วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ทุกอย่างย่อมมีเวลา

ทุกอย่างย่อมมีเวลา
ตกใจมิใช่น้อย! ที่อยู่ๆ ก็ได้รับข่าวเศร้ากับการจากไปของเพื่อนผู้หนึ่ง ที่ได้ต่อสู้กับโรคร้ายมาปีกว่าๆ ทุกอย่างดูเหมือนว่ากำลังจะดีขึ้น แต่แล้วเพื่อนก็สู้ต่อไม่ไหว การต่อสู้กับโรคร้ายของเพื่อนผู้จากไปนั้นต้องใช้พลังกายพลังใจอย่างมาก จวบจนสุดท้ายปลายทางพลังกายหมดสิ้น เรี่ยวแรงมลายหายไป เหมือนใบไม้ที่กรำแดด อยู่ในมุมที่ต้องโต้ลมมากกว่าใบอื่น วันนี้จึงร่วงหล่น ล่วงเลยไป นี่แหละคือสัจธรรม วันหนึ่ง วันไหน  เราก็คงร่วงลับลาจากต้นไม้ใหญ่ไป ตามกาลเวลา ตามหมายกำหนดของแต่ละคน ซึ่งเรามิอาจจะคาดเดารู้ล่วงหน้าได้เลย มีเพียงแต่ต้องตระเตรียมตัวตนให้พัดปลิวลงมาอย่างสวยงามตามจังหวะชีวิต หากยึดติดมาก หากเร่งรัดไป ไม่อยู่กับวันเวลาและจังหวะชีวิตแห่งตน เราก็จะไม่พบพานความงดงามเลย

ในวันเวลาของเราแต่ละคน ย่อมมีค่าคู่ควรตามแบบเฉพาะคน ความสุขความทุกข์คู่กันมา หากแต่ว่าใครจะจมอยู่กับสิ่งใดมากกว่ากัน มีไม่น้อยที่คอยแต่จะใช้ความทุกข์เป็นเครื่องต่อรองกับการดำรงอยู่ โดยที่มิได้หยิบฉวยช่วงเวลาที่มีสุขไว้ครอบครอง คิดเพียงว่าชีวิตนี้หนอทุกข์ยากแสนเข็ญ เอาความทุกข์ไปเป็นภาระเป็นเสื้อคลุมที่หุ้มห่อ ปล่อยความสุขให้เป็นเพียงละอองเย็นเพียงพัดผ่านเลยไป ยิ่งจมกับความทุกข์มากเท่าใด เวลาก็ย่อมผ่านไปกับความทุกข์มากเท่านั้น ความสุขจึงเหลือพื้นที่ในชีวิตเพียงน้อยนิด
เช่นกัน คนเราเกิดมาย่อมมีด้านดีและด้านร้ายอยู่ด้วยกันทั้งนั้น บางจังหวะเวลาเราเป็นเทวดาที่งดงาม บางช่วงดังซาตานสิงสู่ในร่างเรา อีกนั่นแหละ โลกนี้มักจะใช้ด้านร้ายของชีวิตผู้คนมาพูด มายำ นำมาปรุงสีสันเพื่อให้แต่ละวันที่ผ่านไป มีอะไรให้พูดถึงเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ โลกเราวันนี้เมื่อวานนี้ ชอบที่จะพูดถึงด้านร้าย ความไม่ดีของกันและกัน ชอบที่จะวิจารณ์ นินทา หาเรื่องใส่ร้ายป้ายสีกัน ก่อให้เกิดมลพิษทางจิตใจต่อกัน จนกลายเป็นโรคร้ายทางจิตวิญญาณที่เกือบจะหาทางรักษากันไม่ได้ บางคนถึงกับต้องใช้ทางลัดเพื่อลาโลกที่เลวร้ายนี้ไปก่อนเวลาอันควร และเราล่ะ ผู้อยู่ในโลกแบบนี้ ในสังคมแบบนี้ ที่มักจะเร่งรัดเวลาของกันและกัน ที่กดดันโดยไม่ได้เคารพในเวลาของแต่ละคน เราชอบที่จะใช้เวลาของเราเพื่อทำให้คนอื่นเป็นอย่างที่เราคาดคิดเสมอ แต่เชื่อหรือไม่ เราไม่มีทางที่จะไปกำหนดชีวิตใครได้เลย

ยังมีเณรน้อยรูปหนึ่ง ทุกๆ เช้ารับหน้าที่กวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นจากต้น มาตกลงตามลานวัด ให้สะอาดเอี่ยม แต่การตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืดเพื่อกวาดลานวัดนั้น เป็นความลำบากประการหนึ่งโดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วงย่างเข้าฤดูหนาว เพราะนอกจากอากาศจะเยือกเย็นแล้ว เพียงแค่มีลมพัดมาเบาๆ ใบไม้ก็พากันหล่นพรูลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน
ดังนั้น ในทุกๆ วันเณรน้อยต้องใช้เวลาอย่างมากในการกวาดใบไม้ ทำความสะอาดลานวัด ซึ่งภาระหน้าที่นี้ ทำให้เณรน้อยปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างยิ่ง จึงพยายามขบคิดหาวิธีการ เพื่อมาลดภาระอันหนักหน่วงนี้
ต่อมามีพระรูปหนึ่งล่วงรู้ถึงปัญหาหนักอกของเณรน้อย จึงได้เสนอแนะว่า
“พรุ่งนี้ก่อนที่เจ้าจะลงมือกวาดใบไม้ ลองเขย่าต้นไม้แรงๆ ให้ใบไม้ร่วงลงมาให้หมดก่อนสิ แล้วค่อยกวาดคราวเดียว เพียงเท่านี้เจ้าก็ไม่ต้องกวาดลานวัดซ้ำไปซ้ำมาอีกต่อไป”
เณรน้อยเห็นว่าคำแนะนำนี้น่าสนใจ เช้าวันต่อมาก่อนที่จะลงมือกวาดลานวัดเหมือนเช่นทุกวัน เณรน้อยก็รวบรวมกำลังเขย่าต้นไม้อย่างรุนแรง เพื่อให้ใบไม้ที่กำลังจะร่วงนั้น ร่วงหล่นลงมาให้หมดเสียก่อน
จากนั้นจึงลงมือกวาดลานวัด และเข้าใจว่าวันพรุ่งนี้ใบไม้ก็จะไม่ร่วงหล่นมาให้กวาดอีก ทำให้วันนั้นทั้งวันเณรน้อยรู้สึกสบายใจเป็นอันมาก
เช้าวันต่อมา เณรน้อยตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น ทว่าเมื่อมาถึงลานวัด กลับต้องนิ่งงัน เพราะลานวัดเต็มไปด้วยใบไม้ ไม่แตกต่างไปจากวันอื่นๆ แต่อย่างใด
ยามนั้นพระเซนที่ทราบเรื่องราว ได้เดินมากล่าวกับเณรน้อย ที่กำลังยืนหมดอาลัยตายอยากว่า
“ไม่ว่าวันนี้เจ้าจะพยายามเขย่าต้นไม้เท่าไร วันพรุ่งนี้ใบไม้ยังคงร่วงหล่นเช่นเดิม”
สุดท้ายเณรน้อยจึงเข้าใจว่า บนโลกใบนี้ยังคงมีหลายเรื่องราวที่ไม่สามารถทำล่วงหน้าได้ เพียงแค่อยู่กับปัจจุบัน และทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเท่านั้น

            ในยุคที่ความเจริญทางด้านวัตถุมีมาก เรากลับเห็นผู้คนเศร้าหมองมากขึ้น โดดเดี่ยวเงียบเหงา ไร้ที่พึ่งพิง และคิดสั้นมากขึ้น ด้วยการลาโลกนี้แบบขอจัดการตัวเอง ไม่เคารพเวลา ไปเร่งรัดต่อชะตาชีวิต เป็นเหมือนการที่เณรไปเร่งเขย่าต้นไม้ให้ใบไม้ร่วง แต่เอาเข้าจริงความทุกข์ไม่ได้หายไปไหน บางทีอาจจะไปเพิ่มให้กับคนที่ยังอยู่มากขึ้น ต้องแบกภาระ แบกเวลาของอีกคนเอาไว้ เราถูกเร่งรัดจนเคยชิน ทุกอย่างต้องได้มาอย่างรวดเร็วไม่ต้องการรอคอย ในยุค 4 จี 5 จี ไม่มีคำว่า “รอคอย” ทุกอย่างต้องได้เดี๋ยวนี้เวลานี้ ในเมื่อทุกอย่างมีเวลาของมัน เราไปเร่งไปรวบไปรัดไปมัดให้มาสนองความต้องการของเราฝ่ายเดียว ย่อมมีผลไปกระทบเวลาของสิ่งอื่นคนอื่นจนทำให้การขับเคลื่อนสังคมผิดปกติ อย่างที่เราเห็นๆ กันอยู่ เราหลงทางพากันคิดว่าเมื่อมีเครื่องมือที่ดีจะสบายขึ้น ต่อไปจะไม่เห็นความทุกข์ยากอีกแล้ว ไม่นานเราก็ต้องพบพานอีก คราวนี้แหละไปไม่เป็น ทำไม่ถูก ก็เครียด ก็ทุกข์หนักขึ้น เวลาที่ควรจะเป็นก็ไม่เป็นดังหวังเสียแล้ว

            ใช่หรือไม่ เราควรมีเวลาที่จะพักจิตพักใจให้พบความสันติบ้าง ลดความเร่งรีบลดความรวบรัดออกจากชีวิตเราบ้าง ด้วยละความอยากได้อยากมีเกินความจำเป็น มองดูเวลาหาจังหวะชีวิตที่เหมาะสม แล้วดำเนินตามทางนั้น ทางที่มีพระจิตเจ้าทรงนำ หนทางความสว่างก็จะบังเกิดขึ้น คนเราทุกคนเกิดมามีเวลา มีหน้าที่ของแต่ละคน ใช้วันเวลาให้ถูกจังหวะกับภารกิจบนโลกนี้ให้เป็น ความร่มเย็นก็จะบังเกิดแก่เราทุกคน และตลอดเวลาที่เหลืออยู่บนโลกนี้

ไม่มีความคิดเห็น: