อย่าปล่อยให้โลกสวยด้วยการยืนดู
เวลากลับไปเยี่ยมบ้านเกิดริมน้ำเจ้าพระยา ที่ที่จะต้องไปยืนมองยืนดูอยู่เป็นประจำทุกครั้งก็คือ
ริมตลิ่งและมักจะเห็นความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นระดับน้ำ สีของน้ำ ทิศทางและร่องน้ำ
ยิ่งช่วงปีหลัง ๆ หลายครั้งที่ผ่านมา เริ่มเห็นสิ่งสร้างที่เรียกว่าผนังกั้นน้ำ แต่ชาวบ้านมักเรียกว่า
“เขื่อน” กำลังถูกก่อสร้างเป็นแนวยาวออกไปเรื่อย ๆ ตามข้างขอบตลิ่ง เพื่อเป็นสิ่งที่จะช่วยป้องกันน้ำท่วม
และเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาก็กลับมาที่เดิมนี้อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ไปถึงช่วงบ่าย
ๆ มีโอกาสไปยืนดูเห็นคนงานกำลังทำงาน เห็นความคืบหน้าไปมากทีเดียว แต่มีสิ่งที่สังเกตเห็น
มันมีอะไรบางอย่างขัดแย้งในตัวมันเอง มีการก่อสร้างผนังกันน้ำ แต่น้ำในแม่น้ำกลับแห้งขอด
ถ้ามองแบบไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง ก็คงต้องบอกว่า มันใช่เรื่องหรือ? ที่ต้องทำตอนนี้ ในวันที่น้ำท่าไม่มีและคงจะแล้งอีกเป็นปี น้ำท่วมคงไม่เกิดแน่
ๆ อันนี้เป็นความคิดเห็นแบบโลกวันนี้ ที่เห็นอะไรแล้วคิดออกมาทันทีทันใด แต่ในความเป็นจริงแล้วโครงการนี้มีมานาน
เพื่อป้องกันดินริมตลิ่งพังทลาย ป้องกันน้ำที่จะท่วม และทำต่อเนื่องมาเรื่อยๆ เป็นปีแล้วเพื่อให้ครอบคลุมทั้งตำบล
สิ่งนี้นี่เองที่ทำให้มานั่งคิดว่า หลายเรื่องราวในชีวิตหากเราไม่รู้ที่มาที่ไปแล้ว
พูดไปก่อน ก็อาจจะทำให้สิ่งที่เห็นกับความจริงคลาดเคลื่อน ส่งผลร้ายให้กับผู้อื่นได้
ใช่หรือไม่ ในสังคมเราวันนี้มักเกิดเรื่องราวเช่นนี้มากมาย เรามักสร้างโลกให้สวยตามความคิดฝันของเราจากการมองเห็นเพียงครั้งแรก
จากการยืนดู แต่ไม่เคยลงมือลงแรงทำหรือสืบสาวราวเรื่อง พินิจพิเคราะห์ให้ดีเสียก่อน
บางสิ่งจึงไม่เป็นอย่างที่เราเห็นเสมอไป
ในยุคที่ผู้คนเสพติดสังคมออนไลน์ ยุคสังคมก้มหน้า จ้องมองแต่หน้าจอจนเกินกินเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตไปอย่างสิ้นเปลือง
และน่าเสียดาย เรื่องราวข่าวคราวไหลลื่นรูดดูรูดอ่านเกือบทุกวินาที ยิ่งหากใครมีเพื่อนในวงสังคมมากก็ยิ่งต้องไล่เรียง
ไล่ล่าอ่านข้อความที่เพื่อนส่ง เพื่อนแชร์อยู่ตลอดเวลา หากใครรับข่าวสารผ่านทางสำนักข่าวต่าง
ๆ ด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง เพราะว่าในแต่ละที่ต่างแข่งขันขยันส่งข่าวกันเสียเหลือเกิน
ยิ่งส่งมามากยิ่งยั่วให้เราต้องเปิดอ่าน นั่งไล่อ่านที่มีความเคลื่อนไหวบนหน้ากระดานไฟฟ้าตลอดเวลา
เพราะกลัวว่าจะตกข่าว ตกเทรนด์ กลัวเป็นคนล้าหลังตามเพื่อนไม่ทัน ยิ่งใครมีข้อมูลมากยิ่งดูเหมือน
ขอย้ำว่า ดูเหมือนจะเป็นคนเก่งกว่าคนอื่น เราถูกค่านิยมนี้แฝงฝังแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เท่านั้นยังไม่พอ เราชอบที่จะหลงเข้าไปอ่านคำวิพากษ์วิจารณ์ของใครก็ไม่รู้ที่เข้ามาแสดงทัศนะเกี่ยวกับเรื่องราวข่าวคราวอันนั้น
ยิ่งถ้าเป็นเรื่องของคนดัง คนมีชื่อเสียง ดารา นักร้อง นักแสดงด้วยแล้ว ไม่รู้ว่าไปสรรหาคำมาจากไหนกันนักหนา
พูดก็พูดเถอะ ถ้าคนในสังคมออนไลน์ใช้ความขยันแบบนี้ไปรังสรรค์การงาน ไปคิดสร้างสรรค์สังคมรอบ
ๆ ข้างตัวเอง คงจะเป็นการทำให้โลกนี้ศิวิไลซ์ ไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว
แต่เอาเข้าจริงหาใช่เป็นเช่นนั้นน่ะสิ เพราะเห็นแต่คนชอบพูดชอบแสดงทัศนะ แต่ไม่มีทักษะในการสร้างสรรค์
เพราะสิ่งที่เราเห็นที่เราพูดวิพากษ์วิจารณ์นั้นมันง่าย ให้ทำจริง ๆ มันยากยิ่งนัก
เหตุเพราะสิ่งที่เราเห็นมันเป็นเพียงภาพในชั่วขณะนั้น แต่ก่อนหน้าและหลัง อะไรคือที่มาที่ไป
เราแทบไม่ได้รู้ได้เห็นเลย ฉะนั้นแล้ว การที่เราจะไปประเมินค่า กล่าวดีกล่าวร้ายใครนั้น
ไม่ใช่เพียงดูผิวเผินเท่านั้น แม้แต่จะรู้ว่าเขาผู้นั้นเป็นใครมาจากไหน ก็ยังไม่เพียงพอ
ต้องมองให้ลึกลงไปอีกขั้น เราต้องดูที่เจตนาในการกระทำ ต้องดูด้วยว่ากระทำเพราะเหตุใดเพื่อช่วยผู้อื่นหรือเพื่อตัวเขาเอง
ไม่ง่ายเลยที่เราจะเห็นแล้วพูด ยิ่งเป็นการมักง่ายไปที่อ่านข้อความเพียงไม่กี่บรรทัดและเอาบรรทัดฐานตัวเองไปตั้งค่าให้คนอื่น
หลายคนสร้างโลกสวยผ่านทางการพูดมากกว่าการลงมือทำ ผ่านทางข้อความที่สวยงาม
ผ่านทางทัศนะคติที่บรรเจิด ผ่านการขยายความตามทัศนะของข้าพเจ้าแล้วข่มให้คนอื่นคล้อยตาม
แต่ไม่เคยลงมือทำอะไรเลย สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสเตือนว่า “คริสตชนที่ดีต้องหยุดเป็นโค้ชหรือคนดู
แต่ต้องลงไปในสนามจริง ๆ” แล้วเราเป็นคริสตชนที่ดีแล้วหรือยัง ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น