เมื่ออุโมงค์หัวใจเปิดออก
ไปไหนมาไหนได้ยินแต่ผู้คนบ่นว่า
“อากาศร้อนสุด ๆ ” บ่นกันอยู่ 2-3 วัน ฟ้าฝนเห็นใจเลยตกกระหน่ำตั้งแต่เช้า
สร้างความชุ่มฉ่ำจนเกินงาม กลายเป็นเพิ่มทุกข์ให้คนกรุงในการสัญจรไปทำงาน ไปทำธุระ
จากร้อนสุดเป็นท่วมเจิ่งนองกันทั่วหน้ามหานคร ดูเหมือนไม่มีความสมดุลเอาเสียเลย แต่หากเรามองด้วยใจที่เป็นสุขความทุกข์ร้อนใดเล่าจะมากล้ำกราย
ในสิ่งสร้างนั้นจะมีความยุติธรรมเสมอ เมื่อร้อนสุดย่อมเกิดฝนตกหนักสุดด้วยเช่นกัน
ไม่มีใครที่จะบังคับความเท่าเทียมของธรรมชาติได้ มีแต่ต้องน้อมรับปรับตัวให้อยู่กับธรรมชาติให้ได้
เพราะสิ่งเหล่านั้นล้วนเตือนให้คนเราต้องคิดว่า เราเองก็ทำร้ายธรรมชาติมามากเพียงใด
เมื่อสิ่งที่ปกป้องเราถูกทำลายแล้วเราจะมีอะไรเป็นเกราะคุ้มกันเล่า
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
ในแง่ของการดำเนินชีวิตก็เช่นกัน
เราเป็นผู้ทำลายความสมดุลในตัวเรามากน้อยเพียงใด ยิ่งเราทำลายล้างมาก ความอ่อนแอย่อมมีมากมาย
ภูมิคุ้มกันย่อมบกพร่อง โดยเฉพาะเรื่องของจิตวิญญาณ หากเราปล่อยให้จริตความอยาก
ความโลภ ความหยิ่งยโส เข้ายึดครอง หัวใจแห่งเมตตาย่อมลดหายไป ความว้าวุ่นก็จะตามมา
เมื่อนั้นหัวใจแห่งซาตานก็จะงอกเงยขึ้นและเข้าครอบครองจนเรากลายเป็นสมุนของมันอย่างง่ายดาย
ทั้ง ๆ ที่เราเกิดมาพร้อมกับความงดงาม แต่ยิ่งวันความงามกลับยิ่งห่างหายไปจากชีวิต
เราอาจจะบ่นว่าเพราะมีปัจจัยล่อลวงมากมายก่ายกองจนไม่สามารถจะบังคับจิตใจได้ เพราะสิ่งแวดล้อมนำไปจึงต้องเลยตามเลย
เราไม่กล้าที่จะปฏิเสธสิ่งทำลายด้านคุณงามความดีไปจากชีวิตเรา เพราะคิดว่า ทำดีไปก็เท่านั้น
เมตตาไปก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีตามมา ให้อภัยก็ไม่เห็นการสำนึกผิด
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ทำให้คิดถึงห้วงเวลาก่อนที่พระเยซูเจ้าจะทรงสิ้นพระชนม์บนกางเขน
ท่ามกลางคนร้ายสองคนนั้น ท่ามกลางคนที่ทำลายพระองค์ด้วยการทรมานอย่างแสนสาหัส แต่พระองค์กลับตรัสว่า
“ให้อภัยพวกเขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่าได้ทำอะไรลงไป” ดูเหมือนว่าเป็นคำพูดของเทพ
ของพระเจ้าที่สามารถพูดได้ แต่ ณ เวลานั้นพระองค์คือมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีเลือดมีเนื้อและกำลังเจ็บปวดจากเลือดเนื้อนั้นอยู่
เราอาจจะคิดว่าเพราะนั่นเป็นแผนการไถ่กู้ที่พระองค์รู้ว่าอย่างไรเสียต้องเป็นเช่นนี้
และพระองค์ต้องเตรียมใจรับสภาพนี้มาก่อนแล้ว ใช่หรือไม่บางทีการรู้ว่าอะไรจะเกิดกับเราก่อน
ยิ่งสร้างความเจ็บปวดมากกว่าการที่ไม่รู้อะไรเลย พระองค์ยอมเจ็บปวดกว่าคนธรรมดาอย่างเรา
ๆ เป็นหลายเท่า แต่พระองค์ก็ให้อภัย เพราะหัวใจของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่และพระองค์ก้าวข้ามผ่านหัวใจของตัวเองเพื่อเปิดกว้างให้ผู้อื่นอย่างเต็มหัวใจ
เหมือนดั่งที่ปากอุโมงค์ฝังพระศพเปิดออก แล้วแสงสว่างก็บังเกิดขึ้น
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
สิ่งเหล่านี้ใครที่มีหัวใจประเสริฐย่อมข้ามผ่านความเจ็บปวดจากความทุกข์ได้
ในขณะที่ได้ฟังเหตุการณ์พระมหาทรมานเมื่อวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์นั้น ทำให้นึกถึงข่าว
ๆ หนึ่ง ที่มีพระหมอถูกยิงตายต่อหน้าต่อตาหลวงปู่สุขผู้เป็นพระพ่อ ทั้งสองรูปออกบวชพร้อม
ๆ กัน จนพระหมอ (ลูกชาย) ได้เป็นเจ้าอาวาสในวัด
ๆ หนึ่งในจังหวัดอุดรธานี จนเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป อยู่ ๆ ก็มีคนร้ายมาลอบยิงในขณะที่ทั้งสองออกบิณฑบาต
พระลูกชายสิ้นใจท่ามกลางอ้อมอกของพระพ่อที่ประคองร่างที่ไร้วิญญาณ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมคนร้ายได้
และได้นำตัวชายคนนั้นถือดอกไม้ธูปเทียน มากราบขอขมาหลวงปู่สุข พร้อมกล่าวเพียงสั้นๆ
ว่า “ผมผิดไปแล้วครับ”
จากนั้นได้ถวายดอกไม้ธูปเทียนให้กับมือหลวงปู่สุข
แล้วกราบ 3 ครั้ง โดยทางหลวงปู่สุขได้แตะมือชายคนนั้น พร้อมกับกล่าวเทศนาว่า
“ก็รู้สึกว่าเป็นผู้ที่รู้บุญรู้บาป รู้จักสำนึกบุญบาป สิ่งใดที่ทำไปแล้ว
แม้จะได้ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ หลวงพ่อก็ขออโหสิกรรมให้ โดยไม่มีความติดใจหรืออาฆาตมาตร้ายแต่อย่างใด
ทุกคนสัตว์โลก ไม่ว่าสัตว์หรือมนุษย์ หลวงพ่อก็มีแต่เมตตา มีแต่ให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธเคือง
สิ่งใดทำไปแล้ว ก็ขอให้เป็นสิ่งที่จบไป ขอกุศลผลบุญอันนี้ จงส่งให้ผู้ที่สำนึกผิดนี้
จงได้รับผลบุญอานิสงค์ ที่ได้สำนึกว่า ได้พลั้งเผลอกระทำไป แม้จะได้ตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม
ขอให้ท่านจงประสบความสุขความเจริญในอนาคตข้างหน้า โดยทั่วทุกทั่วหน้ากาลนานเทอญ”
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น