วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ในบางเล่ม

ในบางเล่ม
กิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งคือ การอ่านหนังสือ แม้จะมีบ้างบางครั้งที่ละเลยการอ่านจากหนังสือจริงๆไป แต่ยังไงต้องหาอะไรอ่าน ทั้งจากในสมาร์ทโฟน บนไอแพด เพราะการอ่านทำให้เราได้เข้าสู่โลกกว้างขึ้น แต่ใช่ว่าอ่านแล้วเราจะรู้โลก รู้เรื่องราวใดๆทั้งหมด เพราะเราเป็นเพียงเศษฝุ่นละอองในจักรวาล มีอะไรอีกมากมายมหาศาลที่เราไม่อาจจะล่วงรู้และเข้าถึงได้ การอ่านหนังสือส่วนหนึ่งเป็นการปลุกปลอบจินตนาการให้ตื่นตัวอยู่เสมอ อีกด้านหนึ่งก็ทำให้เราฝึกฝนการไตร่ตรอง ฝึกสมองให้คิดตามสิ่งที่ได้อ่าน แน่ล่ะเรื่องที่เราเลือกอ่านต้องเป็นเรื่องที่ตรงกับจริตเรา ต้องเป็นสิ่งที่เราชอบอยู่เป็นพื้นฐาน ใช่หรือไม่ มีหนังสือไม่น้อยเล่มเลย ที่ซื้อมาแล้วอ่านไม่จบ หรือไม่ได้อ่าน ถูกวางไว้เฉยๆรอฝุ่นจับ ราขึ้น
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
กล่าวโดยสรุปแล้วการอ่านนั้นเป็นการเปิดโอกาสให้ได้รับรู้สิ่งใหม่ๆข้อมูลใหม่ๆ และหนทางการแก้ปัญหาใหม่ๆ รวมไปถึงวิธีที่จะประสบความสำเร็จตามความต้องการใหม่ๆไปด้วย เพราะการค้นพบ มักจะเริ่มจากการอ่านและทำความเข้าใจ การอ่านยังช่วยพัฒนาตัวเอง ให้เข้าใจสภาพแวดล้อมรอบกายมากขึ้นด้วยเคล็ดลับวิธีการต่างๆ เช่น วิธีสร้างความเชื่อมั่นในตัวเอง วิธีที่จะวางแผนก่อนจะกระทำการใดๆ เราอาจจะค้นพบจากการอ่านบทความดีๆสักเรื่องหนึ่ง การอ่านนำมาซึ่งความเข้าใจ ยิ่งอ่านมาก ยิ่งเข้าใจสิ่งต่างๆมากขึ้น การอ่านยังช่วยเพิ่มความเข้าใจในกฎเกณฑ์การใช้ชีวิตเพื่อที่จะปรับเปลี่ยน และดำรงอยู่ในสังคมได้ด้วย
การอ่านหนังสือยังช่วยให้เราเตรียมตัวก่อนตัดสินใจกระทำเรื่องต่างๆ แม้กระทั่งการอ่านจากคอมเม้นต์ในโลกไซเบอร์ของโลกปัจจุบัน การได้อ่านคำแนะนำ ติชม หรือผลตอบรับจากผู้อื่น จะช่วยในการตัดสินใจของเราในครั้งต่อไป ในระหว่างการอ่าน เราก็จะได้รับรู้ความรู้ ประสบการณ์จากผู้อื่น เป็นบทเรียนในการดำเนินชีวิตเราได้ การอ่านเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร ทำให้สื่อสารกับผู้อื่นได้ดีขึ้น ด้วยมีข้อมูลที่จะแบ่งปัน การอ่านยังก่อให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างสายตากับสมอง นำไปสู่การมีสมาธิ เกิดความคิดสร้างสรรค์ หนังสืออยู่เหนือจินตนาการ เป็นเหมือนโครงข่ายการเชื่อมต่อข้อมูลที่ยิ่งใหญ่ ที่จะสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆและคำตอบใหม่ๆได้ตลอดเวลา
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
หากเปรียบหนังสือเป็นเหมือนผืนนาผืนหนึ่ง ที่ซ่อนความรู้ ความฉลาดอยู่ภายใน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเปิดอ่านจนพบเพ็ชรเม็ดงามและนำไปสร้างสรรค์ชีวิตให้เจริญก้าวหน้าทั้งทางด้านร่างกายและจิตวิญญาณ หนังสือนั้นมีดีทุกเล่ม แต่เด่นไปคนละเรื่อง หนังสือเล่มเดียวอ่านแล้วฉลาดทุกเรื่องนั้นไม่มี
จะว่าไปแล้วการอ่านหนังสือก็คล้ายกับการเรียนรู้ที่จะอยู่กับผู้คน กับคนบางคนคบหาพูดคุยกันแบบถูกใจถูกคอ เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ชอบพอเหมือนๆกัน           มีทัศนะคติต่อสิ่งรอบตัวเหมือนกัน เราจึงเลือกคบเลือกคุยกับคนเหล่านั้น นับถือกันเป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนร่วมสาบาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกผู้คนต่างก็มีแง่งามให้เราได้ค้นพบ แต่ละคนก็จะมีลักษณะเด่นกันไปคนละแบบ ถ้าเราใส่ใจที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ก็จะนำมาซึ่งสิ่งใหม่ๆสิ่งดีๆในชีวิต ประสบการณ์ บาดแผล ความเจ็บปวด ทุกข์ระทมของคนๆหนึ่งอาจจะช่วยให้เราเข้าใจโลก เข้าใจชีวิตได้มากขึ้น และสามารถที่จะนำมาพัฒนาหนทางการดำรงอยู่ของชีวิตอย่างมีคุณค่าได้
แท้จริงแล้วเราก็เป็นเสมือนหนังสือเล่มหนึ่ง แต่จะเป็นหนังสือบางเล่มที่ถูกนำมาอ่าน ถูกนำมาแบ่งปัน ถูกนำไปก่อให้เกิดประโยชน์ หรือเป็นหนังสือที่ถูกทิ้งขว้างอยู่บนหิ้ง เป็นหนังสือที่ใครได้เห็นแล้วมองข้ามหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่า เราได้ทำให้ชีวิตของเราน่าอ่านเพียงใด เราจะเป็นหนังสืออมตะที่มีผู้คนหยิบมาอ่านได้ตลอดเวลา หรือเป็นเพียงแผ่นกระดาษบางๆที่ถูกอ่านแล้วก็ฉีกทิ้ง มีประโยชน์เพียงใช้ห่อสิ่งของอื่นๆ เราสามารถเลือกจะเป็นได้
ในเมื่อชีวิตเราล้วนมีความดีอยู่ในตัว แล้วเหตุใดเล่า เราไม่นำความดี ความงามเหล่านั้นออกมาจรรโลงโลก สร้างสุขให้กับสังคม เราต้องไม่เป็นหนังสือที่สวยเพียงปก สวยเพียงรูปเล่ม เท่านั้น แต่เนื้อหาภายในเราจะต้องเป็นสื่อที่งดงาม เป็นเรื่องที่ทรงคุณค่าและน่าจดจำ
ในยุคที่เรามีเครื่องสื่อสารที่จะเข้าถึงเรื่องราวได้ง่าย ผ่านตัวอักษรหลากหลายมากมาย ซึ่งดูเหมือนว่าจะส่งเสริมการอ่านได้มากขึ้น จนทำให้เห็นว่าคนสมัยใหม่คงจะมีความฉลาดมากขึ้น แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะเครื่องมือนี้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้การอ่านของเราก่อเกิดกิเลสมากขึ้น อ่านแล้วก็อยากได้อยากมีมากขึ้น การอ่านลักษณะนี้เป็นการอ่านที่ไม่ได้พัฒนาชีวิตแต่เป็นการปลุกกิเลสส่วนลึกให้ลุกโชนขึ้นมาเป็นนายเหนือเรา
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
เช่นกันในยุคนี้เรามักจะถูกกระแสสร้างคนให้เป็นข่าว สร้างคนให้เป็นฮีโร่ โดยไม่ใช้การทำความดี แต่เป็นการสร้างเปลือกและปรุงแต่งให้ดูมีสีสัน และนำมาวางขายเพื่อให้ผู้คนตกหลุมพลางเดินตาม และถึงขั้นเสพติดภาพลักษณ์เหล่านั้น ความดีเป็นสิ่งที่ขายไม่ได้ ความดีไม่มีที่ยืนให้ผู้คนได้เชยชม ความงามที่แท้จริงถูกกลบด้วยความทรามและความหยาบกระด้าง มนุษย์ยุคนี้จึงเป็นมนุษย์ที่หัวจิตหัวใจกระด้าง ไร้ความอ่อนหวานและอ่อนโยน ถูกกลบด้วยวัตถุเพียงเพื่อให้สะดวกสบาย

ใช่หรือไม่ ดูเหมือนยุคนี้จะมีคนอ่านหนังสือมากขึ้น แต่มักจะอ่านอะไรที่มันสั้นๆ อ่านแล้วก็นำไปพูดไปวิจารณ์ อ่านไม่ได้ศัพท์จับไปกระจาย ทำให้เรื่องร้ายเกิดขึ้นมีให้เห็นอยู่ทุกวัน เรื่องบางเรื่องเล็กๆก็กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ เป็นวาระแห่งโลกที่ทุกคนต่างมีความเห็น แล้วแสดงออกผ่านอักษรให้คนอื่นอ่าน คนอ่านต่อก็ใส่จริตตนเพื่อให้ทั้งโลกคล้อยตาม ใครเข้าไปเห็นต่างก็กลายเป็นเรื่องที่โต้ตอบระเบิดอารมณ์ใส่กัน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนนั้นไม่ยืดยาว คบหาสมาคมแบบสั้นๆ แล้วเราควรจะเป็นหนังสือที่จารึกอักษรแบบไหนกัน เป็นเล่มที่น่าอ่านทั้งข้างนอกและข้างใน หรือเป็นเล่มที่ถูกห่อในพลาสติกที่ห้ามแกะอ่าน…..

ไม่มีความคิดเห็น: