนเรานั้นไม่แน่นอน มีขึ้นมีลงอยู่ตลอดเวลา เราต้องอยู่ในความไม่ประมาท ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เรียนรู้ และรู้จักที่จะอยู่กับทุกช่วงเวลา ในทุกช่วงเวลานั้นมีความงามอยู่เสมอ บางทีเราอาจจะมองไม่เห็นหรือมองข้ามไปได้
              บางคนเมื่อตัวเองขึ้นถึงที่สุดก็คิดว่านี่คือสุดยอดแล้ว ประสบความสำเร็จแล้ว และเริ่มประมาทไม่มองสิ่งอื่นนอกจากจมอยู่กับความภาคภูมิใจนั้น คิดเอาง่ายๆว่า ความสำเร็จได้มานั้นง่ายนิดเดียว ไม่ต้องทำอะไรมาก เริ่มเกิดความชะล่าใจ ขาดการดูแลเอาใจใส่และไม่ต่อเติมจากสิ่งที่ได้รับมา ไม่ออกมายืนมองดูสิ่งแวดล้อมภายนอก ไม่ได้สัมผัสกลิ่นอายรสชาติของความเป็นมนุษย์เปรียบได้เหมือนต้นไม้ที่เจ้าของไม่ค่อยรดน้ำพรวนดิน ต้นไม้ก็ค่อยๆแห้งเหี่ยวเฉาลง ไม่นานความสำเร็จนั้นก็กลายเป็นอดีต ทุกอย่างก็ค่อยๆ ร่วงโรย เหมือนใบไม้แห้งที่หล่นลงจากต้น คนเราทำอะไร อย่าได้ชะล่าใจ อย่าประมาท ทำทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องเสมอต้นเสมอปลาย ทำๆขาดๆหายๆ ไม่ต่อเนื่อง ชีวิตก็จะไม่ต่อเนื่อง จะมีขึ้นๆลงๆ ถ้าใครตอนนี้ ชีวิตอยู่ช่วงขาขึ้น ชีวิตหน้าที่การงานไปได้ด้วยดี ก็ต้องรักษาระดับ keep momentum นี้เอาไว้ อย่าให้ชีวิต หรือความสำเร็จลดลง ถ้าสังเกตเห็นอะไรที่เริ่มคล้อยลงต่ำ หรืออยู่ในช่วงขาลง ก็รีบเปลี่ยนแปลง หรือแก้ไขวิถีการดำเนินชีวิต ปรับปรุงและปรับเปลี่ยนให้ไปในทางที่ดีขึ้น

              ส่วนใครที่พลาดไปแล้ว หลง ลืมตัว ไปแล้ว อยู่ในช่วงขาลงสุดๆ ก็ต้องรู้จักคิด ทำใหม่ แก้ตัวใหม่ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ก็ยังไม่สายเกินไป ชีวิตเราทุกคนมีขึ้น มีลง  เป็นจังหวะชีวิต  ช่วงขาขึ้น  ก็ดีใจพอประมาณ  ช่วงขาลงก็อย่าเศร้าจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อมีขึ้นก็ต้องมีลง  เป็นธรรมดา ขึ้นๆ ลงๆ วนเวียนอยู่เช่นนี้เองหาความงามยามขึ้นหรือลงให้เจอ และรู้จักที่จะพักที่จะทักทายพูดคุยกับตัวเอง เพื่อเราจะได้รู้ว่าเป้าหมายชีวิตที่แท้จริงเราอยู่ตรงไหน ปลุกปลอบชีวิตด้วยกำลังใจ เพื่อให้เกิดความมั่นใจ และยิ้มรับกับทุกสถานการณ์ของชีวิต ยิ้มกลางสายฝน ยิ้มได้เมื่อภัยมานั้น ต้องฝึกหัดตัวเอง ให้คุ้นเคยกับความจริงของชีวิต ว่าทุกอย่างมีขึ้นมีลง ไม่เที่ยง

              ในสภาพที่ร้อนแล้งเรายังพบเห็นดอกหญ้าที่งดงาม ในสภาพที่หนาวยะเยือกเรายังเห็นดอกไม้สร้างสีสันประดับท้องทุ่ง ในสภาพในสภาวะปกติของชีวิตเรายังพบเห็นน้ำใจ ความเอื้ออาทรต่อกัน ยังคงเห็นมิตรภาพเกิดขึ้นได้ในยามทุกข์ท้อ เช่นนี้แล้วเราจึงไม่ควรยึดมั่นกับสภาวะใดสภาวะหนึ่ง ยอมรับการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ตีโพยตีพายรู้เท่าทันอยู่เสมอ ทำใจให้นิ่ง ปล่อยให้สิ่งต่างๆ ผ่านไปเพียงแต่เราต้องเก็บเกี่ยวความงามและความดีเอาไว้ในหัวใจเราเสมอ และเราก็จะพบสันติสุขในชีวิตสามารถที่จะส่งสันติสุขนี้ให้กับผู้อื่นที่ผ่านพบสืบต่อไป นี่ต่างหากคือคุณค่าที่แท้จริงของ “ความงามในชีวิต”

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559

เหนือความคาดการณ์

เหนือความคาดการณ์
เป็นวาระแห่งชีวิตอีกครั้งหนึ่งที่ตั้งไว้ว่าในรอบปีต้องหาเวลาพักผ่อนจากภารกิจและหลีกหนีความจำเจด้วยการท่องโลกกว้าง ในครั้งนี้จึงตั้งจุดหมายปลายทางไว้ที่อังกฤษหลังจากคัดเลือกว่าจะไปไหนดี ไปอย่างไร ไปกับบริษัททัวร์หรือไปเอง เหมือนพระจัดสรรเมื่อน้องและเพื่อนที่อังกฤษติดต่อมา และเสนอว่าให้ไปพักกับเขาและจะพาไปท่องเที่ยวตามที่ต่างๆ จึงตัดสินใจเดินทางกันเองเริ่มดำเนินการเรื่องเอกสารซึ่งมีความยุ่งยากและมีอุปสรรคพอสมควร  เหนือสิ่งอื่นใดเรามั่นใจในพระเสมอว่าสิ่งใดที่พระโปรดให้เราทำ ให้เราไป ย่อมเป็นไปตามนั้น

เมื่อเดินทางถึงอังกฤษทุกอย่างเกิดขึ้นเกินความคาดหวัง สัปดาห์แรกเพื่อนที่อาศัยอยู่ทางเหนือของประเทศอังกฤษได้มารับเราไปเที่ยวด้วยกันโดยมีสามีผู้เปี่ยมด้วยความรู้และผู้ถ่อมตัวอย่างยิ่งพาเราไปในสถานที่หลายๆ แห่ง และยังได้บอกเล่าประวัติความเป็นมาให้เรารู้ จนกระทั่งในช่วงหลังๆ จึงรู้ว่าเราโชคดีที่อยู่กับผู้ทรงความรู้จบปริญญา 3 ใบ ชำนาญด้วยประวัติศาสตร์ เป็นศิษย์เก่าของมหาลัยในเคมบริดจ์ สิ่งที่ได้รับนอกจากความรู้ ยังสัมผัสได้ถึงการรู้จักใช้ชีวิตอย่างรอบคอบ รู้จักการพอเพียง ในประเทศอังกฤษแม้ว่าจะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่กฎหมายนั้นเข้มข้นอย่างมาก ผู้คนจึงมีระบบมีระเบียบ ระบบภาษีที่เก็บในอัตราค่อนข้างสูง เพื่อนำเงินไปพัฒนาประเทศและใช้สำหรับเลี้ยงดูยามเกษียณ ประชาธิปไตยจึงไม่ใช่เรื่องของอิสระที่จะทำอะไรก็ได้เพียงอย่างเดียว ต้องอยู่ในกรอบกติกาให้ความเคารพสิทธิผู้อื่นด้วย
แน่นอนสิ่งที่พลาดไม่ได้สำหรับการท่องโลกทุกครั้งก็คือ การเยี่ยมชมสถานที่สำคัญทางศาสนา แม้ว่าจะคนละนิกาย แต่รากเง้านั้นมาจากสิ่งเดียวกัน ที่นี่คือ นิกายอังกฤษ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า แองกลิกัน (Anglicanism) ถือกำเนิดในประเทศอังกฤษ โดยมีสาเหตุมาจากการที่ พระเจ้าเฮนรี่ ที่ 8 แห่งอังกฤษ (Henry VIII of England) ต้องการหย่าขาดจาก เจ้าหญิงแคทเธอรีนแห่งอารากอน พระมเหสีของพระองค์ ด้วยเหตุที่เจ้าหญิงไม่สามารถให้บุตรชายเพื่อสืบทอดราชบัลลังก์ของพระองค์ได้ ในขณะนั้นพระองค์ยังนับถือนิกายโรมันคาทอลิกอยู่ ซึ่งการจะหย่าขาดจากเจ้าหญิงแคทเธอรีนก็ต้องได้รับอนุญาตจากพระสันตะปาปาเสียก่อน แต่พระสันตะปาปาเคลเมนท์ ที่ 7 ไม่ทรงอนุญาต ในที่สุดปี ค.ศ.1533 พระองค์ก็ได้ตั้งนิกายอังกฤษ หรือแองกลิกัน ขึ้นมาเป็นศาสนาประจำชาติแต่เพียงศาสนาเดียว

แม้ว่าคริสตจักรอังกฤษได้แยกตัวออกจากวาติกันอย่างเด็ดขาดแล้ว แต่พิธีกรรมความเชื่อและการบริหารงานต่างๆ ก็ยังคงคล้ายกับโรมันคาทอลิกของเราท่านผู้รู้บอกว่าวัดต่างๆ ในอังกฤษส่วนมากก็เป็นวัดคาทอลิกมาก่อน ในเมืองใหญ่ๆ ก็มักมีอาสนวิหารประจำเมือง ที่มีลักษณะหอสูงเด่นและข้างในประดับด้วยกระจกสีเหมือนๆ กัน ทุกที่ในอังกฤษเมื่อเราจะเข้าชมภายในต้องเสียค่าเข้าชมซึ่งค่อนข้างแพง ซึ่งก็รวมทั้งวัดด้วย (ยกเว้นพิพิธภัณฑ์เข้าชมฟรี) ใช่หรือไม่ ในชีวิตคนเราบางทีก็มักมีสิ่งที่ไม่คาดหวังเกิดขึ้นเสมอ และบางครั้งเราคาดหวังมากเกินไปก็มักไม่เป็นดังหวัง ฉะนั้นแล้วทุกอย่างหากมอบความไว้ใจในสิ่งที่เราเชื่อเราศรัทธา อัศจรรย์ในชีวิตก็เกิดขึ้นได้ในทุกย่างก้าว

วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2559

หนทางพบความสุขแบบง่ายๆ

หนทางพบความสุขแบบง่ายๆ
           มีหลายคนพร่ำบ่นว่าในชีวิตนี้ช่างหาความสุขได้ยากเต็มที วันๆ สาละวนกับการทำงานหาเลี้ยงชีพ หาเงินเพื่อผ่อนความสบายที่หาซื้อมาใช้ล่วงหน้า บางเดือนเงินไม่พอ หมุนไม่ทัน ต้องดิ้นรนขวนขวาย จนแทบสิ้นแรงสิ้นใจ ทั้งหลายทั้งปวง เราไม่ค่อยคิดในเวลาที่จะใช้จ่ายซื้อความสุขสบายล่วงหน้า ที่จะทำให้เราพบทุกข์กับปัจจุบัน หรือมีบ้างบางคนทำจนชิน โดยมีข้ออ้างสารพัด ที่ทำทุกอย่างนี้เพื่อคนนั้นคนนี้ จนหลงลืมว่าทุกคนเกิดมาก็ต้องมีหน้าที่ มีภารกิจในการจัดการกับชีวิตตัวเองให้มีความสุข เราต้องรู้จักที่จะปล่อยให้คนอื่นมีอิสระในการพบความสุขความสำเร็จด้วยตัวเองบ้าง

           เศรษฐีคนหนึ่งป่วยเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษา เขารู้สึก เสียใจและแค้นเคืองในชีวิต อีกทั้งหวาดกลัว ว่าจะอยู่บนโลกนี้ได้อีกไม่นาน เขาเดินทางไปพบกับหมอจีนท่านหนึ่ง เมื่อหมอทำการจับเส้นชีพจร จึงบอกกับเขาว่า “โรคที่คุณเป็นอยู่นี้ ไม่มียาใดสามารถรักษาได้ แต่ผมจะบอกสูตรยา 3 ตำรับให้แก่คุณ       ขอให้คุณทำตามอย่างเคร่งครัด เมื่อทำครบสูตรแล้วจึงจะเปิดสูตรยาห่อต่อไป ”
        เมื่อกลับถึงบ้าน เศรษฐีทำการเปิดตำรับยาสูตรแรกในห่อยานั้นไม่มียาใดๆ เลย นอกจากข้อความว่า “ให้คุณไปที่ชายทะเล และนอนลงบนหาดทราย 30 นาที เป็นเวลา 21 วัน”
ชายเศรษฐีรู้สึกฉงน แต่ก็ทำตามที่หมอบอก แต่ทว่า ทุกครั้งที่เขานอนลงไปบนพื้นทรายก็กินเวลาไปเกือบ 2 ชั่วโมงทุกครั้ง ก็เพราะเขายุ่งมาก ไม่เคยมีเวลาอยู่กับตัวเองและผ่อนคลายอย่างนี้มาก่อน ครั้งนี้เขาได้นอนฟังเสียงลมเสียงคลื่นและเสียงร้องเพลงของนกนางนวล
         ในวันที่ 22 เขาได้แกะห่อยาสูตรที่ 2 เช่นกัน ข้างในมีเพียงข้อความที่เขียนว่า “ให้คุณหากุ้ง หอย ปู ปลา 5 ตัวที่เกยอยู่บนหาดคืนสู่ทะเล ทำอย่างนี้ติดต่อกัน 21 วัน” แม้จะอดแปลกใจไม่ได้กับข้อความที่เห็น แต่เขาก็ยอมทำตาม ทุกครั้งที่เขานำเอากุ้ง หอย ปู ปลาคืนสู่ท้องทะเล เขาก็รู้สึกปลื้มปิติใจเป็นอย่างยิ่ง
        ในวันที่ 43 เขาแกะห่อยาสูตรที่ 3 ก็ได้พบกับข้อความที่เขียนว่า “ให้คุณหากิ่งไม้มาหนึ่งกิ่ง จากนั้นให้เขียนความรู้สึกคับแค้นใจหรือความโกรธชิงชังของคุณลงไปบนหาดทรายนั้น” เมื่อเขาลงมือเขียนได้ไม่เท่าไหร่ คลื่นของน้ำทะเลก็สาดกลบและลบข้อความที่เขาเขียนนั้นหายไป เขาตกตะลึงและร้องไห้โฮออกมา เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน เขารู้สึกสบายกายสบายใจเป็นอย่างยิ่งเขารู้สึกเป็นอิสระและไม่ได้เกรงกลัวกับความตายอีกต่อไป (ที่มา:/www.facebook.com/NusonBook)
        ความสุขนั้นหาไม่ยากเลย เพียงแต่เราชอบที่จะมีอะไรรกรุงรังมาปกปิดไว้จนหลงลืมไป รู้จักพักผ่อน เรียนรู้ที่จะให้และปล่อยวางกับความทุกข์ ความโกรธลงบ้าง วิธีง่ายๆ แบบนี้ ถ้าใครอยากพบความสุขลองไปทำดูได้ สุขสันต์วันเวลาแห่งความสุขครับ




วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2559

งดงามในมุมมอง


งดงามในมุมมอง

การดำเนินชีวิตในแต่ละวันของแต่ละคนบางทีก็วนเวียนอยู่กับกิจวัตรเดิมๆ เช้าตื่นไปทำงานในเส้นทางเดิม กินอาหารก็ไม่รู้จะกินอะไรนอกจากสั่งแบบเดิมๆ พบเจอแต่เพื่อนหน้าเดิมๆ ทุกอย่างดูเหมือนวนเวียนซ้ำซาก จนบางคนเกิดความเบื่อหน่าย พาลทำให้มีชีวิตซังกะตายอยู่ไปวันๆ หมดความคิดสร้างสรรค์ หลายคนเลือกที่จะออกไปท่องยังที่ต่างถิ่น เพื่อเพิ่มความแปลกใหม่ เพื่อลดความจำเจลง แต่แล้ว...ก็ต้องกลับมาสู่วงจรชีวิตแบบเก่าๆ แล้วจะทำอย่างไร? เพื่อให้ชีวิตของเราไม่ตกอยู่ในวังวนแบบนี้ มีผู้รู้หลายคนชี้แนะให้หามุมมองใหม่ในสิ่งเก่าๆ ของเราดูบ้าง หรือไม่เราก็ต้องปรับทัศนคติกับสิ่งที่เรามี  เราเป็นอยู่ และชื่นชมความงดงามในสิ่งนั้น

http://image.dek-d.com/25/2886333/108695130
อาร์เทอร์ รูบินสไตน์ นักเปียโนชาวยิว-อเมริกัน มักจะเดินทางไปพบปีกัสโซ่อยู่เสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่อาร์เทอร์เห็นปีกัสโซ่วาดภาพเดิมๆ ในที่เดิมๆ เป็นเวลานานหลายเดือน องค์ประกอบในภาพมีระเบียงที่เป็นราวเหล็กดัด มีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีขวดไวน์และกีต้าร์อยู่หนึ่งตัว เมื่อปีกัสโซ่วาดภาพเดิมๆ ถึง 50 ภาพ อาร์เทอร์จึงอดทนต่อไปอีกไม่ไหว เขาได้ถามเพื่อนรักว่า

นายวาดรูปเดิมๆ ทุกวันไม่รู้สึกเบื่อบ้างหรือยังไง?”

ปีกัสโซตอบอาร์เทอร์ว่า

นายพูดอะไรผิดหรือเปล่า? นายไม่รู้จริงๆ หรือยังไง ว่าในทุกๆ นาที ก็มิใช่ฉันคนเดิม ทุกนาทีมีแสงใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ แม้เราจะเห็นระเบียงอันเดิม ขวดไวน์อันเดิม กีตาร์ตัวเดิม แต่ฉันเห็นสิ่งที่แตกต่างกันออกไปทุกขณะเวลา ฉันเห็นขวดไวน์ที่ไม่เหมือนเดิม เห็นโต๊ะที่ไม่เหมือนเดิม เห็นชีวิตที่แตกต่างกันไปบนโลกใบนี้ ในสายตาของฉัน สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม

จากนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่อาร์เทอร์เล่นเปียโน เขาก็ได้ท่วงทำนองใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอไม่ขาด
http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000007685802.JPEG
 

ใช่หรือไม่ ท้องทะเลเดิมๆ วิธีการจับปลาเดิมๆ นั้น บางทีก็ไม่ค่อยได้ปลาอย่างที่ต้องการ แต่เมื่อลองวิธีการใหม่ๆ ทำตามคำแนะนำของผู้อื่น เรียนรู้ถูกผิดกับสิ่งที่มี เราจะตื่นตัว ไม่กลัวที่จะอยู่กับวิถีแบบเดิมอีกต่อไป โลกเราก็ยังคงงดงามอยู่ดังเดิม การดำเนินชีวิตล้วนเต็มไปด้วยสีสัน จิตวิญญาณเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิต มันขึ้นอยู่กับว่าเราพร้อมที่จะเชื่อและศรัทธากับทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรามากน้อยเพียงใด ถ้าเรารักชีวิตของเรา ก็ต้องพยายามสร้างความงดงามให้เกิดขึ้นทุกย่างก้าว ตรงความพยายามนี้เอง คือพลังที่จะทำให้เราพบกับความสุขอันแท้จริง โดยไม่ต้องรออะไรมาเสริมเติมแต่งและมีความสุขอยู่กับทุกวันเวลา

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2559

ความสมบูรณ์ที่หายไป

ความสมบูรณ์ที่หายไป
ท่ามกลางข่าวสารที่หลั่งไหลออกมาให้เรารับรู้ผ่านทางโซเชียลมีเดียในแต่ละวันนั้น มีสิ่งหนึ่งแฝงเร้นอยู่ หากเราสังเกตดีๆ จะเห็นว่าแต่ละข่าวมีเรื่องของความโลภ โกรธ หลง ในปัจจัยภายนอกเจือปนอยู่แทบทั้งนั้น ในสังคมที่เราเทิดทูนบูชาวัตถุภายนอกอย่างไม่ลืมหูลืมตาเช่นวันนี้ เราจึงหลงลืมบางสิ่งบางอย่างไป บางสิ่งบางอย่างนั้นบางครั้งมีความสำคัญและมีค่ามากกว่าสิ่งใดๆ สิ่งที่สังคมเรากำลังหลงลืมนั่นคือการยึดถือความซื่อสัตย์ การยึดโยงความอารีมีน้ำใจต่อกัน รู้จักการให้อภัยต่อกันอย่างจริงใจ
http://images.diaryis.com/m/maria/20080927.JIGSAW_resize.jpg
ในแต่ละวันเราเห็นความวุ่นวาย ความกระวนกระวายกระหายหาสิ่งต่างๆ เข้ามาสู่ชีวิต โดยลืมคิดลืมมองว่า แท้จริงแล้วในแต่ละชีวิตของเราได้ถูกเติมเพิ่มพูนสมบูรณ์มาพร้อมแล้ว เพียงแต่รอเราจะเป็นคนนำขึ้นมาใช้เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนให้ชีวิตดำรงอยู่อย่างสงบสันติ เราพบความรัก ความเมตตาอาทรในทุกที่ แต่เป็นเราเองที่กลับปฏิเสธด้วยความโกรธ โมโห เราพบกับความสุขในทุกลมหายใจ แต่เราเลือกที่จะเอาความทุกข์มาสวมใส่ด้วยความอยากได้ ด้วยความโลภ และความหลงในความเก่งของตนมากไปจนลืมคนรอบข้างไปหมดสิ้น
จอร์จ วอชิงตันคือประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ตอนที่เขายังเป็นเด็กนั้น เขาได้ตัดต้นเชอรี่ของพ่อไป 2 ต้น พอพ่อของเขากลับมาถึงบ้านก็โมโหมาก
ถ้าฉันรู้ว่าใครเป็นคนตัดต้นเชอรี่ของฉันแล้วละก้อ ฉันจะตั้นหน้ามันหนักๆ สักหมัด คอยดู
จากนั้นพ่อของเขาก็เดินไปถามคนแถวบ้าน แต่ก็ไม่มีใครรู้แม้แต่สักคนเดียว พ่อของเขาจึงตัดสินใจถามลูกชาย วอชิงตันเริ่มร้องไห้และกล่าวว่า
ผมเป็นคนตัดต้นเชอรี่ของพ่อเองครับ
จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้น พ่อของเขากอดลูกชายและบอกแก่ลูกชายว่า
ลูกรักของพ่อ พ่อยินดีเสียต้นเชอรี่ไปเป็นร้อยๆ ต้น แต่ไม่ยินดีฟังคำโกหกของลูก ลูกพ่อช่างกล้าหาญนัก
            เวลาเราทำผิดเรามักกลัว เมื่อกลัวก็พยายามหาเกราะมาปกปิด มีบางคนพอเห็นเกราะที่สร้างขึ้นมาสามารถปกปิดได้ ก็ยึดเอาเกราะนั้นเป็นสรณะไปทั้งชีวิต ปิดทางนั้นทีทางนี้ที ปิดไปปิดมาปิดไม่มิด ชีวิตก็เลยเต็มไปด้วยความกังวล สับสน กระวนกระวาย แท้จริงแล้วหากเราจริงใจต่อทุกการกระทำ จริงใจต่อทุกคนที่พบพานผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่มีเล่ห์เร้นมายาต่อกัน ไม่หวังผลในสายสัมพันธ์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพลังที่จะส่งเสริมให้มนุษย์เราเป็นคนโดยสมบูรณ์ตามที่พระเจ้าประทานให้แก่เราในวันแรกที่เราลืมตาดูโลก และเราตอบได้ไหมว่า วันนี้ความสมบูรณ์ในวันนั้นอยู่กับเรามากน้อยเพียงใด...
ท่ามกลางข่าวสารที่หลั่งไหลออกมาให้เรารับรู้ผ่านทางโซเชียลมีเดียในแต่ละวันนั้น มีสิ่งหนึ่งแฝงเร้นอยู่ หากเราสังเกตดีๆ จะเห็นว่าแต่ละข่าวมีเรื่องของความโลภ โกรธ หลง ในปัจจัยภายนอกเจือปนอยู่แทบทั้งนั้น ในสังคมที่เราเทิดทูนบูชาวัตถุภายนอกอย่างไม่ลืมหูลืมตาเช่นวันนี้ เราจึงหลงลืมบางสิ่งบางอย่างไป บางสิ่งบางอย่างนั้นบางครั้งมีความสำคัญและมีค่ามากกว่าสิ่งใดๆ สิ่งที่สังคมเรากำลังหลงลืมนั่นคือการยึดถือความซื่อสัตย์ การยึดโยงความอารีมีน้ำใจต่อกัน รู้จักการให้อภัยต่อกันอย่างจริงใจ
ในแต่ละวันเราเห็นความวุ่นวาย ความกระวนกระวายกระหายหาสิ่งต่างๆ เข้ามาสู่ชีวิต โดยลืมคิดลืมมองว่า แท้จริงแล้วในแต่ละชีวิตของเราได้ถูกเติมเพิ่มพูนสมบูรณ์มาพร้อมแล้ว เพียงแต่รอเราจะเป็นคนนำขึ้นมาใช้เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนให้ชีวิตดำรงอยู่อย่างสงบสันติ เราพบความรัก ความเมตตาอาทรในทุกที่ แต่เป็นเราเองที่กลับปฏิเสธด้วยความโกรธ โมโห เราพบกับความสุขในทุกลมหายใจ แต่เราเลือกที่จะเอาความทุกข์มาสวมใส่ด้วยความอยากได้ ด้วยความโลภ และความหลงในความเก่งของตนมากไปจนลืมคนรอบข้างไปหมดสิ้น
จอร์จ วอชิงตันคือประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ตอนที่เขายังเป็นเด็กนั้น เขาได้ตัดต้นเชอรี่ของพ่อไป 2 ต้น พอพ่อของเขากลับมาถึงบ้านก็โมโหมาก
ถ้าฉันรู้ว่าใครเป็นคนตัดต้นเชอรี่ของฉันแล้วละก้อ ฉันจะตั้นหน้ามันหนักๆ สักหมัด คอยดู
จากนั้นพ่อของเขาก็เดินไปถามคนแถวบ้าน แต่ก็ไม่มีใครรู้แม้แต่สักคนเดียว พ่อของเขาจึงตัดสินใจถามลูกชาย วอชิงตันเริ่มร้องไห้และกล่าวว่า
ผมเป็นคนตัดต้นเชอรี่ของพ่อเองครับ
จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้น พ่อของเขากอดลูกชายและบอกแก่ลูกชายว่า
ลูกรักของพ่อ พ่อยินดีเสียต้นเชอรี่ไปเป็นร้อยๆ ต้น แต่ไม่ยินดีฟังคำโกหกของลูก ลูกพ่อช่างกล้าหาญนัก
http://sv5.postjung.com/imgcache/data/657/657405-topic-ix-0.jpg


            เวลาเราทำผิดเรามักกลัว เมื่อกลัวก็พยายามหาเกราะมาปกปิด มีบางคนพอเห็นเกราะที่สร้างขึ้นมาสามารถปกปิดได้ ก็ยึดเอาเกราะนั้นเป็นสรณะไปทั้งชีวิต ปิดทางนั้นทีทางนี้ที ปิดไปปิดมาปิดไม่มิด ชีวิตก็เลยเต็มไปด้วยความกังวล สับสน กระวนกระวาย แท้จริงแล้วหากเราจริงใจต่อทุกการกระทำ จริงใจต่อทุกคนที่พบพานผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่มีเล่ห์เร้นมายาต่อกัน ไม่หวังผลในสายสัมพันธ์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพลังที่จะส่งเสริมให้มนุษย์เราเป็นคนโดยสมบูรณ์ตามที่พระเจ้าประทานให้แก่เราในวันแรกที่เราลืมตาดูโลก และเราตอบได้ไหมว่า วันนี้ความสมบูรณ์ในวันนั้นอยู่กับเรามากน้อยเพียงใด...