รำพึงถึง...เรา
ภาคจบ
ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้กับเราในทุกย่างก้าวของชีวิต
โดยมีปัจจัย วันเวลาและสถานที่ที่แตกต่างกันออกไป
แต่สำหรับคนที่มีหัวใจที่มุ่งมั่นย่อมรู้ว่านี่เป็นบาดแผลของผู้กล้าที่พร้อมจะลุกขึ้น
คนที่สู่จุดหมายความสำเร็จได้นั้น ไม่มีใครเลยสักคน ที่เคยล้มเพียงครั้งเดียว มีแต่ยิ่งล้มยิ่งเข้มแข็งและกล้าแกร่งยิ่งขึ้น
บาดแผลและความเจ็บปวดของพระเยซูเจ้าที่เกิดจากการหกล้มลงนั้นน้อยนัก เมื่อเทียบกับบาดแผลจากความผิดบาปของเรา
แต่พระองค์ไม่เคยซ้ำเติมเราเลย
สถานการณ์ที่
10 หยุดสร้างสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น (พวกทหารเปลื้องพระภูษาของพระองค์)
การทับถม ซ้ำเติม เพื่อความสะใจในชะตาทุกข์ของผู้อื่นนั้น
หลายครั้งมันก็ก่อเกิดเป็นความสุขได้อีกชนิดหนึ่ง แต่คงเป็นความสุขแบบจอมปลอม สิ่งเหล่านี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับพวกทหารปลายแถวเหล่านั้นที่รุมกันเข้ามาแย่งเสื้อผ้าของพระเยซูเจ้า
ทั้ง ๆ ที่เสื้อตัวนั้นก็เต็มไปด้วยเลือด และน้ำลายของพวกเขาที่ได้ถ่มใส่พระองค์ ทหารพวกนั้นหวังเพียงความสะใจ
หวังสร้างสุขบนซากทุกข์ของผู้อื่น บางห้วงเวลาทหารพวกนั้นอาจจะวนเวียนอยู่ในตัวตนของเรา...
สถานการณ์ที่ 11 กางแขนออกน้อมรับความอนิจจังของโลก (พระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน)
เมื่อทุกข์ถึงขั้นวิกฤต สิ่งที่ทุกคนจะพึงกระทำ
คือ การน้อมรับต่อความทุกข์นั้นโดยดุษฎี กางแขนออก พร้อมน้อมรับเผชิญหน้าอย่างมั่นคง
สถานการณ์ที่สุดแห่งความทุกข์จึงเป็นการเริ่มต้นสู่ความเข้มแข็งและมั่นคง ไม่มีชีวิตของคนใดที่จะปราศจากหนทางกางเขน
แต่กับคนที่พร้อมกางแขนรับกางเขน น้อมรับความสาหัสของวิถีทุกข์ของชีวิต คนผู้นั้นย่อมกลายเป็นคนที่สมบูรณ์
สถานการณ์ที่ 12 จบครั้งนี้เพื่อความสมบูรณ์ในวันข้างหน้า
(พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน)
จะมีสักกี่คนบนโลกนี้ที่จะกล้าพูดว่า
“จบบริบูรณ์แล้ว” ใครที่เดินบนทางทุกข์ด้วยใจที่เป็นสุข
เดินบนโลกด้วยหัวใจแห่งรักและเสียสละ ย่อมพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าชีวิตสมบูรณ์แล้ว แต่…สังคมทุกวันนี้ เรามักพบแต่คนที่พูดว่า ชีวิตยังไม่สมบูรณ์ และยังคงไขว่คว้าหาความสมบูรณ์บนเส้นทางทุกข์กันต่อไป
และเมื่อวันที่ดินกลบหน้า ใครบ้างเล่าที่ปรารถนาให้มีแต่คำกล่าวร้าย วันนั้นควรจะเป็นวันที่ความสมบูรณ์ของชีวิต
แล้ววันนี้เราเริ่มทำเพื่อวันนั้นหรือยัง
สถานการณ์ที่
13 เพื่อนตายนั้นหายากจริงหรือ?
(เชิญพระศพพระเยซูเจ้าลงจากกางเขน)
หากในชีวิตเราไม่ได้เตรียมตัวรองรับความผิดพลาด
ความผิดหวัง ไม่พร้อมที่จะรับความเจ็บปวด และเมื่อวันนั้นมาถึง ก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด
สัจธรรมของโลกอีกอย่างหนึ่งที่สอนเราเสมอมาว่า วันที่เราอ่อนแอที่สุด เราจะเหลือเพื่อนน้อยมาก
แต่เราจะได้ความรักอย่างแท้จริงจากคนไม่กี่คน และคนที่พร้อมจะยืนเคียงข้างเรา พร้อมยอมรับเราทุกวินาที
คนคนนั้นก็คือ พ่อ แม่ ความรักของ พ่อ แม่ เป็นความรักของเพื่อนแท้ที่หาได้ในโลกนี้
สถานการณ์ที่
14 ฝังลงในผืนดิน (พระเยซูเจ้าถูกฝังไว้ในคูหา)
มีปราชญ์ชาวอินเดียกล่าวว่า
“มีโคนมทั้งฝูง คนเราก็กินนมได้เพียงสองแก้ว มีทุ่งนากว้างขวางปลูกข้าวได้หลายเกวียน
คนเราก็กินข้าวอิ่มได้เพียงสองชามสามมื้อ มีปราสาทราชวัง บ้านเรือนใหญ่โต คนเราก็นอนได้เพียงครึ่งเตียง”
สิ่งเหล่านี้เราไม่สามารถนำไปเป็นสินบนและเป็นค่าทางผ่านเข้าประตูบ้านพระบิดาได้
ความรักและคุณงามความดีต่างหาก ที่จะเป็นเครื่องยืนยัน คือกุญแจทองที่จะไขเข้าสู่สวรรค์
เมื่อร่างกายถูกฝังลงดิน กลิ่นของคุณธรรม และผลของความดีของคนผู้นั้นต่างหากที่จะล่องลอย
หอมหวน อบอวล ต่อไปบนโลกนี้ เราพร้อมหรือยังที่จะฝัง ความโลภ โกรธ หลง ลงในดิน ก่อนที่ร่างเราจะถูกฝังลงในดิน
สู่สถานการณ์สุดท้าย
ความสุขที่ได้รับจากการข้ามผ่านความทุกข์ (พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนชนม์ชีพ)
เมื่อปากพระคูหาเปิดออก
สัจธรรมก็ถูกเผยออก คำสอนของพระคริสต์ถูกแพร่กระจายขจรไปทั่วโลก การสิ้นพระชนม์ของพระองค์นำมาซึ่งการเกิดใหม่อันรุ่งโรจน์ของพระศาสนจักรตราบจนถึงทุกวันนี้
เช่นกัน เมื่อเราเปิดหัวใจของเราให้กับผู้คนรอบข้าง ให้อภัยกันและกัน โลกใบนี้ก็จะเปิดกว้าง
เราสามารถข้ามผ่านความทุกข์ด้วยการเปิดใจ แล้วเมื่อนั้นความสุข สันติสุข แสงทองของชีวิตใหม่ก็จะบังเกิดขึ้นในชีวิตของเรา
อัลเลลูยา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น