ทุกอย่างย่อมมีเวลา
ตกใจมิใช่น้อย! ที่อยู่ๆ ก็ได้รับข่าวเศร้ากับการจากไปของเพื่อนผู้หนึ่ง
ที่ได้ต่อสู้กับโรคร้ายมาปีกว่าๆ ทุกอย่างดูเหมือนว่ากำลังจะดีขึ้น
แต่แล้วเพื่อนก็สู้ต่อไม่ไหว
การต่อสู้กับโรคร้ายของเพื่อนผู้จากไปนั้นต้องใช้พลังกายพลังใจอย่างมาก
จวบจนสุดท้ายปลายทางพลังกายหมดสิ้น เรี่ยวแรงมลายหายไป เหมือนใบไม้ที่กรำแดด
อยู่ในมุมที่ต้องโต้ลมมากกว่าใบอื่น วันนี้จึงร่วงหล่น ล่วงเลยไป นี่แหละคือสัจธรรม
วันหนึ่ง วันไหน
เราก็คงร่วงลับลาจากต้นไม้ใหญ่ไป ตามกาลเวลา ตามหมายกำหนดของแต่ละคน
ซึ่งเรามิอาจจะคาดเดารู้ล่วงหน้าได้เลย มีเพียงแต่ต้องตระเตรียมตัวตนให้พัดปลิวลงมาอย่างสวยงามตามจังหวะชีวิต
หากยึดติดมาก หากเร่งรัดไป ไม่อยู่กับวันเวลาและจังหวะชีวิตแห่งตน เราก็จะไม่พบพานความงดงามเลย
ในวันเวลาของเราแต่ละคน
ย่อมมีค่าคู่ควรตามแบบเฉพาะคน ความสุขความทุกข์คู่กันมา
หากแต่ว่าใครจะจมอยู่กับสิ่งใดมากกว่ากัน มีไม่น้อยที่คอยแต่จะใช้ความทุกข์เป็นเครื่องต่อรองกับการดำรงอยู่
โดยที่มิได้หยิบฉวยช่วงเวลาที่มีสุขไว้ครอบครอง คิดเพียงว่าชีวิตนี้หนอทุกข์ยากแสนเข็ญ
เอาความทุกข์ไปเป็นภาระเป็นเสื้อคลุมที่หุ้มห่อ
ปล่อยความสุขให้เป็นเพียงละอองเย็นเพียงพัดผ่านเลยไป ยิ่งจมกับความทุกข์มากเท่าใด
เวลาก็ย่อมผ่านไปกับความทุกข์มากเท่านั้น
ความสุขจึงเหลือพื้นที่ในชีวิตเพียงน้อยนิด
เช่นกัน คนเราเกิดมาย่อมมีด้านดีและด้านร้ายอยู่ด้วยกันทั้งนั้น
บางจังหวะเวลาเราเป็นเทวดาที่งดงาม บางช่วงดังซาตานสิงสู่ในร่างเรา อีกนั่นแหละ
โลกนี้มักจะใช้ด้านร้ายของชีวิตผู้คนมาพูด มายำ
นำมาปรุงสีสันเพื่อให้แต่ละวันที่ผ่านไป มีอะไรให้พูดถึงเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ โลกเราวันนี้เมื่อวานนี้
ชอบที่จะพูดถึงด้านร้าย ความไม่ดีของกันและกัน ชอบที่จะวิจารณ์ นินทา
หาเรื่องใส่ร้ายป้ายสีกัน ก่อให้เกิดมลพิษทางจิตใจต่อกัน จนกลายเป็นโรคร้ายทางจิตวิญญาณที่เกือบจะหาทางรักษากันไม่ได้
บางคนถึงกับต้องใช้ทางลัดเพื่อลาโลกที่เลวร้ายนี้ไปก่อนเวลาอันควร และเราล่ะ ผู้อยู่ในโลกแบบนี้
ในสังคมแบบนี้ ที่มักจะเร่งรัดเวลาของกันและกัน
ที่กดดันโดยไม่ได้เคารพในเวลาของแต่ละคน เราชอบที่จะใช้เวลาของเราเพื่อทำให้คนอื่นเป็นอย่างที่เราคาดคิดเสมอ
แต่เชื่อหรือไม่ เราไม่มีทางที่จะไปกำหนดชีวิตใครได้เลย
ยังมีเณรน้อยรูปหนึ่ง ทุกๆ เช้ารับหน้าที่กวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นจากต้น
มาตกลงตามลานวัด ให้สะอาดเอี่ยม แต่การตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืดเพื่อกวาดลานวัดนั้น
เป็นความลำบากประการหนึ่งโดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วงย่างเข้าฤดูหนาว
เพราะนอกจากอากาศจะเยือกเย็นแล้ว เพียงแค่มีลมพัดมาเบาๆ
ใบไม้ก็พากันหล่นพรูลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน
ดังนั้น ในทุกๆ วันเณรน้อยต้องใช้เวลาอย่างมากในการกวาดใบไม้
ทำความสะอาดลานวัด ซึ่งภาระหน้าที่นี้ ทำให้เณรน้อยปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างยิ่ง
จึงพยายามขบคิดหาวิธีการ เพื่อมาลดภาระอันหนักหน่วงนี้
ต่อมามีพระรูปหนึ่งล่วงรู้ถึงปัญหาหนักอกของเณรน้อย
จึงได้เสนอแนะว่า
“พรุ่งนี้ก่อนที่เจ้าจะลงมือกวาดใบไม้
ลองเขย่าต้นไม้แรงๆ ให้ใบไม้ร่วงลงมาให้หมดก่อนสิ แล้วค่อยกวาดคราวเดียว เพียงเท่านี้เจ้าก็ไม่ต้องกวาดลานวัดซ้ำไปซ้ำมาอีกต่อไป”
เณรน้อยเห็นว่าคำแนะนำนี้น่าสนใจ
เช้าวันต่อมาก่อนที่จะลงมือกวาดลานวัดเหมือนเช่นทุกวัน
เณรน้อยก็รวบรวมกำลังเขย่าต้นไม้อย่างรุนแรง เพื่อให้ใบไม้ที่กำลังจะร่วงนั้น
ร่วงหล่นลงมาให้หมดเสียก่อน
จากนั้นจึงลงมือกวาดลานวัด
และเข้าใจว่าวันพรุ่งนี้ใบไม้ก็จะไม่ร่วงหล่นมาให้กวาดอีก
ทำให้วันนั้นทั้งวันเณรน้อยรู้สึกสบายใจเป็นอันมาก
เช้าวันต่อมา
เณรน้อยตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น ทว่าเมื่อมาถึงลานวัด กลับต้องนิ่งงัน
เพราะลานวัดเต็มไปด้วยใบไม้ ไม่แตกต่างไปจากวันอื่นๆ แต่อย่างใด
ยามนั้นพระเซนที่ทราบเรื่องราว
ได้เดินมากล่าวกับเณรน้อย ที่กำลังยืนหมดอาลัยตายอยากว่า
“ไม่ว่าวันนี้เจ้าจะพยายามเขย่าต้นไม้เท่าไร
วันพรุ่งนี้ใบไม้ยังคงร่วงหล่นเช่นเดิม”
สุดท้ายเณรน้อยจึงเข้าใจว่า
บนโลกใบนี้ยังคงมีหลายเรื่องราวที่ไม่สามารถทำล่วงหน้าได้ เพียงแค่อยู่กับปัจจุบัน
และทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเท่านั้น
ในยุคที่ความเจริญทางด้านวัตถุมีมาก
เรากลับเห็นผู้คนเศร้าหมองมากขึ้น โดดเดี่ยวเงียบเหงา ไร้ที่พึ่งพิง
และคิดสั้นมากขึ้น ด้วยการลาโลกนี้แบบขอจัดการตัวเอง ไม่เคารพเวลา
ไปเร่งรัดต่อชะตาชีวิต เป็นเหมือนการที่เณรไปเร่งเขย่าต้นไม้ให้ใบไม้ร่วง
แต่เอาเข้าจริงความทุกข์ไม่ได้หายไปไหน
บางทีอาจจะไปเพิ่มให้กับคนที่ยังอยู่มากขึ้น ต้องแบกภาระ แบกเวลาของอีกคนเอาไว้ เราถูกเร่งรัดจนเคยชิน
ทุกอย่างต้องได้มาอย่างรวดเร็วไม่ต้องการรอคอย ในยุค 4 จี 5 จี ไม่มีคำว่า “รอคอย”
ทุกอย่างต้องได้เดี๋ยวนี้เวลานี้ ในเมื่อทุกอย่างมีเวลาของมัน
เราไปเร่งไปรวบไปรัดไปมัดให้มาสนองความต้องการของเราฝ่ายเดียว
ย่อมมีผลไปกระทบเวลาของสิ่งอื่นคนอื่นจนทำให้การขับเคลื่อนสังคมผิดปกติ
อย่างที่เราเห็นๆ กันอยู่ เราหลงทางพากันคิดว่าเมื่อมีเครื่องมือที่ดีจะสบายขึ้น ต่อไปจะไม่เห็นความทุกข์ยากอีกแล้ว
ไม่นานเราก็ต้องพบพานอีก คราวนี้แหละไปไม่เป็น ทำไม่ถูก ก็เครียด ก็ทุกข์หนักขึ้น
เวลาที่ควรจะเป็นก็ไม่เป็นดังหวังเสียแล้ว
ใช่หรือไม่
เราควรมีเวลาที่จะพักจิตพักใจให้พบความสันติบ้าง ลดความเร่งรีบลดความรวบรัดออกจากชีวิตเราบ้าง
ด้วยละความอยากได้อยากมีเกินความจำเป็น มองดูเวลาหาจังหวะชีวิตที่เหมาะสม
แล้วดำเนินตามทางนั้น ทางที่มีพระจิตเจ้าทรงนำ หนทางความสว่างก็จะบังเกิดขึ้น คนเราทุกคนเกิดมามีเวลา
มีหน้าที่ของแต่ละคน ใช้วันเวลาให้ถูกจังหวะกับภารกิจบนโลกนี้ให้เป็น
ความร่มเย็นก็จะบังเกิดแก่เราทุกคน และตลอดเวลาที่เหลืออยู่บนโลกนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น