วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

ก็รู้อยู่นะ

ก็รู้อยู่นะ
การสอบปลายภาคเรียนของเด็ก ๆ กำลังจะเริ่มขึ้น มีเสียงบ่นว่าเครียดอีกแล้ว ไม่รู้ว่าจะดูหนังสือสอบทันหรือเปล่า ผู้ปกครองก็พลอยเครียดตามไปด้วย ต้องมาช่วยลูกหลานเตรียมสอบ เพราะด้วยความที่การเรียนการสอนคนละยุคคนละสมัย จะสอนอะไรก็ลำบาก ไหนวิชาที่จะช่วยสอนก็หลงลืมไปตามอายุตามวงปีที่ผ่านไป ทำไปทำมาเหมือนต้องมาเริ่มใหม่ไปพร้อม ๆ กับเด็ก ๆ ยิ่งเห็นหลักสูตรการเรียนสมัยนี้แล้วยอมรับเลยว่า เด็กเรียนเยอะจริง ๆ ความรู้อัดแน่น แต่ความอดทน อดกลั้นต่ำลง เครียดง่ายขึ้น

เมื่อพูดถึงความรู้ที่นำไปสู่ความเครียด ครั้งหนึ่งมีเพื่อนมาระบายให้ฟังว่า ชีวิตช่วงนี้เครียดมาก ถามกลับไปว่าเครียดเรื่องอะไรบ้าง คราวนี้เรื่องยาวเลย สารพัดเรื่อง เรื่องส่วนตัว ค่าใช้จ่ายไม่พอ เรื่องโน้นนี่นั่น แล้วก็ปรึกษาว่า ทำอย่างไร? จึงจะหายเครียด แค่ฟังยังเครียดเลยยังมาถามว่ามีหนทางบริหารความเครียดหรือเปล่า ก็เลยตอบไปแบบกำปั้นทุบดิน ว่าวิธีแก้เครียดให้ได้ผล คือต้องไม่เครียด ก็คิดว่าเพื่อนคนนั้นคงจะว่าเราบ้าหรือเปล่า แต่เพื่อนกลับนิ่งไปสักพัก และตอบกลับมาว่า เออใช่ วิธีแก้เครียดก็แค่ไม่เครียด แล้วเพื่อนก็ขำขำจากไป ใช่หรือเปล่าหลายสิ่งในชีวิต เรารู้นะว่าจะต้องทำอะไร แต่แล้วมักที่จะทำในสิ่งตรงข้ามเสมอ พอดีประจวบเหมาะกับข้อความที่มีการแชร์กันในโลกออนไลน์เลยนำมานั่งทบทวนถึงชีวิตเรา
ทำไมเรารู้ว่า ควรปล่อยวาง...แต่ยังคิดมาก
ทุกศาสนามักสอนเรื่องนี้ อย่าสาละวนกับปัจจัยภายนอก ต้องรู้จักปล่อยวาง เมื่อเราได้ยินได้อ่านเราก็พยายามที่จะทำตาม แต่เมื่อเกิดความต้องการ เกิดเรื่องราวที่นำความทุกข์ท้อมาสู่ชีวิต สิ่งที่เรารู้มา ได้ยินมา กลับไม่สามารถนำมาปฏิบัติตนได้เลย คิดมาก คิดไปเรื่อย คิดฟุ้งซ่าน ความเครียดมาเยือน ก็รู้อยู่นะว่าต้องปล่อยวาง แต่ว่างไม่ได้เป็นต้องคิดมาก นี่แหละหนอชีวิตคนเราที่สมองกับจิตวิญญาณขาดการประสานงานกัน
ทำไมเรารู้ว่า ควรนิ่ง ควรฟัง...แต่ยังพูด
ก็รู้อยู่ว่าการฟัง การนิ่ง เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งสันติสุข นำมาซึ่งความสงบ แต่ก็ไม่อาจจะสยบปากสยบคำพูดของเราได้ เพราะบางทีการพูดมันทำให้เราแสดงภูมิ แสดงความรู้เพื่ออวดข่มผู้อื่นได้ บางทีเราทนที่จะฟังไม่ได้ เพราะดูเหมือนยิ่งนิ่งฟังยิ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ คำพูดคือสิ่งที่จะช่วยปกป้องตัวเรา คราวนี้ยิ่งพูดกันไปมา ยิ่งเรื่องเยอะเรื่องใหญ่ ความสงบสุขก็ไม่เกิด เรารู้นะแต่พอถึงเวลานั้นมันก็อดไม่ได้ เพราะจิตใจเรายังไม่ถึงจุดที่จะหยุดบนความสงบได้
ทำไมเรารู้ว่า ควรหยุดฟุ่มเฟือย...แต่ไม่เคยทำได้
สารพัดเหตุผลที่จะนำมาอ้างเพื่อการจับจ่ายที่เกินตัว เพราะเรามักตีค่าความเป็นคนด้วยวัตถุภายนอก ด้วยของใช้แบรนด์เนม ด้วยรสนิยมหรูหรา ที่ถูกคนกลุ่มหนึ่งตั้งค่ามาตรฐานไว้ บางครั้งเราไม่ได้ดูถึงความจำเป็น เรากลับไปดูถึงความเลิศหรู พอใกล้สิ้นเดือนเรามักจะบอกว่า จะหยุดฟุ่มเฟือย แต่พอได้รับเงินเดือน เราก็บอกว่าให้รางวัลกับชีวิต นี่แหละวิถีบริโภคนิยม
ทำไมเรารู้ว่า ไม่ควรนินทา...แต่ยังนินทา
การนินทาเป็นสิ่งที่ไม่ดีเราก็รู้ แต่ไม่เคยอยู่ในจิตใจเรา เพราะขาดซึ่งสิ่งนี้ชีวิตกลุ่มเหมือนขาดรสชาติ เหมือนกาแฟที่ไม่ใส่นม ใส่น้ำตาล ยิ่งนินทายิ่งสนุกเพลิดเพลิน ในมุมตรงข้ามหากเราเป็นฝ่ายถูกนินทาด้วยความคะนองปากของคนอื่น เรามักเจ็บแค้นโกรธเคือง ฉันใดก็ฉันนั้น เพื่อไม่ให้เกิดรอยแผลช้ำแบบนี้ ก่อนจะเอ่ยกล่าวถึงคนอื่นในด้านไม่งาม ควรจะรำลึกถึงความเจ็บปวดครั้งเมื่อเราถูกนินทาใส่ร้ายไว้บ้าง ก็จะทำให้เราตระหนักรู้
ทำไมเรารู้ว่า ไม่ควรขี้เกียจ...แต่ยังขี้เกียจ
ในยุคที่คนรุ่นใหม่มองหาชีวิตแบบ slow life โดยไม่ต้องทำงาน เป็นการนำแนวคิดแบบผิด ๆ มาใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับความขี้เกียจ เราถูกปลูกฝังให้ขยันหมั่นเพียร ให้ต่อสู้กับอุปสรรค ให้รู้จักการทำงานโดยไม่เลือกงาน มาวันนี้ยุคนี้น่าเสียดายที่หนุ่มสาวหลายคนละทิ้งหนทางนี้ เลือกใช้ชีวิตแบบสบายในความเกียจคร้าน หารู้ไม่ความขี้เกียจนำมาซึ่งความไร้ค่าและไม่สร้างสรรค์
ทำไมเรารู้ว่า ไม่ควรเหงา...แต่ยังเหงา
ในโลกยุคโหยหาเพื่อนในอากาศ ความจริงใจต่อกันลดน้อยลงไป อย่างมากก็ได้แค่เพื่อนคุย ที่ไม่ได้สัมผัสถึงการร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมา เป็นเพียงเพื่อนผิว ๆ ที่จะปลิวหายไปเมื่อไรก็ได้ ความเหงาย่อมเกาะกุมหนุ่มสาวในโลกเสมือนจริง เรารู้นะว่าไม่ควรเหงาแต่เราไม่กล้าก้าวออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เลยเงียบเหงาอยู่เดียวดาย
ทำไมเรารู้ว่า การเปรียบเทียบไม่ดี ...แต่ยังเปรียบเทียบ
ยิ่งชีวิตเราขาดหายสิ่งใด เรายิ่งหาคนอื่นมาเปรียบเทียบ บ้างก็นำคนด้อยกว่ามาเปรียบเทียบเพื่อจุดไฟปรารถนาทะยานอยาก บ้างก็เปรียบเทียบคนที่สูงกว่าเพื่อตะกายขึ้นไปให้ถึงจุดที่เขาอยู่ ทั้งๆที่คนพวกนั้นอาจจะไม่รู้ว่าเขามาถึงจุดนั้นได้อย่างไง!!!!
ทำไมเราอ่านหนังสือฮาวทูไปแล้วร้อยเล่ม...แต่ยังทำตามไม่ได้
แผงหนังสือมากมายเต็มไปด้วยหนังสือเหล่านี้ แต่เอาเข้าจริงจะมีใครเขียนความจริงทั้งหมดให้เรารู้ เพราะชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน สำคัญที่เราต้องหาสิ่งที่เราเป็น อยู่ คือ ให้พบแล้วหาหนทางเดินในเส้นทางของตัวเอง โดยมีคนอื่นเป็นเพียงแนวทาง ที่ไม่ใช่หนทาง
ทำไมเราสร้างแรงบันดาลใจได้แล้ว...แต่สามวันถัดไป จิตใจเราเริ่มเหี่ยว

โลกนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจ แต่แรงบันดาลใจเหล่านั้นมักเกิดกับเราเพียงชั่วครั้งชั่วคราว เราฮึดสู้เพียงแป๊บเดียว เพราะเราอ่อนแอเกินไป จิตใจไม่มั่นคง เพียงแค่รู้ยังไม่พอ สุดท้าย ทำไมเรารู้ทุกอย่าง แต่...เราทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เพราะเราไม่ได้ใช้หัวใจในการรับรู้ เราจึงแค่รับรู้โดยไม่รู้แจ้ง ใช้หัวใจ ใช้จิตวิญญาณในการดำเนินชีวิตดูบ้าง จะได้ไม่ใช่แค่รู้นะ แต่จะรู้จักนำไปใช้มากยิ่งขึ้น แล้วความสุขจะตามมา

ไม่มีความคิดเห็น: