วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

อภัยคือศิลาฐานราก

อภัยคือศิลาฐานราก
ใครบ้างเล่าเกิดมาไม่เคยผิดพลาดเลยสักครั้งเดียว!!!  นักเดินทางคนไหนบ้างเล่า!!! ที่มิเคยหลงทาง นักบุญผู้ยิ่งใหญ่ วีรบุรุษ วีรสตรีชื่อก้องโลกต่างล้วนเคยผ่านทางความผิด หลงผิด มาแล้วด้วยกันทั้งนั้น แต่...ที่ทุกคนสามารถไปถึงซึ่งเป้าหมายสูงสุดได้นั้น เพราะพวกท่านเหล่านั้นรู้จักที่จะให้อภัยตนเอง อภัยคนรอบข้างแล้วเริ่มต้นใหม่ ในขณะเดียวกัน มีบ้างบางครั้งต้องน้อมรับการอภัยจากผู้อื่นด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ เหรียญมีสองด้านฉันใด ฟากฝั่งของการอภัยย่อมต้องมีสองด้านฉันนั้น ให้อภัยเขา และต้องน้อมรับให้เขาอภัยเรา นี่คือ หนทางที่ยั่งยืน นี่คือสันติสุขอย่างแท้จริงที่โลกยังต้องการ
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ในวันนี้โลกเราเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว และเต็มไปด้วยข้อเรียกร้อง ยึดหลักโลภครองชีพ ต่างคนต่างสร้างบาดแผลให้กับสังคมรอบด้านด้วยความริษยา และถึงที่สุดแล้ว ผู้คนวันนี้ไม่รู้จักหน้าที่ จริตตนเอง แต่กลับไปคัดค้าน ไปบีบบังคับให้ผู้อื่นทำตามหน้าที่ พยายามดีดเด้งตัวเอง ให้โด่งดัง ให้ดีเด่น แต่ไม่เคยเด่นในเรื่องดีๆ เรากำลังก้าวสู่สังคมที่เห็นคนผิดแล้วซ้ำเติมด้วยการวิจารณ์ถากถาง ต่อว่าด่าทอ เอามานินทากล่าวหา เรียกว่า “ฆ่ากัน” โดยปราศจากอาวุธ ลับหลังแทงทะลุถึงหัวใจให้ตายกันไปข้างหนึ่ง ปลูกฝังรอยแค้น รอยเคียดเกลียดชังเป็นเข็มทิศชีวิต มองโลกด้วยมุมมองด้านเดียว แล้วบอกว่าทั้งโลกก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น จริงแหละหรือ ใช่หรือไม่ มนุษย์ยุคนี้ขาดสำนึกของการกลับใจและการให้อภัย เราจึงเห็นความสับสนอลหม่านในทุกซอกทุกมุมเมืองทั่วโลก 

ใช่หรือไม่ มนุษย์เราทุกวันนี้มักคิดว่าเรายิ่งใหญ่ ใหญ่โตเกินสรรพสิ่งสร้าง อวดเบ่งอวดเก่ง ไว้วางใจในตัวเองมากกว่าไว้วางใจในมโนธรรม พยายามผลักดันความคิดเห็นส่วนตัวมาเป็นความคิดสาธารณะ แท้จริงแล้ว เราเป็นเพียงเศษธุลีในจักรวาล แล้วไฉน เรายังยึดติดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสรรพสิ่งอีกเล่า ในโลกนี้ยังมีเรื่องอีกมากมายให้เรียนรู้ มีหลายสิ่งหลายอย่างเป็นบทเรียน ใยจึงเวียนๆวนๆระคนอยู่กับความเป็นตัวเองกันอย่างนี้หนอ หากวันใดเราหลุดพ้นจากตัวเองได้ วันนั้นจะเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
หลายปีก่อนมีคดีหนึ่งเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา วัยรุ่นอายุ 14 ปี ยิงเด็กหนุ่มคนหนึ่งถึงแก่ความตาย เพียงเพราะต้องการพิสูจน์ตัวเองให้เพื่อนๆ ในแก๊งค์ได้เห็นว่า “ข้าก็แน่” ทุกการนัดหมายสืบพยานในศาล แม่ของผู้ตายจะมานั่งฟังการพิจารณาอย่างนิ่งเงียบ หลังจากที่ศาลตัดสินจำคุกวัยรุ่นผู้นั้น แม่ของผู้ตายเดินเข้าไปหาเขา จ้องหน้าและพูดว่า
"ฉันจะฆ่าเธอ"
ผ่านไปครึ่งปี หญิงผู้นั้นก็ยังไปเยี่ยมคนที่ฆ่าลูกชายของเธอ เธอเป็นคนแรกและคนเดียวที่ไปเยี่ยมเขา เพราะเขาเป็นเด็กข้างถนน ไม่มีญาติพี่น้อง ก่อนที่จะจากกัน เธอก็จะให้เงินเขาเป็นค่าใช้จ่าย  แล้วเธอก็เริ่มไปเยี่ยมเขาบ่อยขึ้น ในแต่ละครั้งก็ยังเอาอาหารและของฝากไปให้ เมื่อใกล้ครบกำหนดจำคุกสามปี หญิงผู้นั้นก็ถามเขาว่า
“จะทำอะไรเมื่อพ้นโทษ” เขาตอบว่า “ไม่รู้”
เธอจึงหางานให้เขาทำในบริษัทของเพื่อน ครั้นถามว่าเขามีที่พักไหม ก็ได้คำตอบว่าไม่มี เธอจึงชวนเขามาพักในบ้านของเธอ บ้านของเด็กที่เขาฆ่ากับมือ
ตลอดแปดเดือนเขาพักที่บ้านของเธอ กินอาหารที่เธอทำ แล้วเย็นวันหนึ่งเธอก็เรียกเขาไปคุยในห้อง เธอนั่งประจันหน้าเขา นิ่งเงียบพักใหญ่ แล้วพูดขึ้นว่า
“เธอจำได้ไหมตอนที่อยู่ในศาล ฉันพูดว่า จะฆ่าเธอ?
“จำได้ครับ”
“ฉันไม่ต้องการเห็นคนที่ฆ่าลูกฉันยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ฉันต้องการให้เขาตาย เพราะเหตุนั้นแหละ...ฉันจึงไปเยี่ยมเธอและเอาของไปให้ เพราะเหตุนี้แหละ...ฉันจึงหางานให้เธอและให้เธออยู่บ้านฉัน”
ถึงตรงนี้ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
แล้วแม่ของผู้ตายก็พูดต่อไปว่า
“ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเธอ ตอนนี้เจ้าวัยรุ่นคนนั้นก็จากไปแล้ว ฉันจะถามเธอล่ะทีนี้ว่า ลูกของฉันจากไปแล้ว เจ้าฆาตกรก็จากไปแล้วเช่นกัน เธอยังจะอยู่ที่นี่อีกหรือเปล่า ฉันอยากรับเธอเป็นลูกหากเธอไม่ว่าอะไร”
ในที่สุดเธอได้กลายเป็นแม่ของคนที่ฆ่าลูกเธอ ส่วนฆาตกรผู้หลงผิดก็ได้แม่ ซึ่งเขาไม่มีมาก่อนในชีวิต….
นักบุญเปโตรและเปาโล
การให้อภัยต้องเริ่มต้นจากการให้อภัยตัวเอง ต้องหลุดพ้นความเป็นตัวเอง หลุดพ้นจากความโกรธ เกลียด ในหัวใจ แล้วเราก็จะได้หัวใจจากคนอื่นตามมา นักบุญเปโตรผู้ห้าวหาญ ผู้เคยปฏิเสธพระเยซูเจ้าในวันที่พระองค์ทุกข์ทรมานมากที่สุด พระองค์ให้อภัยท่านนักบุญเปโตรตั้งแต่ครั้งที่เคยถามว่า “ท่านรักเราไหม” เปโตรตอบว่า “รักครับพระอาจารย์” พระองค์จะเจ็บปวดเพียงใด เพราะรู้ว่าอีกไม่นานคนๆนี้ คนที่พระองค์รักและไว้ใจมากที่สุด ที่ตอบว่า “รักพระองค์” กำลังจะหันหลังให้ แต่รู้ล่วงหน้าว่าแท้จริงแล้ว คนๆนี้เมื่อกลับใจ จะมั่นคงและเข้มแข็งตลอดไป ซึ่งไม่ต่างกับท่านนักบุญเปาโล ผู้ที่เคยเต็มไปด้วยอำนาจ บริวาล มีความรอบรู้ รอบจัด แต่กลับต้องมาพ่ายแพ้แสงสว่างแห่งความจริง จนต้องตกม้า(เกือบ)ตาย เมื่อท่านได้ปฎิบัติตามเสียงเรียกนั้น และเมื่อเกิดการกลับใจ ได้รับการให้อภัย จนทำให้ท่านนักบุญเปี่ยมไปด้วยความหวัง ความเชื่อและความศรัทธา การกลับใจของท่านนักบุญทั้ง 2 ท่าน ล้วนมาจากใจที่ยอมรับการให้อภัย นำมาซึ่งฐานรากอันแข็งแกร่งของพระศาสนจักร แล้วหัวใจของเราในวันนี้ ได้พบสิ่งเหล่านี้บ้างหรือยัง หรือเป็นเพราะเราไม่รู้จัก ยังไม่เคยเห็น การอภัยและการกลับใจเลยสักครั้งในชีวิต....

ไม่มีความคิดเห็น: