วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2558

ผิดที่ปิดใจ

ผิดที่ปิดใจ
เคยไหมที่เดิน ๆ อยู่ในที่ที่มีผู้คนมากมาย แล้วเดินชนกับคนแปลกหน้า ทั้ง ๆ ที่พยายามหลบขวาเขาก็เบี่ยงขวาพอเอียงซ้ายเขาก็เบนซ้ายตามอีก ซ้ายทีขวาทีเหมือนกันอยู่นั่น ทำไปทำมาก็ชนกันจนได้ ส่วนใหญ่ต่างก็ขอโทษขอโพย ขำขำเขินอายกันไปมีบ้างบางคนถลึงตาใส่เพราะคิดว่าเราไปขวางทางเขา  ทั้ง ๆ ที่ทางนั้นเป็นทางเดินสาธารณะ คนแบบนี้มักคิดว่าโลกนี้เป็นของข้าเพียงผู้เดียวจะไม่ขอเหลียวแลใครทั้งนั้น เช่นกันเวลาขับรถในทางเล็ก ๆ แคบ ๆ  แล้วเจอรถสวนออกมาบางคันไม่ยอมหลบคิดว่าตัวเองมาถูกทางอีกฝ่ายสิต้องเป็นฝ่ายถอยหลบไปก่อน ต่างคนต่างคิดเช่นนี้บางทีเล่นเอารถราติดเป็นแถวยาว เป็นต้นเหตุนำความเดือดร้อนให้คนอื่นโดยไม่รู้ตัว
จะเป็นเพราะด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์เราหรือเปล่า ที่มักคิดว่าตัวเองถูกเสมอแล้วแสดงออกด้วยการพยายามหาเหตุผลทำให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูกและนับวันอาการแบบนี้กำลังหยั่งรากลึกลงในจิตใจของหมู่มวลมนุษย์ จนทำให้เป็นเหตุของความขัดแย้งกัน เท่านั้นยังไม่พอสิ่งที่เพิ่มพูนตามมาคือ การเที่ยวไปวิพากษ์วิจารณ์ตำหนิคนอื่นเพราะเพียงเพื่อปกป้องตัวเอง เมื่อต่างฝ่ายต่างโยนความผิดคิดร้ายให้ผู้อื่นอยู่ร่ำไป ในชีวิตจึงไม่พบความสุข ปิดตา ปิดหู ปิดใจจนทุกสิ่งทุกอย่างไม่อาจจะไหลผ่านเข้าไปได้

การยอมรับผิดเมื่อตัวเองทำผิด เป็นเรื่องที่เราควรฝึกฝนให้อยู่ในสำนึก ไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่เคยทำผิดพลาด มีแต่คนขลาดเขลาเท่านั้นที่เห็นผิดเป็นชอบ ในแง่หนึ่งการปกป้องตัวเองย่อมเป็นสิ่งที่ดี เพราะชีวิตคือความศักดิ์สิทธิ์ แต่เราต้องเรียนรู้ที่จะแยกแยะให้ออกว่า ความผิดที่เราทำนั้นหาใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตไม่ รังแต่จะทำให้ความศักดิ์สิทธิ์นั้นลดค่าลง การรักตัวเองเป็นสิ่งที่เราควรกระทำ แต่ต้องรักในสิ่งที่นำสู่ความงดงาม ในความรักนั้นสิ่งหนึ่งที่จำเป็นคือการเปิดใจออกเปิดใจให้กว้าง แม้หนทางจะคับแคบเราก็สามารถเดินไปได้อย่างสุขใจ
ใช่หรือไม่ หากวัน ๆ หนึ่งเรามัวแต่คอยจับผิดคิดร้ายต่อผู้อื่น ชีวิตเราย่อมต้องเจอแต่ความกระวนกระวาย คล้ายกับคนที่ไร้สุข อมทุกข์ ยิ่งเราคิดร้าย ใจเรายิ่งถูกปิดลงเรื่อย ๆ ความเป็นจริงเราอาจจะโชคดีที่มีหูได้ยินเสียงแต่เรากลับเลือกที่จะทำเป็นหูทวนลม เลือกที่จะเป็นคนหูหนวกไม่รับรู้รับฟังความต้องการของผู้อื่น เราเป็นคนที่พูดได้และชอบจะพูดถึงคนอื่นในทางที่ไม่โสภา แต่จะกลายเป็นใบ้ทันทีเมื่อต้องพูดถึงความดีงามของผู้อื่น เรามองเห็นความต้องการของตัวเองอย่างแจ่มชัด แต่จะบอดมืดทันทีที่เห็นความเดือดร้อน ความทุกข์โศกของผู้คนรอบกาย เรามักจะพูดชัดเจนได้ยินกังวานมองเห็นใสแจ๋วในความผิดของคนอื่น หากเราเป็นเช่นนี้เราก็คือคนผิดคนหนึ่งผิดที่ปิดใจตัวเองแถมยังกล่าวโทษคนอื่น
มีชายผู้หนึ่งโทรศัพท์ถึงหมอประจำครอบครัว “หมอครับที่ ผมโทรมาหาหมอในเวลานี้เพราะผมเป็นห่วงภรรยา”
เมื่อหมอถามว่าเธอเป็นอะไร ก็ได้คำตอบว่า “เธอกำลังจะหูหนวก อยากให้หมอมาดูอาการเธอหน่อย”
หมอไม่สะดวกไป จึงนัดให้เขาพาเธอมาหาในวันจันทร์ แต่เขาอยากให้หมอรีบมาทันที หมอไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็เลยต้องทำการวินิจฉัยทางโทรศัพท์     “คุณรู้ได้อย่างไรว่า เธอไม่ได้ยิน”
“ก็...เวลาผมเรียกเธอ เธอไม่ยอมตอบนี่”    หมออยากรู้ว่าเธอหูหนวกแค่ไหน จึงแนะให้เขาเรียกเธอจากจุดที่กำลังโทรศัพท์ ตอนนั้นเขาอยู่ห้องนอน ส่วนเธออยู่ห้องครัว    เขาตะโกนเรียกชื่อเธอ “มาเรียยยยยย......เธอไม่ได้ยินผมเลย หมอ”
หมอแนะให้เขาเดินไปที่ประตูห้องนอน แล้วตะโกนเรียกเธอจากทางเดิน   “มาเรียยยยยยย.....เธอไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย หมอ”
หมอแนะให้เขาเดินไปหาเธอแล้วตะโกนเรียกเธอไปด้วย จะได้รู้ว่าเธอได้ยินเสียงเขาเมื่ออยู่ใกล้แค่ไหน    “มาเรียยย.....มาเรียยยย......มาเรียยยยย ทำอย่างไรเธอก็ไม่ได้ยิน”
แล้วเขาก็พูดต่อว่า ตอนนี้เขาอยู่ตรงประตูครัว เห็นเธอหันหลังให้เขา กำลังล้างจาน แต่ไม่ได้ยินเสียงเขาสักนิด   หมอแนะให้เขาเดินเข้าไปใกล้อีกนิด แล้วเรียกชื่อเธอด้วย   เขาเดินเข้าไปในครัว แตะไหล่เธอ และตะโกนที่หูของเธอว่า “มาเรียยยยยยย....”
คราวนี้ภรรยาหันขวับมาด้วยความฉุนเฉียวแล้วพูดว่า   “คุณต้องการอะไรกันแน่ฮึ ต้องการอะไร ต้องการอะไร ต้องการอะไรรรรรรร.....คุณตะโกนเรียกฉันเป็นสิบครั้งแล้ว ฉันก็ตอบคุณไปทุกครั้งว่า ว่าอย่างไรคะ คุณนับวันจะหูตึงขึ้นเรื่อยๆ ทำไมไม่ไปหาหมอสักที”..
คำตอบของภรรยา  ชัดเจนว่าใครกันแน่ที่หูตึงและควรไปพบหมอ....(จากหนังสือ “จะเล่าให้คุณฟัง” ของ “ฆอร์เฆ่ บูกาย”)

ในวันนี้เราต้องกลับมาย้อนถามตัวเราเองว่า สิ่งที่ชอบกล่าวหาผู้อื่นนั้น แท้จริงเราก็เป็นหรือเคยเป็นแบบเขาหรือเปล่า หลายครั้งเราวิพากษ์ เย้ยหยันผู้อื่นเพียงเพื่อปกปิดความคิดหรือความผิดของเราหรือไม่ บางทีเราปิดใจของเราเกินไปจนใกล้จะกลายเป็นใจที่บอดใบ้ ไม่นำพาต่อเสียงเรียกเสียงเตือนภายใน เฝ้าคิด ชื่นชม หลงใหล ต่อความเก่งความฉลาดความดีของตัวเองจนมองข้ามหัวของคนอื่น เอาเข้าจริงชีวิตแบบนี้มีความสุขดีหรือ??? ความสุขที่แท้จริงในชีวิตของเรานั้นเริ่มจากตัวเรา เปิดใจให้กว้างยอมรับความผิดพลาดของเราที่อาจจะเกิดขึ้นในทุกช่วงเวลา รู้จักที่จะให้อภัยตัวเองโดยไม่ใช่หาเหตุผลเพื่อลบล้างความผิด แต่อาศัยมโนธรรมสำนึกเพื่อการกลับใจ เมื่อเรารักตัวเองแบบนี้ได้ เราย่อมรักผู้อื่น ให้อภัย เปิดใจกว้างต่อผู้อื่นได้เช่นกันรู้จักมองเห็นคุณค่าของผู้อื่นแม้ว่าคนนั้น ๆ จะดูต้อยต่ำในสายตาของกระแสโลกยุคนี้ก็ตาม นี่จึงเป็นการรักษาอาการบอดใบ้ของคนในสังคมในวันนี้ แล้วเรายังจะยอมใบ้บอดอีกต่อไปหรือ...

ไม่มีความคิดเห็น: