รูดแล้วหลุดลอย
วันเวลาเดินทางมาเรื่อยๆตามครรลองอย่างเที่ยงตรงและซื่อสัตย์
มีแต่ความรู้สึกและจริตของเราที่อิงแอบแนบชิด ทำให้เกิดความรู้สึกว่าช้า ว่าเร็ว สำหรับคนที่มีเรื่องราวให้ครุ่นคิด
ให้ทำ ให้ดิ้นรนค้นหา ก็จะเห็นว่าวันเวลาช่างเดินเร็วเหลือเกิน เผลอแป๊บเดียวล่วงเลยมาถึงครึ่งปีแล้ว
หันกลับไปเหลียวหลังแลดูก็เห็นการเปลี่ยนแปลงมากมายในทุกๆด้าน เด็กๆลูกๆหลานๆสูงขึ้นโตขึ้น
เป็นหนุ่มเป็นสาว ก็อดทำให้คิดถึงตัวเองไม่ได้ว่า “แล้วเราจะมีวันเวลาให้เหลือใช้อีกนานเท่าไหร่
แล้วเราจะใช้ให้คุ้มค่า เห็นคุณค่ากับผู้คนคุ้นเคย ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง
ผู้มาพึ่งพาเราได้อย่างไร”
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
พูดก็พูดเถอะ เวลาที่เราสูญเสียไป ไม่น้อยเราหมดไปกับเรื่องไร้สาระก็มาก
เราสวดภาวนาน้อยลง เพราะเสพติดกับข่าวสารบนหน้าจอมากขึ้น
ข่าวที่หลั่งไหลพรั่งพรูมาอย่างไม่หยุดหย่อน ข่าวจากทั่วสารทิศ ข่าวฉาว ข่าวดารารักๆเลิกๆ
ข่าวสร้างกระแส ข่าวลือ ข่าวคนที่อยากโด่งดัง ก็ทำให้กลายเป็นที่พูดกันทั่วเมืองด้วยการเปลือยตัวเปลืองตัว
ทำเพียงเพื่อให้ดังสนั่นเมือง
เรียกว่าขอยึดพื้นที่ออนไลน์ได้สักครึ่งค่อนวันก็ถือว่าคุ้มค่าแบบไร้ค่าราคาคนก็ชั่ง… ใช่หรือไม่ วันนี้เราอ่านหนังสือน้อยลง
โดยเฉพาะหนังสือที่บำรุงจิตวิญญาณแทบไม่เคยผ่านสายตา
เพราะเราเสียเวลาไปกับการอ่านข่าว อ่านเรื่องราวสั้นๆบนโลกออนไลน์ได้ตลอดเวลา เราทำงานได้น้อยลง
ทำเพียงไม่กี่นาทีก็ต้องหันกลับไปโหยหา เปิดโทรศัพท์รูดไปมาดูความเคลื่อนไหวของสังคม
คนออนไลน์นั้น ใจร้อน สมาธิสั้น จะไม่อดทนรออะไรเลย วิ่งไปหาสิ่งที่น่าสนใจกว่าเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว
|
ใช่หรือไม่ โลกในวันนี้เป็นโลกแห่งการสื่อสารเคลื่อนไหวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน
ผู้คนเชื่อมต่อกันได้สะดวก แต่ทว่า...ยิ่งสื่อสารเร็วขึ้น
ก็ดูเหมือนว่าผู้คนสื่อสารกับคนใกล้ตัวน้อยลง หันไปคุยกับคนแปลกหน้ามากขึ้น คนจำนวนมากชอบฝังตัวอยู่ในโลกเสมือนจริง
เพราะไม่ชอบความจริง โลกที่มีเทคโนโลยีสูงความเหงาก็สูงเป็นเงาตามกันมา ชีวิตที่เหงาจึงหาเพื่อนคุย
ชีวิตว้าวุ่น จึงผ่อนคลายด้วยการคุย คุยอะไรก็ได้ คุยไว้ก่อน สาระไม่ค่อยมี คุยกันแบบเรื่อยเปื่อย
คุยเหมือนสนิทสนมกันมามากกว่าสิบปี ทั้งๆที่ไม่เคยเจอหน้ากันเลยก็มี เป็นความสนิทสนมเสมือนจริง
สิ่งเหล่านี้ได้ดึงความจริงแห่งชีวิตให้หลุดลอย
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิตเราให้หายเหนื่อย
เป็นเพียงสิ่งลวงหลอกที่มีวันหลุดลอยหายไปได้เสมอ แต่วันนี้ดูเหมือนเรากำลังเสพติดการใช้นิ้วรูดไปรูดมาได้ตลอดทั้งวัน
น่าเสียดายไหมกับวันเวลาที่หมดไปกับสิ่งเหล่านี้ และถ้าหากเราเลิกพฤติกรรมแนวใหม่นี้ไม่ได้
เราต้องหาทางใช้มันให้เกิดคุณค่า เพราะจริงๆแล้วเทคโนโลยีเหล่านี้ล้วนมีคุณประโยชน์มหาศาลหากเรารู้จักใช้
ณ วัดแห่งหนึ่ง
คุณพ่อเจ้าอาวาสเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของสัตบุรุษที่มาเข้าวัดร่วมมิสซาทุกวันอาทิตย์
ไม่ค่อยมีสมาธิกันสักเท่าไหร่ และนับวันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะเวลาที่คุณพ่อผู้ประกอบพิธีเริ่มเทศน์ ผู้คนต่างดึงเอาสมาร์ทโฟน
หรือไม่ก็แท็บเล็ตขึ้นมาเปิดและก็เริ่มสไลด์รูดซ้ายรูดขวา เข้าสู่โลกเสมือนจริง
เช็คเฟสบุ๊ค ดูไลน์ แชทออนไลน์ มีบ้างบางคนยกมือถือที่มีกล้อง (ทุกยี่ห้อก็มีหมดแล้ว)
ขึ้นมาถ่ายภาพในวัด แล้วก็โพสต์ว่าตัวเองกำลังมาเข้าวัด หาคนที่ตั้งใจฟังเทศน์แทบไม่มีเลย
ทั้งๆที่คุณพ่อพยายามเตรียมการเทศน์มาเป็นอย่างดี เทศน์สั้นกระชับ
แต่ก็ยังไม่สามารถดึงดูดให้สัตบุรุษมีใจหันเหเข้ามาร่วมเป็นหนึ่งเดียวในพิธีกรรม
จนกระทั่งวันหนึ่งคุณพ่อคิดได้ว่าจะทำอย่างไรที่จะให้ทุกคนที่มาร่วมมิสซาวันอาทิตย์มีส่วนร่วมและได้รับข้อคิดอะไรกลับไปได้บ้าง
เมื่ออ่านบทพระวรสารจบ ทุกคนเริ่มนั่ง คุณพ่อเริ่มด้วยบทเทศน์ว่า “สวัสดีครับพี่น้อง
วันนี้พ่ออยากจะเชิญชวนให้พวกเราทุกคนช่วยกันแบ่งปันพระวาจาที่ได้รับฟังไปเมื่อสักครู่
แต่พ่อรู้ว่าคงมีไม่กี่คนที่จำได้ เอาอย่างนี้นะครับ พ่ออยากให้ทุกคนนำมือถือสมาร์ทโฟน
หรือแท็บเล็ตขึ้นมา (หลายคนถืออยู่ในมือแล้ว) แล้วให้เราเข้าไปในเฟสบุ๊ค หรือไลน์
หรือแชท อะไรก็ได้ที่เราใช้เป็นประจำ แล้วก็ให้พิมพ์ตามที่พ่อจะบอกต่อไปนี้นะครับ”
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
ทุกคนในวัดเริ่มอาการงงๆ
แต่ดูเหมือนยินดีและกระตือรือร้นที่จะทำตาม คุณพ่อจึงนำคำในพระวรสารที่ว่า “ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อย
และแบกภาระหนัก จงมาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน” ให้ทุกคนพิมพ์ไปพร้อมๆกัน
จากนั้น ก็ให้ทุกคนส่ง แชร์ ข้อความนั้นขึ้นไปอยู่บนโลกออนไลน์ สุดท้าย คุณพ่อก็จบด้วยการบอกว่า
“วันนี้พี่น้องได้มีส่วนร่วมที่จะทำให้ข่าวดีของพระเจ้าแพร่ออกไป
แล้วจากนี้ขอให้เรามีสมาธิอีกสักครึ่งชั่วโมง ร่วมกันในภาคถวายและรับศีลมหาสนิทอย่างดี
หลังจากจบพิธีพี่น้องก็ลองเช็คดูนะครับว่า ข่าวดี ของเราวันนี้ออกไปสู่เพื่อนพี่น้องสักกี่คน
แล้วถ้าเราทำแบบนี้บ่อยๆพระวาจาของพระเจ้าก็สามารถที่จะอยู่บนโลกนี้ได้ แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
มากมายสักเพียงใด ข่าวดี ก็จะยังอยู่”
วันนั้นดูเหมือนว่าคนที่มาเข้าวัดต่างก็ได้รับสิ่งดีๆกลับไป
เหมือนกับวันนี้ที่เราต้องได้สิ่งดีๆกลับไปเหมือนกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น