วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

อย่าปล่อยให้โลกสวยด้วยการยืนดู

อย่าปล่อยให้โลกสวยด้วยการยืนดู


            เวลากลับไปเยี่ยมบ้านเกิดริมน้ำเจ้าพระยา ที่ที่จะต้องไปยืนมองยืนดูอยู่เป็นประจำทุกครั้งก็คือ ริมตลิ่งและมักจะเห็นความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นระดับน้ำ สีของน้ำ ทิศทางและร่องน้ำ ยิ่งช่วงปีหลัง ๆ หลายครั้งที่ผ่านมา เริ่มเห็นสิ่งสร้างที่เรียกว่าผนังกั้นน้ำ แต่ชาวบ้านมักเรียกว่า “เขื่อน” กำลังถูกก่อสร้างเป็นแนวยาวออกไปเรื่อย ๆ ตามข้างขอบตลิ่ง เพื่อเป็นสิ่งที่จะช่วยป้องกันน้ำท่วม และเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาก็กลับมาที่เดิมนี้อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ไปถึงช่วงบ่าย ๆ มีโอกาสไปยืนดูเห็นคนงานกำลังทำงาน เห็นความคืบหน้าไปมากทีเดียว แต่มีสิ่งที่สังเกตเห็น มันมีอะไรบางอย่างขัดแย้งในตัวมันเอง มีการก่อสร้างผนังกันน้ำ แต่น้ำในแม่น้ำกลับแห้งขอด ถ้ามองแบบไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง ก็คงต้องบอกว่า มันใช่เรื่องหรือ? ที่ต้องทำตอนนี้ ในวันที่น้ำท่าไม่มีและคงจะแล้งอีกเป็นปี น้ำท่วมคงไม่เกิดแน่ ๆ อันนี้เป็นความคิดเห็นแบบโลกวันนี้ ที่เห็นอะไรแล้วคิดออกมาทันทีทันใด แต่ในความเป็นจริงแล้วโครงการนี้มีมานาน เพื่อป้องกันดินริมตลิ่งพังทลาย ป้องกันน้ำที่จะท่วม และทำต่อเนื่องมาเรื่อยๆ เป็นปีแล้วเพื่อให้ครอบคลุมทั้งตำบล

            สิ่งนี้นี่เองที่ทำให้มานั่งคิดว่า หลายเรื่องราวในชีวิตหากเราไม่รู้ที่มาที่ไปแล้ว พูดไปก่อน ก็อาจจะทำให้สิ่งที่เห็นกับความจริงคลาดเคลื่อน ส่งผลร้ายให้กับผู้อื่นได้ ใช่หรือไม่ ในสังคมเราวันนี้มักเกิดเรื่องราวเช่นนี้มากมาย เรามักสร้างโลกให้สวยตามความคิดฝันของเราจากการมองเห็นเพียงครั้งแรก จากการยืนดู แต่ไม่เคยลงมือลงแรงทำหรือสืบสาวราวเรื่อง พินิจพิเคราะห์ให้ดีเสียก่อน บางสิ่งจึงไม่เป็นอย่างที่เราเห็นเสมอไป
            ในยุคที่ผู้คนเสพติดสังคมออนไลน์ ยุคสังคมก้มหน้า จ้องมองแต่หน้าจอจนเกินกินเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตไปอย่างสิ้นเปลือง และน่าเสียดาย เรื่องราวข่าวคราวไหลลื่นรูดดูรูดอ่านเกือบทุกวินาที ยิ่งหากใครมีเพื่อนในวงสังคมมากก็ยิ่งต้องไล่เรียง ไล่ล่าอ่านข้อความที่เพื่อนส่ง เพื่อนแชร์อยู่ตลอดเวลา หากใครรับข่าวสารผ่านทางสำนักข่าวต่าง ๆ ด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง เพราะว่าในแต่ละที่ต่างแข่งขันขยันส่งข่าวกันเสียเหลือเกิน ยิ่งส่งมามากยิ่งยั่วให้เราต้องเปิดอ่าน นั่งไล่อ่านที่มีความเคลื่อนไหวบนหน้ากระดานไฟฟ้าตลอดเวลา เพราะกลัวว่าจะตกข่าว ตกเทรนด์ กลัวเป็นคนล้าหลังตามเพื่อนไม่ทัน ยิ่งใครมีข้อมูลมากยิ่งดูเหมือน ขอย้ำว่า ดูเหมือนจะเป็นคนเก่งกว่าคนอื่น เราถูกค่านิยมนี้แฝงฝังแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
            เท่านั้นยังไม่พอ เราชอบที่จะหลงเข้าไปอ่านคำวิพากษ์วิจารณ์ของใครก็ไม่รู้ที่เข้ามาแสดงทัศนะเกี่ยวกับเรื่องราวข่าวคราวอันนั้น ยิ่งถ้าเป็นเรื่องของคนดัง คนมีชื่อเสียง ดารา นักร้อง นักแสดงด้วยแล้ว ไม่รู้ว่าไปสรรหาคำมาจากไหนกันนักหนา พูดก็พูดเถอะ ถ้าคนในสังคมออนไลน์ใช้ความขยันแบบนี้ไปรังสรรค์การงาน ไปคิดสร้างสรรค์สังคมรอบ ๆ ข้างตัวเอง คงจะเป็นการทำให้โลกนี้ศิวิไลซ์ ไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว
            แต่เอาเข้าจริงหาใช่เป็นเช่นนั้นน่ะสิ เพราะเห็นแต่คนชอบพูดชอบแสดงทัศนะ แต่ไม่มีทักษะในการสร้างสรรค์ เพราะสิ่งที่เราเห็นที่เราพูดวิพากษ์วิจารณ์นั้นมันง่าย ให้ทำจริง ๆ มันยากยิ่งนัก เหตุเพราะสิ่งที่เราเห็นมันเป็นเพียงภาพในชั่วขณะนั้น แต่ก่อนหน้าและหลัง อะไรคือที่มาที่ไป เราแทบไม่ได้รู้ได้เห็นเลย ฉะนั้นแล้ว การที่เราจะไปประเมินค่า กล่าวดีกล่าวร้ายใครนั้น ไม่ใช่เพียงดูผิวเผินเท่านั้น แม้แต่จะรู้ว่าเขาผู้นั้นเป็นใครมาจากไหน ก็ยังไม่เพียงพอ ต้องมองให้ลึกลงไปอีกขั้น เราต้องดูที่เจตนาในการกระทำ ต้องดูด้วยว่ากระทำเพราะเหตุใดเพื่อช่วยผู้อื่นหรือเพื่อตัวเขาเอง ไม่ง่ายเลยที่เราจะเห็นแล้วพูด ยิ่งเป็นการมักง่ายไปที่อ่านข้อความเพียงไม่กี่บรรทัดและเอาบรรทัดฐานตัวเองไปตั้งค่าให้คนอื่น
           
ในชีวิตจริงเรามักจะเห็นหลายคนเก่งตอนที่ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว และพูด “ว่าแล้ว” เหมือนกับคนซื้อหวยที่มักมาตีตัวเลขตรงหลังหวยออกแล้วทุกครั้งไป จับโน้นนี่นั่นมาเพื่อกลับไปกลับมาจนเลขตรงกับหวยที่ออก ก่อนหน้านั้นคิดไม่ได้ เหมือนกับเรานั่งเชียร์กีฬาหน้าจอ หรือบนที่นั่งในสนาม แล้วก็ใส่อารมณ์ว่า “ทำไมไม่เล่นอย่างนั้น อย่างนี้ ทำไมไม่แก้เกมโน้นนี่นั่น” ใช่หรือไม่ การอยู่วงในกับวงนอกมันแตกต่างกัน การลงไปในสนามย่อมมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสนามและเล่น หรือแก้เกมได้ในช่วงเสี้ยววินาทีนั้น นี่กระมัง ที่ทำให้เราติดนิสัยที่เห็นเรื่องราวต่าง ๆ แล้วก็เที่ยวบอกว่าทำอย่างนั้นสิ ทำอย่างนี้สิ เก่งอยู่เพียงผู้เดียว จนกระทั่งกลายเป็นนิสัยไม่ยอมรับความสามารถของผู้อื่นไป หรือไม่ก็ชอบยืนมองแล้วพูดให้สนุกปาก พูดเพื่อสะใจเท่านั้นเอง

            หลายคนสร้างโลกสวยผ่านทางการพูดมากกว่าการลงมือทำ ผ่านทางข้อความที่สวยงาม ผ่านทางทัศนะคติที่บรรเจิด ผ่านการขยายความตามทัศนะของข้าพเจ้าแล้วข่มให้คนอื่นคล้อยตาม แต่ไม่เคยลงมือทำอะไรเลย สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสเตือนว่า “คริสตชนที่ดีต้องหยุดเป็นโค้ชหรือคนดู แต่ต้องลงไปในสนามจริง ๆ” แล้วเราเป็นคริสตชนที่ดีแล้วหรือยัง ... 

ไม่มีความคิดเห็น: