วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ฤ ว่าเวลานั้นจะมาถึง

ฤ ว่าเวลานั้นจะมาถึง
ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างเดินทางมุ่งไปร่วมงานศพของผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่จากไปในวัยชรา ท่ามกลางแดดที่แผดร้อน ก็มิอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการมาร่วมส่งวิญญาณของท่านเลย ในสุสานแม้จะมีความเศร้า แต่มิได้เห็นน้ำตาของลูกหลาน  ญาติมิตรสหาย เหตุเพราะว่าการจากลาครั้งนี้เป็นเวลาอันสมควรของการพักผ่อนอันนิรันดร์ของหญิงผู้ผ่านความยากลำบากมามาก ความลำบากจากการเลี้ยงดูครอบครัว ความบากบั่นในการสร้างพื้นฐานปลูกฝังลูก ๆ ให้ดำรงอยู่ในวิถีทางแห่งความดี นี่ใช่หรือไม่ คือผลของการดำเนินชีวิตอยู่ในครรลองตามแบบคริสตชนที่แท้จริง ที่ไม่ได้แสวงหาความร่ำรวยฝ่ายโลก แต่มุ่งสร้างความดีให้มีปรากฏทั้งในชีวิตตัวเอง และในชีวิตของลูกหลานสืบต่อมา ในบรรดาผู้คนที่มาร่วมงานนั้น มากมายหลายคนไม่รู้จักผู้หญิงชราท่านนี้เป็นการส่วนตัว แต่รู้จักผ่านทางลูก ๆ ผู้ที่ได้นำความดีของผู้เป็นแม่ไปเผยแผ่ให้แก่ผู้ผ่านเข้ามาในชีวิตได้รับรู้ ได้รับความรักเมตตา ความมีน้ำใจดี ความงดงามในนามของความเป็นแม่ผู้ประเสริฐจึงปรากฏต่อทุกคนที่ผ่านพบ

แหงนหน้ามองท้องฟ้า ณ เวลานั้น กางเขนบนยอดวัด บนยอดศาลาที่ทำพิธีส่งร่างลงหลุม บ่งบอกเราว่ามีความรักของพระเจ้าอยู่กับเราเสมอ ใช่...ความรักของพระเจ้าส่งผ่านมายังบุคคลหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง เราต่างก็เป็นท่อธารนำความดีไปสู่กันและกัน แต่ว่าวันนี้ เวลานี้ ท่อธารของเรากำลังอุดตันอยู่หรือไม่ เรายังมีความรักของพระเจ้าอยู่ในหัวใจเราในทุกห้วงเวลาหรือเปล่า ในชีวิตที่คิดแต่เรื่องของตัวเองจนลืมว่า แท้จริงชีวิตเรานั้นต้องมีเวลาเพื่อผู้อื่นบ้าง  ถึงแม้ว่าเราต้องการสร้างชื่อเสียง สร้างบารมีให้คนนับถือ สุดท้าย ณ เวลานั้นมาถึง จะมีคนสักกี่คนที่มาร่วมอาลัยรักถึงเรา แม้เขาจะไม่เคยพบปะเรา คิดแล้วก็รู้สึกเสียวสันหลังอย่างไรไม่รู้...

ในระหว่างทางกลับ ต้องแวะทำธุระ ในที่ที่ไปถึง แม้จะอยู่กลางเมืองที่เจริญ ด้านนอกรถราติดเป็นแถวเหยียดยาว แต่พอไปถึงที่นัดพบ กลับพบเจอความร่มรื่นของแมกไม้ใหญ่ที่ยืนต้นให้ร่มเงา นั่งเล่นสักพักก็เห็นรังนกที่อยู่บนกิ่งไม้หลายรัง ทำให้คิดถึงคำว่า “นกน้อยทำรังแต่พอตัว” ขึ้นมา นกไม่เคยทำรังไว้ขายต่อกัน นกไม่เคยสะสมรังไว้ เพื่อแวะไปพักที่นั่นที่นี่ นกไม่เคยแย่งชิงรังกัน ไม่เคยมีสงครามแก่งแย่งอาณาเขต นกมีรังเพื่อคลอด และเลี้ยงดูแลลูกน้อยให้เติบกล้า พอปีกแข็งโบยบินได้ รังนั้นก็ไม่มีความหมายถูกสลายไปตามลม ตามธรรมชาติ บนความธรรมดาของวิถีชีวิตนก
ชีวิตคนไม่ใช่ชีวิตนก คนต้องกินต้องใช้ ต้องหาต้องดิ้นรน แล้วก็เกิดการแย่งชิง สร้างอาณาเขต อาณาจักรเข้าครอบครอง เรากำลังหลงทางกันหรือเปล่า...มีเพื่อให้ได้ใช้ หาใช่การมีเพื่อกอบโกยเก็บเกี่ยว หาได้เพื่อแบ่งปัน หาใช่หามาเพื่อแข่งขัน ในยุคที่ผ่านมาหลายสิบปี ในภาวะของความเจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจโลก มายาคติที่สอนสั่งปลูกฝังลงในหัวคิดของผู้คนคือการบริโภค การมีทรัพย์สินให้มาก เพื่อให้ได้มาต้องรู้จักที่จะนำเงินทองในอนาคตมาใช้เพื่อต่อยอดก่อน สร้างความเชื่อมั่น สร้างความใหญ่โตของธุรกิจ เดินหน้าต่อไปในหนี้สินที่เพิ่มทวี
ในระดับมหาภาค ประเทศใหญ่ ๆ ต่างก็แข่งขันกันสร้างความมั่งคั่งมั่นคง อัดฉีดเม็ดเงิน พิมพ์ธนบัตร เพิ่มยอดรายได้ของประเทศด้วยผลประกอบการที่เติบโตขึ้นในทุก ๆ ปี แล้วก็ละเลยการสร้างคุณภาพของคน มีแต่ส่งเสริมค่านิยมให้ใช้จ่ายแบบฟุ่มเฟือย ใช้เงินทำงาน ความชำนาญในวิชาชีพคือเรื่องรอง นับถือคนที่การสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ มากกว่าคนที่มีเมตตา จิตสาธารณะเป็นเพียงสิ่งที่บังคับให้ปฏิบัติ เพื่อเขียนรายงาน และแล้วเมื่อสิ่งหนึ่งเดินเข้ามาในกระแสโลก นั่นคือภาวะความฝืดเคืองของการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ เงินที่หว่านลงไปให้ผู้คนใช้กันแบบสนุกมือ ได้ก่อหนี้สินเป็นดินพอกหางช้าง ใหญ่ขึ้น ๆ จนหาทางแก้ไขลำบาก บวกกับความละโมบโลภมากของการครอบครอง ต่างคนต่างจับจ้องกองเงินกองทองที่มีแต่ตัวเลขลอย ๆ เมื่อความจริงปรากฏนั่นมันของปลอมนี่ ทุกคนจึงตกในภาวะไปไม่เป็น ฤ เวลานั้นจะมาถึง เวลาที่ทุกคนไม่เหลืออะไรเลย ต้องกลับไปหาวิธีสร้างรังแต่พอตัว
ยิ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศจีนประกาศลดค่าเงินหยวนหลายระลอก ค่าเงินลดลง คนที่มีมากย่อมได้รับผลกระทบกว่าผู้อื่น จะว่าไปแล้วก่อนที่ประเทศจีนจะลดค่าเงินของตัวเอง ในหลาย ๆ ประเทศก็เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจมาแล้ว หลายคนหอบเงินหนีมาลงทุนในประเทศจีน หวังว่านี่จะเป็นโอกาสสร้างความร่ำรวย แต่ทุกอย่างไม่เป็นดังหวังดังคาดเสมอ จะเอาอะไรกับระบบทุนเสรี ที่สามารถโจมตีค่าเงินกันได้ กลายเป็นสงครามย่อย ๆ ชนิดใหม่ที่เข้าห้ำหั่นกัน ใครเล่าเดือดร้อน ใครเล่าต้องเจ็บปวด คนโลภมากย่อมเจ็บช้ำชอกมากกว่าคนอื่น คนมีเยอะย่อมทำใจลำบากกว่าคนที่มีเพียงพอต่อการดำรงชีวิต คนที่คิดว่ามือตัวเองยาวกว่าคนอื่นสาวได้สาวเอา ย่อมหาความสุขสู้คนที่มีใจที่สะอาดและใจกว้างใจเมตตาไม่ได้

ในวันนี้ วันที่ระบบของเศรษฐกิจโลกเริ่มเอนโอนจนจะทำให้โลกเกิดวิกฤติครั้งใหม่ครั้งใหญ่เช่นนี้ เราคิดว่ามีสิ่งใดเล่าจะช่วยบรรเทาลงได้บ้าง วันนี้เราเป็นทุกข์ไปกับเศรษฐกิจขาลงมากน้อยแค่นั้น เราผูกติดชีวิตกับการหาเงินทองมากไปหรือเปล่า หรือรู้สึกว่า เราไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรมากนัก เราไม่ได้ตกอยู่ในภาวะเป็นหนี้เป็นสินใคร มีชีวิตที่อยู่ได้อย่างมีความสุขเท่าที่เป็นอยู่ มีความสุขที่เห็นคนรักคนในครอบครัวยิ้มแย้มแจ่มใส นี่แหละคือสิ่งชี้วัดความสุขในวันเวลานั้นที่กำลังจะมาถึง 
(ข้อคิดจากการไปร่วมพิธีปลงศพ โรซา ประสาน ตรีมรรคา มารดาของคุณพ่อ กุลบุตร และคุณพ่อเกรียงชัย ตรีมรรคา ณ วัดมารีย์สมภพ บ้านแพน)

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558

กาง กั้น กรอง

กาง กั้น กรอง
ยามบ่ายแสงแดดแรงเหลือหลาย จากความห่างหายไม่ได้พบเจอกับเพื่อนคนเคยคุย พอได้มีเวลาพบปะกันโดยบังเอิญ จึงถือโอกาสสนทนาพาทีในเรื่องต่าง ๆ ที่ต่างก็มีวิถีชีวิตเป็นของตัวเอง ณ มุมห้องในตึกแห่งหนึ่ง ที่มีกระจกกั้นแสงที่สาดส่องผ่านมา แต่ก็ยังมิอาจจะต้านความร้อนแรงของแสงนั้นได้ มู่ลี่จึงถูกกางออกกั้นเพื่อกรองแสงนั้นอีกชั้นหนึ่ง ถึงแม้แสงที่แรงสุดที่สายตาจะต้านทานได้ ครั้นเมื่อมันส่องลงมากระทบใบอ่อนของไม้นานาพันธุ์ หักมุมกระทบถูกที่ถูกจังหวะความสวยงามก็บังเกิดขึ้น ใช่หรือไม่ ในความร้อนแรง ในแสงจ้า ยังมีสิ่งน่ามองน่าชม แล้วในชีวิตที่ดำเนินยามปกติเล่า ย่อมมีสิ่งสวยงามในนามของคุณค่าแห่งพระพรดำรงอยู่เสมอ เพียงแต่ในบางกาละที่เราต้องรู้จัก “กางใจ” “สกัดกั้น” บาปและกิเลส “กรอง” ด้วยมโนสำนึก เท่านี้ชีวิตเราย่อมเดินทางต่อไปท่ามกลางความงดงาม

แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ในการสนทนา สิ่งแวดล้อมในห้วงเวลานั้นมันกลับมาฉายให้เห็นเด่นชัดขึ้น ในช่วงค่ำคืนของวันจันทร์ที่ผ่านมา กับความเศร้าอย่างสุดที่จะบรรยายได้ในเหตุการณ์ระเบิดที่ราชประสงค์ ท่ามกลางความงวยงง ท่ามกลางความสับสน ของข่าวสารที่มีในช่วงขณะนั้น สิ่งที่ทำได้ในขณะนั้นคือการสวดวิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครองบ้านเมืองเรา อย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นมากไปกว่านี้เลย ภาพแสงที่ลอดผ่านมู่ลี่นั้นบอกให้เราต้องตระหนักจะได้ไม่ตระหนกจนเกินไป และยังสอนให้เรามองเหตุการณ์ด้วยหัวใจแห่งรักและเมตตา..
มนุษย์เรามักใช้ความโง่เขลานำทางได้เสมอ ๆ สงคราม การเข่นฆ่า ยังคงอยู่คู่โลก ตราบเท่าที่ใจของคนเรายังเต็มล้นระคนไปด้วยเพลิงแห่งริษยาอาฆาตแค้น...ระเบิดสนั่นกลางกรุงเทพฯ ชีวิตผู้คนดับสลายกลางสี่แยก แสงเพลิงพวยพุ่งด้วยแรงอัดแห่งความเบาปัญญา ที่มองเห็นชีวิตผู้คนเป็นเพียงเครื่องมือสนองอุดมการณ์ที่ครอบงำนำชีวิตให้วนเวียนอยู่ในโลกสมมุติของตัวเองเท่านั้น ไม่นำพาต่อความเจ็บปวดและทุกข์สาหัสของเพื่อนมนุษย์มองไม่เห็นดวงตาที่ฉ่ำอาบนองไปด้วยน้ำใส ๆ ที่ไหลพราก ยามคนอันเป็นที่รักต้องพลัดพรากจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ไม่เคยรับรู้ถึงความเจ็บปวดร้าวของผู้คน เพียงให้ตนได้ชัยก็เพียงพอ เป็นความโง่เขลาที่กางออกมาโดยไม่ต้องผ่านการกรอง โดยไม่มีเมตตามากั้นกลาง เหตุใดคนเราใจร้ายทำได้ขนาดนี้???สงครามไม่มีวันจบสิ้นตราบเท่าที่ความโง่เขลาเบาปัญญายังคงอยู่คู่มนุษย์ เพียงแต่มันเปลี่ยนรูปแบบไปเท่านั้น
แต่สำหรับเราทั้งหลาย ความเศร้าจากเหตุการณ์อันใกล้ตัวเราในครั้งนี้ ที่มิอาจจะอดกลั้นน้ำตาไว้ได้ ยิ่งทำให้หัวใจเรามีสำนึกร่วมกันมากขึ้นในการที่จะช่วยกันปกป้องชีวิตของคนในสังคม ทำให้เราร่วมมือร่วมใจกันในการสร้างสันติสุขด้วยเมตตาอาทรต่อกัน ความสุขสันติที่เคยมีต้องมีต่อไป อย่าให้ความโง่เขลาเบาปัญญาของคนไม่กี่คนมาขวางกั้น ต้องร่วมกันรักษาให้อยู่คู่กับสังคมไทยเราตลอดไป
ในโลกยุคแห่งความรวดเร็วของการติดต่อหากัน คนบางคนบางกลุ่มที่ไร้เมตตาใช้เป็นเครื่องมือปล่อยข่าว สร้างความหวาดกลัว สร้างรอยช้ำซ้ำเติมความทุกข์ให้เกิดขึ้น อาศัยความอ่อนด้อยคล้อยตามของเราผู้เสพติดสื่อสมัยใหม่ ที่ยังขาดความระมัดระวัง ขาดความตระหนักรู้ ขาดวิจารณญาณ ย่อมตกเป็นเหยื่อของสงครามสมัยใหม่ได้ง่าย สิ่งที่จะช่วยให้เราไม่หลงกลลวงนี้ได้ เราต้องสร้างความฉลาด เฉลียว ต้องรอบครอบ ต้องรู้จักนิ่ง ต้องตระหนักให้ได้ว่าเราคือผู้รับสื่อ อย่าคิดทำตัวเป็นผู้สื่อข่าวเพื่อแผ่กระจาย ต้องกรองข้อมูลให้ดีก่อน และจึงพูดออกไป ไม่เช่นนั้นแรงกระเพื่อมจะถูกส่งออกไป เหมือนแสงที่สาดส่องออกมาโดยมิได้มีอะไรออกมากางกั้น รังแต่จะกลายเป็นสิ่งที่ทวีความร้ายเข้าทำลายความงามของสังคมลงไปอย่างไม่รู้ตัว ในโลกออนไลน์เราควรแบ่งปันความงามให้กันในยามที่ภัยสาธารณะมาเยือน เฉกเช่นที่สำนักข่าวเยอรมันได้นำเสนอ “Nation TV เขารายงานว่า สำนักข่าวเยอรมัน มีมุมมองที่แปลกไปคือเอ่ยถึงความมีน้ำใจของคนไทยว่า ทันทีหลังเกิดระเบิดยังมีควันคลุ้งอยู่ ก็มีคนไทยแถวนั้นวิ่งไปช่วยคนเจ็บทันที ยังมีอีก แม้ว่าสภากาชาดไทยจะประกาศว่ามีเลือดเพียงพอก็ยังมีคนแห่ไปบริจาคเลือด นอกจากนี้ หลังทีวีประกาศหาล่ามจีนเพื่อสื่อสารกับผู้ป่วยซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจีนก็มีผู้อาสามาช่วย จนเกินต้องการ!อีกเรื่องคือ วินมอเตอร์ไซค์แถวสี่แยกราชประสงค์ช่วงที่มีเรื่อง ก็รับส่งผู้โดยสารฟรี”(จาก FaceBook : Kritsada Wiset)
ในวันนี้วันที่เราร่วมกันมาฉลอง “ท่านนักบุญหลุยส์ผู้เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่” ไม่ได้ยิ่งใหญ่เพราะการได้ชัยชนะเหนือคนอื่น ท่านนักบุญยิ่งใหญ่เพราะชัยชนะในหัวใจของผู้คนมากกว่า ท่านนักบุญทำสงครามไม่ใช่เพื่อเพิ่มความขัดแย้ง แต่ท่านกลับเข้าสู่สงครามเพื่อลดความขัดแย้ง ท่านนักบุญหลุยส์กางแขนออกมิใช่เพื่อกวักแกว่งดาบ แต่กางแขนออกเพื่อโอบกอดทุกคนแม้กระทั่งฝ่ายตรงข้าม ท่านนักบุญกั้นความโหดร้ายด้วยความรัก ท่านไม่ใช้สงครามเพื่อ “รบ” แต่เพื่อ “รัก” ต่างหากท่านนักบุญหลุยส์ใช้ความเมตตาเพื่อกรองความแค้นของผู้คนที่ถูกสวมใส่ให้เชื่อในอุดมการณ์ ในอุดมคติ ที่เต็มไปด้วยอคติ และไร้ค่าไร้ศรัทธา ท่านผ่านสนามรบด้วยหัวใจแห่งรักและเมตตา ความสันติสุขจากตัวท่านไหลผ่านไปยังผู้คนมากมายกลายเป็นบรรทัดฐานของสันติภาพของโลกนี้

เราควรนำบทเรียนจากชีวิตของท่านไปใช้ในชีวิตของเรา เพื่อว่าในวันหนึ่งที่เราตกอยู่ในท่ามกลางความขัดแย้ง ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมเล็ก ๆ ในบ้าน ในที่ทำงาน เราจะได้เป็นผู้ที่ช่วยลดความขัดแย้งนั้นลง ด้วยการกางแขนให้อภัย มีเมตตา กั้นแรงโทสะโมหะด้วยความเห็นอกเห็นใจเข้าใจผู้อื่น เพื่อกรองจิตวิญาณของเราให้ใช้ความรักนำทางเสมอ เราจะได้เป็นผู้ที่มีหัวใจของนักรบคุณธรรมคนหนึ่งของสังคมวันนี้...

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2558

รองเท้ากลับข้าง

รองเท้ากลับข้าง
ใต้ร่มไม้ชายคา บนเปลที่ขึงไว้ระหว่างเสาบ้าน เป็นอีกหนึ่งเวลาที่กลับมาหาแม่ เพราะด้วยอาการป่วยกะทันหัน ความดันสูงผิดปกติ แต่เมื่อทานยาลดความดันแล้วหมอก็ให้กลับบ้านมาพักผ่อน แม่กลับมานอน แต่ก็ไม่อาจจะอยู่นิ่งเฉยได้ พยายามลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าทำนี่ทำนั่น แม้จะช้าลงแต่ก็ขอให้ได้ทำ แรก ๆ ก็รู้สึกว่า “ทำไมแม่ไม่พักบ้าง” พอถามไปแม่กลับตอบว่า ในชีวิตไม่เคยนอนกลางวันเลย มันนอนไม่หลับ ยิ่งไม่ทำอะไรยิ่งกระสับกระส่าย พอชวนคุยเพื่อให้แม่หยุดทำงานบ้าน แม่ก็คุยเรื่องเดิม ๆ วนไปวนมาอยู่หลายรอบ พอหยุดคุยก็ลุกใส่รองเท้า แต่ใส่แบบกลับข้าง แล้วเดินออกไปสอยลูกมะม่วง นั่งมองแม่แล้วก็อดที่จะคิดต่อไปไม่ได้ว่า นี่มัน Slow life ของแท้
วันนี้ชีวิตแม่สอนให้รู้ว่า ช้าลงไม่ใช่ว่าจะหยุดทำทิ้งกิจกรรมทุกอย่างวางไว้ ทำต่อไปแม้จะช้าแต่ก็ยังได้ผลสัมฤทธิ์เหมือนเดิม มีเวลาคิดก่อนทำ มีเวลาคิดให้รอบคอบ ไม่เร่งรีบ ไม่แข่งขันกับใคร รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร บางครั้งในชีวิตจริงเราก็อยากจะทำให้ชีวิตช้าลงบ้าง อยากจะไปนั่งเล่นสบาย ๆ ไม่ต้องไปทำงานทำการ การมีชีวิตแนวนี้มักเป็นที่เข้าใจผิดคิดไปเองว่านี่คือการใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ แล้วก็นั่งโพสต์รูปโพสต์สถานที่โชว์ในวงสังคมออนไลน์ นี่มันเป็นการโชว์ไลฟ์หาใช่สโลว์ไลฟ์
แม่พูดซ้ำ ๆ เรื่องเดิม ๆ โดยไม่รู้ตัว และคุยแต่เรื่องพระเรื่องเจ้า การพูดคุยกันในวงสนทนาของเรานั้นสิ่งที่มักหลีกหนีไม่พ้นคือการนินทากัน ไม่เรานินทาเขา เขาก็นินทาเรา หากการพูดคุยกันมันก่อให้เกิดบาป ก็ต้องลองหันกลับมาคุยเรื่องที่ไม่นำเอาชีวิตคนอื่นมาเกี่ยวข้อง ถ้าหยุดไม่ได้ก็พูดให้น้อยลง ฟังให้มากขึ้น คิดให้เยอะขึ้น ชีวิตเราจะได้สุขทวีขึ้น
ก็มีสักหลายครั้งในชีวิตหนึ่ง ที่เราต้องใส่รองเท้ากลับข้าง ในตอนเป็นเด็ก ๆ ที่ยังไม่ประสารู้ซ้ายรู้ขวา เป็นความน่ารักที่ชวนมอง และในชีวิตของคนผู้ล่วงเลยวันวานมาอย่างยาวนาน อาการหลง ๆ ลืม ๆ มาเยือน การใส่รองเท้าผิดข้างถือเป็นเรื่องธรรมดา และมีไม่น้อยคนในวันที่จิตใจเหม่อลอย ไร้สติ เบลอ ๆ ทำอะไรไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ย่อมพลาดใส่รองเท้าสลับข้างได้เสมอ ในชีวิตเราที่ต้องมีสติมีสมองแจ่มใส เพราะจะทำให้รู้ตัวอยู่เสมอว่าด้านไหนด้านซ้ายด้านขวา แต่ก็ใช่ว่าการใส่รองเท้าสลับข้างจะเดินต่อไปไม่ได้ ถึงแม้จะไม่ถนัดนัก ออกจะฝืน ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ล้มลง ใช่หรือไม่ ตอนเป็นเด็กฝ่าเท้าน้อย ๆ จะถูกยกขึ้น มีมือแม่นี่แหละที่ค่อย ๆ เปลี่ยนรองเท้าให้ถูกข้าง มาวันนี้วันที่แม่ใส่รองเท้าผิดข้างเสียเอง เรากล้าพอไหมที่จะก้มลงยกเท้าท่านแล้วเปลี่ยนข้างรองเท้าให้ท่าน ?

ใต้ร่มไม้ชายคาหลังเดิมนี้ แต่ก่อนเราเคยถามหาแม่ว่า แม่ทำอะไรให้กินบ้าง แต่วันนี้แม่กลับถามแล้วถามอีกว่า กินอะไรหรือยัง จะกินอะไรมั๊ย หิวมั๊ย ถามวันละห้ารอบสิบรอบ ถึงแม้จะหิวแต่ความเป็นห่วงของแม่ก็ทำให้เราอิ่มได้เสมอ ในวันที่แม่เดินไปหาของให้กิน แล้วใส่รองเท้าผิดข้าง...

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เริ่มที่ตัวเรา

เริ่มที่ตัวเรา
การเรียนรู้ของเราแต่ละคนนั้นย่อมไม่เหมือนกัน บางคนชอบที่จะเรียนรู้ภายในห้องเรียน ห้องอบรมห้องสัมมนา บางคนชอบเรียนรู้จากการอ่านหนังสือ ดูหนังฟังเพลง ท่องโลกกว้างผ่านทางอินเตอร์เน็ต บางคนชอบที่จะท่องไปในโลกกว้างด้วยสองเท้า แต่ขึ้นชื่อว่าการเรียนรู้แล้ว อย่างไรเสียเราย่อมต้องได้รับบทเรียนกลับมาเสมอ การเรียนรู้ที่แท้จริง ไม่ใช่เรียนรู้เพียงเพื่อใบผ่านทาง หรือเพื่อโก้เก๋เท่านั้น โลกนี้มีสิ่งให้เรียนรู้มากมายมหาศาล เรียนรู้ได้ตลอดชีวิต ยิ่งเรียนยิ่งค้นพบว่าเรานี่แทบไม่รู้อะไรเลย สิ่งที่เห็นมันเพียงเล็กน้อย และสิ่งที่เรียนรู้หากเก็บงำเอาไว้คนเดียวก็ไร้ค่า หรือ นำมาเพื่อโอ้อวดยิ่งด้อยค่าและเสื่อมสภาพลงโดยเร็ว การเรียนรู้ที่แท้จริงเราต้องใส่ “รัก” ลงไป เพื่อให้สิ่งเหล่านั้นแผ่ขยายออกไปสร้างคุณค่าให้กับจิตใจเราและผู้คนรอบข้าง
ด้วยความที่ชอบท่องไปในโลกกว้างด้วยการเที่ยวชมในสถานที่ต่างถิ่น โดยเลือกช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสม เหมือนอย่างเช่นในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ได้ถือโอกาสเดินทางไปยังต่างแดนอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการจัดสรรที่ลงตัวอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน ทั้ง ๆ ที่เตรียมจองที่พักไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ก่อนเดินทางไม่กี่วันมีผู้ใหญ่ใจดีบอกว่ามีที่พักที่สามารถลดค่าใช้จ่ายได้    เป็นบ้านพักของคณะ  มารีส บราเดอร์(International Marist Brother) ซึ่งอยู่ในบริเวณของโรงเรียนอนุบาล โดยมีบราเดอร์ที่เกษียณแล้ว คอยช่วยเหลือพร้อมทั้งเป็นผู้นำเที่ยวชมเมือง นับว่าเป็นบุญยิ่งนัก
เมื่อไปถึงสิงคโปร์สิ่งแรกที่บราเดอร์ท่านได้ให้ คือตั๋วรถไฟใต้ดิน โดยให้เราเติมเงินลงไป 10 ดอลล่าร์สิงคโปร์ ประมาณ 256 บาท แล้วก็อธิบายถึงสถานีสำคัญ ๆ ที่เราต้องการจะไปเที่ยวชม คืนแรกบราเดอร์พาท่องเมืองโดยเดินเรียบริมแม่น้ำสิงคโปร์ ชมเมืองที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ฝั่งหนึ่งเป็นเมืองเก่า ตึกรามบ้านช่องได้รับการปรับปรุงโดยยังคงรูปแบบเดิม ๆ เอาไว้ แต่ชั้นล่างส่วนใหญ่เปิดเป็นร้านอาหาร ร้านเบียร์ เพื่อใช้เป็นที่พักผ่อนจากการทำงานหนักตอนกลางวัน คนหนุ่มสาวมักใช้บริเวณนี้เพื่อนัดหมายพบปะ สังสรรค์ ฟังเพลงจากวงดนตรีที่เล่นสด ส่วนมากนักร้องนักดนตรีเป็นชาวฟิลิปปินส์ อีกฝั่งหนึ่งเป็นตึกสมัยใหม่ เป็นที่รวมธนาคารสถาบันการเงินไว้ในแหล่งเดียวกัน โดยมีสิงโตพ่นน้ำสัญลักษณ์ประจำเมืองเป็นฉากหน้า ตึกหลายตึก โรงแรมหลายโรงแรม สะพานข้ามแม่น้ำหลาย ๆ สะพานในบริเวณนี้ ถูกตบแต่งด้วยไฟอันสวยงามยามค่ำคืน ไฟที่ตกแต่ง สิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่ถูกสร้างขึ้นมา โดยมีปรัชญาของการออกแบบเสมอ ไม่ใช่นึกจะสร้างอะไรก็ออกแบบมาเลย ทุกที่มีความหมายแฝงอยู่

ในช่วงระยะเวลา 4 วันในสิงคโปร์สิ่งที่เห็นชัดเจนคือเรื่องของความเป็นระเบียบและความมีมานะ อดทนของคนในชาติ ด้วยว่าสิงคโปร์เป็นเกาะเล็ก ๆ  ที่แยกตัวมาจากประเทศมาเลเซีย แทบไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเอาเสียเลยนอกจากทะเล แต่วันนี้ทั้งเกาะกลับร่มรื่นด้วยป่าไม้เขียวขจี แม้ว่าในฤดูร้อนแบบนี้ก็ยังเห็นความเขียวชอุ่ม และที่สำคัญที่สุด สิงคโปร์กำลังจัดงานฉลองครบ 50 ปี เพียงแค่ 50 ปี ประเทศเล็ก ๆ นี้ กลับพัฒนาขึ้นเป็นประเทศชั้นนำของโลกได้ เพราะผู้คนมีวินัย เคารพระเบียบแบบแผนที่ผู้นำประเทศวางไว้ รู้จักที่จะให้ด้วยการจ่ายภาษีอย่างเคร่งครัด พูดคำขอโทษจนติดเป็นนิสัย ไม่มีโจรขโมย นาน ๆ จะเห็นตำรวจสักคน เวลาไม่อยู่บ้านประตูรั้วไม่ต้องใส่กุญแจ มีความปลอดภัยในชีวิตสูง
แน่นอนวิถีชีวิตคนเมืองก็ไม่ต่างจากคนกรุงเทพฯสักเท่าไหร่ เช้าก็ขึ้นรถไฟอัดแน่นเพื่อไปทำงานในย่านธุรกิจ ใช้เวลาบนรถกับการเล่นสมาร์ทโฟน เดินบนถนนถ้าจะเดินไปเล่นไปต้องชิดซ้าย ขึ้นลงบันไดต้องชิดซ้าย เว้นทางขวาเพื่อให้คนที่รีบเร่ง เนื่องจากคนสิงคโปร์มีหลากหลายเชื้อชาติ ในมุมต่าง ๆ ก็จะมีย่านของชุมชน และยังคงรักษาเอกลักษณ์ของประเพณีพื้นถิ่น จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้เดินชมวิถีชีวิตของชุมชนนั้น ไม่ว่าจะเป็นย่านไชน่าทาว์ ที่ดูคล้ายกับเยาวราชบ้านเรา หรือ ลิตเติ้ลอินเดียคล้ายกับย่านพาหุรัดประมาณนั้น ในทุกย่านมีสถานีรถไฟใต้ดินไปถึงกันหมดอีกสิ่งหนึ่งที่เราอดที่จะทึ่งถึงการพัฒนาเมือง ประเทศของเขาไม่ได้ นั่นคือ การสร้างสถานที่ต่าง ๆ ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว สร้างแม้กระทั่งหาดทราย สวนดอกไม้บนตึก สระว่ายน้ำลอยฟ้า เมืองแห่งเครื่องเล่นมหาสนุก และอีกหลายหลาก
นอกจากนี้ยังมีโอกาสไปร่วมมิสซาวันอาทิตย์ที่วัดดวงหทัยนิรมลของพระนางมารีย์ Church of The Immaculate Heart of Mary เห็นผู้คนเต็มวัด และรอบมิสซามีถึง 4 รอบ พอ ๆ กับวัดเซนต์หลุยส์ของเราซึ่งมีถึง 5 รอบ บราเดอร์บอกว่าศาสนาคริสต์ในสิงคโปร์มีประมาณ 17-18 % ซึ่งพอ ๆ กับคนที่ระบุว่าไม่นับถือศาสนา สิ่งที่สังเกตเห็นและชื่นชอบเป็นพิเศษคือพวกเด็กช่วยมิสซา ที่เรียบลำดับความสูง นั่งตัวตรง โค้งคำนับพร้อมเพรียง เรียกว่า เป๊ะเว่อร์ ซึ่งมันบ่งบอกถึงการมีระเบียบวินัยตั้งแต่เด็ก มิต้องพูดถึงผู้ใหญ่ ผู้คนที่มาเข้าวัด หาคนมาสายน้อยมาก ออกเสียงสวด ร้องเพลง พร้อมกัน เพราะมีจอโปรเจ็คเตอร์ใหญ่ทั้งสองข้างพระแท่น ขึ้นเนื้อเพลง คำตอบรับพระสงฆ์ ไม่เห็นมีใครยกโทรศัพท์มือถือออกมาเล่น ไม่มีการออกจากวัดก่อนจบพิธี รอจนเพลงสุดท้าย ทุกคนจึงออกจากวัด ด้านข้างวัดมีโรงอาหารที่ขายอาหารในราคาถูก มีโต๊ะให้นั่งกินพูดคุย มีเยาวชนมาช่วยขาย
และเนื่องจากว่าช่วงเวลานี้ประเทศสิงคโปร์กำลังจะเฉลิมฉลองประเทศครบ 50 ปี ทุกภาคส่วนต่างมีส่วนร่วมในการเฉลิมฉลองในครั้งนี้ แม้กระทั่งที่วัดแห่งนี้ก็มีหมายกำหนดการฉลองประเทศด้วยพิธิมิสซาและจัดการเลี้ยงที่วัด โดยเชิญชวนคริสตชนมาร่วมงาน ดูแล้วทุกคนภาคภูมิใจในความเป็นประเทศของเขาอย่างยิ่ง

ครั้นเมื่อกลับถึงเมืองไทยมีหลายเรื่องที่เราเรียนรู้เพื่อทำให้ชีวิตเรามีการพัฒนาให้มากขึ้น คงเริ่มจากการจัดการชีวิตตนเองให้มีระเบียบวินัย การใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ และหยุดที่จะบ่นพร่ำเพรื่อ รู้จักขอโทษ การพัฒนาที่แท้จริงย่อมต้องเริ่มจากการพัฒนาคน เริ่มด้วยการพัฒนาตน ยอมรับในสิ่งที่มี ไม่ต้องร้องเรียกเพรียกหา ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นอยู่ร่ำไป และที่สุดหากเราต้องการสังคมแบบไหน เราก็ต้องเป็นแบบนั้นให้ได้ก่อน

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ขณะนั้น...นิรันดร

ขณะนั้น...นิรันดร
      เป็นความรู้สึกแปลกๆ รู้สึกใจหายและเกิดเสียดายขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน ในขณะที่วิ่งออกกำลังกายในสวนสาธารณะใต้สะพานแขวน ที่อยู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกว่า วันเวลานี้ นาทีนี้ มันกำลังจะจากเราไป แบบไม่มีวันได้พบเจอกันอีกเลย 23 เดือนกรกฎาคม ปี 2558 เวลา 18.00 .จะไม่มีทางวนเวียนกลับมาหาเราอีกแล้ว ดังคำที่ว่าไว้ "สายน้ำและวันเวลาไม่เคยไหลคืน" ใช่.. นั่นเป็นสัจจธรรม แล้วเราได้ทำอะไรให้กับวันเวลาที่ผ่านไปนั้นหรือไม่ อย่างไร ? เคยขอบคุณที่ทำให้เรามีชีวิตผ่านไปอีกหนึ่งวันหรือไม่...และเมื่อเหนื่อยได้ที่ จึงหยุดวิ่งเดินไปนั่งพักที่เก้าอี้ริมแม่น้ำ รับลมยามเย็น เห็นแสงอาทิตย์ร่ำไรไล่ขอบฟ้า หยิบมือถือและกดถ่ายภาพเก็บไว้ เพื่อบันทึกความทรงจำ ความงดงาม ของสายน้ำ แสงสะท้อน สะพานที่ทอดยาวออกไปในสายน้ำ ที่ดูเหมือนการรอคอยการกลับมาของวันรุ่ง เป็นการอำลาและขอบคุณวันเวลาที่ผ่านเข้ามา

    ในชีวิตจริงของเราผ่านวันเวลามายาวนานไม่เท่ากัน และคุณค่าของชีวิตของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน คุณค่าของชีวิตของแต่ละคนจึงอยู่ที่คุณค่าของการใช้วันเวลาที่ผ่านเข้ามา นี่จึงเป็นคำถามที่เราต้องตรวจสอบตัวเองเสมอ ๆ ว่า วัน ๆ หนึ่งที่ผ่านไป เราได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่ามีคุณค่าหรือไม่ ในวัน ๆ หนึ่ง เราสร้างรอยยิ้ม รอยรัก สร้างสุขสันติ ให้กับใครบ้าง เรามีความปีติไหมในชีวิตประจำวัน ในวันๆ หนึ่ง เราอยู่กับเครื่องหรือกับผู้คนมากกว่ากัน ยิ่งในยุคที่เราเต็มไปด้วยเทคโนโลยีก้าวล้ำบนฝ่ามือเช่นนี้ บางครั้งเราก็หลงและเสพติดกับมันชนิดที่ไม่สามารถจะโงหัวขึ้นมาได้เลย ก้มหน้าส่องสายตาจิ้มกด รูดสไลด์ไปมาโดยมิได้เอื้อมมือ ส่งสายตา พบปะหน้าผู้คนรอบข้างกันเลย แล้วก็มักชอบพูดติดปากว่า "ไม่มีเวลา" ยุ่งกับเรื่องไร้สาระแบบที่พยายามทำให้มีสาระ ไม่มีแม้ช่วงขณะเพื่อหยุดพัก ทุกอย่างในชีวิตอยู่กับคลื่นสื่อสารตลอดเวลา หรือว่าเราทำให้มันเป็นแบบนี้เอง แล้วยกให้กลายเป็นเรื่องสำคัญของชีวิตไป
        แน่ล่ะ...เราหลีกหนีกับความทันสมัยของเครื่องมือสื่อสารไม่ได้ แต่เราก็เลือกที่จะใช้มันได้ เช่น ในขณะที่เรากำลังรำพึงกล่าวคำอำลาและขอบคุณวันเวลาที่กำลังจะผ่านไป กล้องมือถือที่เราถือไปในทุกทีก็ช่วยเก็บภาพ ณ ชั่วขณะนั้นไว้ พร้อมกับบทเขียนสั้นๆ เพื่อให้เราได้ระลึกถึงความงามในนามสิ่งสร้างที่พระเจ้าประทานให้กับเรา
        แต่เป็นที่น่าเสียดายที่หลายคนใช้เครื่องมือเหล่านี้ผิดจึงทำให้ความความสัมพันธ์ของคนเราเปลี่ยนไป นั่งกินข้าวกันแต่ไม่คุยกัน ต่างแชทคุยกับคนอื่นที่อยู่ไกลออกไป มาเข้าวัดเพื่อร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้า เพื่อทำให้จิตใจสบาย ก็ไม่เคยละวางอุปกรณ์ กับทำให้มันกลายเป็นอุปสรรคขวางกั้นสายสัมพันธ์ระหว่างเรากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราไม่มีชั่วขณะอีกต่อไปในชีวิตเรา ไร้สมาธิที่จะพูดคุยกับพระเจ้า ไม่ยอมเงยหน้าสบสายตากับกางเขนตรงหน้า ไม่กล้าเผชิญหน้าแต่ชอบถ่ายภาพส่งไปโชว์ว่า "เรากำลังอยู่กับพระนะ" แบบนี้อยู่ก็เหมือนไม่ได้อยู่ เราให้ความสำคัญกับสิ่งใดกันแน่ ใจเรากำลังล่องลอยออกไปหาเพื่อนในอากาศ พระที่สถิตในใจกำลังถูกละเลยไปทุกขณะ
       ในยุคสมัยที่เราให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอก เครื่องสื่อสารต่าง ๆ ที่เปลี่ยนรุ่นอยู่ทุก ๆ ปี ทำให้ความสัมพันธ์ของคนเราสั้นลงเรื่อย ๆ เรากำลังกลายเป็นชั่วขณะหนึ่งของกันและกัน เนื่องเพราะว่าขาดความใส่ใจ จริงใจ ในสายใยของมิตรภาพ ใช่หรือไม่ บางครั้งเราขาดหัวใจของความเป็นเพื่อนมนุษย์ เพราะเราเอาหัวใจของเครื่องยนต์กลไกมาแทนที่ คิดถึงก็ส่งข้อความสั้น ๆ อยากคุยด้วยก็ส่งไลน์ "ทำไรอยู่" แล้วก็ไม่ได้สนใจต่อมาว่าเพื่อนคนนั้นจะตอบกลับมาหรือไม่

       อย่าให้วันเวลาผ่านไปพร้อมกับความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องที่ขาดหายไป วันคืนผ่านไปไม่หวนกลับ แต่สำหรับความห่วงใย ความเมตตา สามารถที่จะวนเวียนอยู่ในชีวิตเราได้ตลอดเวลา เงยหน้ามาขอบคุณฟ้าดิน ดูดดมกลิ่นไอสายฝน อยู่กับคนด้วยหัวใจ ห่วงใยแสวงหาความสุขจากชีวิตจริงที่ไม่ใช่ชีวิตประดิษฐ์ดูบ้าง แล้วเราจะเห็นค่าของวันเวลาที่กำลังผ่านไป พร้อมทั้งขอบคุณที่ทำให้เราได้พบเจอกับความรักอันเป็นนิรันดร์...