วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

หยุดทำร้ายความเดียงสา

หยุดทำร้ายความเดียงสา
...เกิดสงครามพันครั้ง เด็กก็ยังสวยงาม
เป็นเพียงแค่สงคราม ความเดียงสาเท่าเดิม...
(บางส่วนในเพลง กล้วยไข่ วงเฉลียง)
ท่อนนำเพลงนี้ดังขึ้นจากลิ้นชักความทรงจำ อันเนื่องมาจากการได้เห็นข่าวของเด็กๆที่ต้องมาร่วงหล่นท่ามกลางความต่างทางอุดมการณ์ ที่ถูกยกมาแอบอ้างอิงพิงเป็นอุดมการณ์อันสูงส่ง และเพื่อรักษาฐานที่มั่นไว้ ฝ่ายที่คิดต่างเห็นต่างจะต้องมีอันเป็นไป โดยไม่สนใจว่าใครจะได้รับเคราะห์ เพราะเหมารวมว่าใครอยู่ที่ตรงนั้นมันคือฝ่ายตรงข้าม สมควรต้องตาย.... แล้วไง !!! ความสูญเสียเศร้าโศกก็บังเกิดขึ้นสุดบรรยาย
เวลาที่เห็นเหตุการณ์ลักษณะนี้แล้ว อยากจะปิดการรับรู้ข่าวสารทั้งหมดทั้งสิ้น อยากจะกดปุ่ม Undo ย้อนกลับไปในวันที่ประเทศชาติเรามีแต่ความสงบสันติสุข แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ ยิ่งนับวันคนเราต่างก็ยึดติดความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้ง แล้วทุกคนก็ต้องเห็นด้วยแบบนี้เพียงเท่านั้น ดูเหมือนโลกกว้างขึ้นให้รับรู้เรื่องราวได้มากมาย รวดเร็ว แต่จิตใจกลับคับแคบเลือกรับเฉพาะสิ่งที่เราเชื่อ แล้วก็ตัดสินคนแบบรวดเร็ว ใจเร็ว เมื่อเราคิด เห็น ชอบ แบบนี้แล้ว ก็ไม่สนใจใยดีใดๆทั้งสิ้น ถึงขั้นว่า สาแก่ใจที่ฝ่ายคิดต่างได้รับการทำร้ายชีวิต จิตใจเราเป็นอะไรกันไปแล้วหรือ คนไทย....
แต่ใช่ว่า...เหตุการณ์ลักษณะนี้มิเคยเกิดมาก่อนในโลกใบนี้ มันมีมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เด็ก ผู้หญิง คนชรา มักเป็นเหยื่อแห่งความต่างของสังคมโลกนี้เสมอๆ เราก็รู้ สงครามที่ไหนๆมันไร้เหตุผลทั้งนั้น โดยเฉพาะสงครามเอาเด็กเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะเด็กไร้เดียงสา พวกเขาบริสุทธิ์และกลายเป็นเหยื่อแห่งความขี้ขลาดของคนสิ้นคิด ที่มีจริตความเกลียดกลัวเข้าครอบงำ เด็กๆจำนวนไม่น้อยต้องกลายเป็นคนไร้ราก แต่เราก็ยังปล่อยให้บทเรียนที่แสนเจ็บปวดนี้เกิดขึ้นอีกจนได้
ใช่หรือไม่....สงครามเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น คนที่ต้องออกหน้าไปสู้รบนั้น บางครั้งมันเจ็บปวดกับคำสั่งฆ่าของผู้อยู่ข้างบนผู้สั่งการ ยังไงเสียการมีจิตใจแห่งเมตตายังอยู่ในหัวใจทุกคน ปลุกให้มันตื่น เพื่อความเดียงสาของเด็กๆจะคงอยู่ต่อไปนิรันดร์
ในช่วงปี ค.ศ.1948 เป็นช่วงที่ใครอยู่ในประเทศเยอรมัน ดูเหมือนจะโชคร้ายกว่าใครๆในโลก หลังจากที่ประเทศถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ส่วน ท่ามกลางผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศรัสเซียเอง ก็ตัดสินใจที่จะตัดช่องทางการคมนาคมทางรถไฟที่ตรงไปยังกรุงเบอร์ลินทั้งหมด ด้วยความหวังว่าจะเกิดการขาดแคลนอาหารในกรุงเบอร์ลิน

ในตอนนั้นเอง ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศพันธมิตรอื่นๆ ก็พบว่า พวกเขาสามารถใช้เครื่องบินช่วยขนส่งอาหารได้ จึงได้มีการเริ่มปฏิบัติการที่เรียกว่า “The Berlin Airlift” ซึ่งเครื่องบินรบ แทนที่จะปล่อยลูกระเบิด ก็ทำการปล่อยอาหารลงไปยังกรุงเบอร์ลินแทน ถึงตอนนี้ คนในเบอร์ลินก็รอดจากการอดตายแล้ว แต่ยังมีของเล็กๆ น้อยๆ ที่ขาดไป นั่นคือ ขนมหวานสำหรับเด็กๆ
Gail Halvorsen นักบินจากรัฐยูทาห์ รู้สึกสะเทือนใจกับภาพของเด็กๆ ในกรุงเบอร์ลินที่ไม่มีขนมหวานไว้กิน เขาจึงยกหมากฝรั่งให้เด็กเหล่านั้นพร้อมกันสัญญาว่า เขาจะกลับมาวันพรุ่งนี้ พร้อมกับขนมอีกจำนวนมากมาย หลังจากนั้น Halvorsen ได้ทำการปล่อยช็อคโกแล็ตลงมากับร่มชูชีพอันเล็กๆ ลงมาให้เด็กๆ
นอกจากนั้น เขายังขยับปีกเครื่องบินไปมาเพื่อเป็นสัญญาณให้เด็กๆ จำเครื่องบินของเขาได้และเตรียมพร้อมรับฝนช็อคโกแล็ต ทำให้เขาได้รับฉายา คุณลุงขยับปืก (Uncle Wiggly Wings) ไปด้วย
อย่างไรก็ตาม การกระทำแบบนี้ของ Halvorsen ถือว่าผิดกฎ และเขาก็ถูกบังคับให้เลิกทำเสีย จนกระทั่งเจ้านายของเขาได้รู้ว่าชาวเยอรมันชอบพวกอเมริกามากขึ้นแค่ไหนจากเหตุการณ์นี้ จึงได้มีการจัดตั้งกลุ่มกองกำลังเครื่องบินที่มีหน้าที่ส่งของหวานจำนวนมากไปให้แก่เด็กๆ
และถึงแม้ว่าปฏิบัติการนี้จะจบลงในปี ค.ศ.1949 หลังจากที่สหภาพโซเวียตยอมแพ้ เด็กๆ ชาวกรุงเบอร์ลินก็ไม่เคยลืมเรื่องของคุณลุงขยับปีก และชื่อของ Gail Halvorsen ก็ยังเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศเยอรมันในฐานะชายที่ให้ขนมแก่เด็กๆ ถึงขนาดมีโรงเรียนบางแห่งตั้งชื่อขึ้นตามชื่อของเขาด้วยซ้ำ
ในหัวใจของเราทุกคนล้วนแต่รักเด็กๆ คงมีแต่คนใจปีศาจเท่านั้นที่เห็นเด็กเป็นเครื่องมือเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ที่คิดเองเออเอง ทหารที่เข่นฆ่ากันในสนามรบ เขายังมีจิตใจอ่อนโยนลงเมื่อเห็นหน้าเด็กๆ เราคงไม่อยากเห็นเด็ก เห็นคนบริสุทธิ์ต้องมาจบชีวิตด้วยการยึดแย่งชิงอำนาจ แย่งชิงความเป็นใหญ่ฝ่ายตน ใช่หรือไม่ ความเดียงสาของเด็กสร้างโลกให้สดใสมากกว่าจิตใจมักใหญ่ฝ่ายสูงของผู้ใหญ่เสียอีก หยุดเถอะให้เด็กได้สร้างโลกต่อไป หยุดความรุนแรง หยุดใช้ความตายเพื่อแลกกับชัยชนะ หันมามองหน้าเด็ก แล้วให้ความเดียงสานั้นโบยตีจิตใจอันแข็งกระด้างของเรา

สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ตรัสสอนว่า จำไว้นะว่า สงคราม ความเกลียดชัง และความเป็นศัตรูกันไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่เราจะหาซื้อได้ตามท้องตลาด แต่มันอยู่ในใจของเราทุกคน จิตแห่งสงครามจะนำเราถอยห่างจากพระเจ้า สิ่งนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่มันมาจากจิตใจของเรา ขอให้เราคิดและตระหนักถึงความเศร้าโศกที่เกิดจากสงครามและแผ่เข้ามาในครอบครัวของเรา สิ่งที่คริสตชนควรทำในทุกๆวันก็คือ เมื่อเราอ่านข่าวคนตายจากสงคราม เราควรคร่ำครวญและเป็นทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้น (Pope Report)

วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ขบวนรถโดดเดี่ยว

ขบวนรถโดดเดี่ยว
สถานการณ์ประเทศไทยเดินมาถึงจุดเสี่ยงอีกครั้ง และยังไม่สามารถหาความสมดุลได้อย่างลงตัว ในบรรยากาศเช่นนี้ ต่างคนต่างรู้สึกโดดเดี่ยวและเงียบเหงา เวลาที่ขึ้นรถเมล์ BRT  BTS  MRT เดินเข้าไปในขบวนที่เต็มล้นไปด้วยผู้คนร่วมเส้นทาง แต่มันดูเงียบวังเวงอย่างบอกไม่ถูก ต่างคนต่างก้มหน้าอยู่กับมือถือของตัวเอง ไม่มีเสียงพูดคุย ต่างคนต่างเฝ้าติดเกาะข่าว บ้างก็ส่งข้อความ ส่งสติ๊กเกอร์ แลกเปลี่ยนความเงียบให้แก่กัน บ้างก็ส่งรูปที่ตัวเองถ่าย แล้วตบแต่งส่งให้เพื่อนชื่นชมความงามแบบปลอมๆ บ้างก็แต่งจนต่างจากความจริง สังคมเรากำลังก้าวสู่โลกส่วนตัว ท่ามกลางโลกส่วนรวม เราอยู่ใกล้กันเพียงผนังห้องกั้น เป็นเพื่อนคุยกันในห้องสนทนา สนุกสนาน แต่เงียบ...เมื่อเจอหน้า ร่าเริงเมื่อนิ้วจิ้มๆส่งๆ หรือว่าเรากำลังก้าวสู่โลกแบบนี้เหมือนในนิทานล้านบรรทัด ของ ประภาส ชลศรานนท์ ที่เขียนไว้ในเรื่อง วันที่ไฟฟ้าดับ

จุ๋มกับจ้อยเป็นสามีภรรยากัน จ้อยเป็นชายหนุ่มที่ทำงานอยู่กับบ้าน รับจ้างเขียนโปรแกรม ส่วนจุ๋มทำงานเป็นดีไซเนอร์อยู่บริษัทเล็กๆที่รับจ้างออกแบบอาร์ตเวิร์คทั้งสิ่งพิมพ์และเว็บไซท์ เวลาส่วนใหญ่ของทั้งสองจึงอยู่หน้าจอ ถึงแม้กลางวันทั้งสองจะไม่ได้เจอหน้ากัน แต่ทั้งสองก็ยังคงส่งข้อความถึงกัน ถ่ายรูปอาหารการกิน ผู้คนและสิ่งที่เขาพบเจอผ่านสมาร์ทโฟนถึงกัน ใครๆก็รู้ว่าสามีภรรยาคู่นี้หลงใหลในโซเชียลเน็ตเวิร์คเพียงใด ในยามค่ำคืน เมื่อสาวจุ๋มกลับมาบ้านก็มักนั่งกินข้าวเพียงลำพัง ค่าที่สาวจุ๋มกลับบ้านดึกดื่น หนุ่มจ้อยจึงซื้ออาหารสำเร็จรูปมาเตรียมไว้ แล้วตัวเขาก็กินให้อิ่มแต่หัวค่ำ แล้วก็นั่งทำงานเขียนโปรแกรมต่อในตอนที่สาวจุ๋มกลับถึงบ้าน
วันนี้แกงไตปลาอร่อยมาก ซื้อร้านไหนสาวจุ๋มส่งข้อความผ่านไลน์ให้สามี ทั้งๆที่ทั้งสองอยู่ห่างกันแค่ผนังห้องกั้น
ร้านนี้หนุ่มจ้อยส่งรูปภาพหน้าร้านที่เขาถ่ายมาเมื่อตอนเย็น
ขอบใจนะที่รักสาวจุ๋มส่งรูปตัวเองทำหน้าทะเล้นให้สามี และแน่นอนที่สุดมืออาร์ตเวิร์คอย่างเธอไม่มีทางลืมที่จะตบแต่งรูปตัวเองให้ดูดีก่อนส่ง
เดี๋ยวอิ่มแล้ว ขออาบน้ำนอนเลยนะ พรุ่งนี้มีประชุมเช้า ฝันดีนะคะ
เหตุการณ์ซ้ำๆอย่างนี้เกิดขึ้นแทบทุกวัน จุ๋มกับจ้อยแต่งงานกันมาห้าหกปีแล้ว ทั้งสองใช้ชีวิตแทบทั้งหมดอยู่บนจอมอนิเตอร์ ทั้งการงานและงานอดิเรก ทั้งเรื่องความรู้และการพบปะสังคม ไม่น่าเชื่อว่าในบางสัปดาห์ทั้งสองคุยกันผ่านตัวหนังสืออย่างเดียว ทั้งจอเล็กและจอใหญ่
ทั้งสองยังเจอเพื่อนๆผ่านทางจอ พวกเขาไม่รู้สึกเลยว่าพวกเขาไม่ได้เจอกัน เพราะการอัพเดทสเตตัส การอ่านข้อความที่ทวีตบอกข่าว และการเห็นรูปของเพื่อนๆที่ถ่ายมาตามสถานที่ต่างๆในอินสตาแกรม ทำให้พวกเขาคุ้นชินว่าพวกเขาได้เจอเพื่อนอยู่เนืองๆ ทั้งที่บางคนพวกเขาไม่ได้เจอกันเกือบสิบปีแล้ว
แล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่ไฟฟ้าดับทั้งเมือง จ้อยเดินออกมาจากห้องทำงานเดินมาที่ห้องนอน จุ๋มงัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกว่าอากาศอึดอัด เสียงแอร์คอดิชั่นที่คุ้นหูเงียบไปคุณเป็นใครสาวจุ๋มเพ่งมองหนุ่มจ้อยที่เพิ่งเดินมาถึงปลายเตียง มีแสงจันทร์ส่องเข้ามากระทบหน้าจ้อยรำไร คุณนั่นแหละเป็นใครหนุ่มจ้อยย้อน คุณเข้ามาในห้องผมทำไม แล้วเอาชุดนอนของเมียผมมาใส่ทำไมหนุ่มจ้อยจำภรรยาตัวเองไม่ได้ ทั้งหน้าตาและเสียง “แกนั่นแหละถอยไป อย่าเข้ามานะ แกทำอะไรสามีฉันแล้วเอาเสื้อผ้าเขามาใส่สาวจุ๋มขว้างหมอนใส่หนุ่มจ้อย
จะว่าไปทั้งสองไม่ได้คุยกันแบบคนปรกติมาเป็นปีแล้ว หนุ่มจ้อยเดินเข้าไปใกล้ๆเตียง สาวจุ๋มเห็นท่าไม่ได้การ จึงวิ่งออกไปที่นอกบ้าน ถนนข้างนอกมืดมิดเพราะไฟถนนดับหมด มีแต่แสงจันทร์ที่ช่วยส่องสว่าง ก่อนออกมาสาวจุ๋มไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาด้วย สาวจุ๋มรีบส่งข้อความหาสามีของตัวเองทันที ช่วยด้วย  เธอพิมพ์เสร็จแล้วก็หาสติกเกอร์การ์ตูนรูปคนตกใจแถมส่งไป สาวจุ๋มคงไม่รู้ว่าไฟฟ้าดับครั้งนี้ มันเป็นการขัดข้องเรื่องไฟฟ้าครั้งใหญ่ นั่นคือมันดับทั้งเมือง ดับแม้กระทั่งเครือข่ายผู้ให้บริการทางโทรศัพท์ ก็ไม่มีพลังงานไฟฟ้าที่จะรับส่งสัญญาณ ให้
หนุ่มจ้อยวิ่งตามมาถึงที่ตรงสาวจุ๋มยืนหอบอยู่ มือขวาเขาหยิบท่อแป๊บ ส่วนมือซ้ายเขาถือโทรศัพท์มือถือ
แกเป็นใคร หนุ่มจ้อยจ้องเขม็ง ฉันชื่อจุ๋มสาวจุ๋มพูดตะกุกตะกัก เธอถอยหลังช้าๆด้วยความกลัว คราวนี้แสงจันทร์ที่ส่องมาทำให้เขาเห็นหน้าผู้หญิงที่ยืนตัวสั่นอยู่ข้างหน้าได้ชัดเจนขึ้น อย่ามาเล่นลูกไม้นี้ ฉันรู้จักจุ๋มเมียฉันดี หนุ่มจ้อยมองโทรศัพท์ เขาเปิดไปที่รูปภรรยาตัวเอง แล้วก็เงยหน้าตวาด หน้าเธอไม่เหมือนจุ๋มเลย ไม่เหมือนเลยสักนิด จุ๋มของฉันสวยกว่านี้ตั้งเยอะ
ใครจะไปคาดคิดว่า วันหนึ่งในอนาคตเราจะเห็นแต่หน้าคนรู้จักผ่านทางจอ และก็จำแต่ใบหน้านั้นไว้ในความทรงจำ ใครจะไปคิดว่าเราจะจำหน้าจริงๆของคนที่เรารู้จักไม่ได้ในวันหนึ่ง เพราะฤทธิ์ของแอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนได้ช่วยแต่งหน้าให้ผู้คนเปลี่ยนไป หนุ่มจ้อยกระชับท่อแป๊บในมือแน่น แล้วก็เดินย่างสามขุมเข้าหาภรรยาตัวเอง

สังคมแบบนี้อาจจะเป็นจริง เรากำลังร่วมอยู่ในขบวนรถนี้ หากเราไม่ก้าวออกมาสู่ความจริง ความจริงที่พูดคุยต่อหน้าต่อตา ด้วยใจสัมผัสใจ ไม่ใช่มือ นิ้ว สัมผัส แป้นจอ ใส่ใจกัน ดูแลกัน ความรักแสดงออกด้วยการกระทำให้เห็น หาใช่ส่งผ่านทางเครื่องมือสื่อสาร

วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

รักทำได้ทุกอย่าง

รักทำได้ทุกอย่าง
ความรัก เป็นสิ่งล้ำค่าคู่ครองโลกมาในทุกยุคทุกสมัย รักไม่มี วัน คืน เดือน ปี ไม่มีแค่เดือนนั้น เดือนนี้ รักไม่ใช่ต้องมีเพียงฉันและเธอเพ้อพบกันแค่เราสองคน รักนั้นคือ รักสรรพสิ่งที่มีอยู่รายรอบ รักแล้วสุข หากรักใดทุกข์นั่นหาใช่ในนามของความรักไม่ โลกยุคทุกอย่างโปรโมท โลกยุคแห่งสิ่งปลอมแปลง รักจึงกลายเป็นเพียงสินค้าให้มีการลงทุนหุ้นส่วน รักจึงกลายเป็นเพียงสิ่งเสพหาสุขใส่ตัว รักแท้จริงนั้นทำได้ทุกอย่าง รักแท้จริงนั้นปราศจากความเห็นแก่ตัว อดทนทุกอย่าง และนี่เป็นตัวอย่างของรักนิรันดร์ รักที่มีความหวัง ในสิ่งมีชีวิตเล็กๆบนโลกใบนี้ 

Rocky นั่งหน้าหลุมศพภริยา Juliata ที่ St. Joseph's Cemetery ใน Boston ตั้งแต่เธอเสียชีวิตในปี 1993  เขาเพิ่งจะเสียชีวิต เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2014 ที่ Stonehedge Health Care Center ใน West Roxbury หลังจากมีปัญหาเรื่องสุขภาพทรุดโทรม(โรคชรา)มาหลายเดือน Rocky จะถูกฝังเคียงข้างเธอไม่ต้องนั่งรออีกต่อไป
ตอนที่ภริยาของ Rocky เสียชีวิตนั้น ดูเหมือนว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตของเขาก็ขาดหายไป และด้วยความรัก การอยู่กินกันมายาวนาน ความโศกเศร้าทำให้เขานั่งรอที่หลุมศพภริยาตลอดทั้งวัน ทุกวัน นานๆ ครั้ง จึงจะกินอาหารหรือดื่มน้ำ เขาทนอยู่ภายใต้ภูมิอากาศและสภาพแวดล้อมธรรมชาติฝนตก แดดออก อากาศหนาวเย็น ร้อนแดด ตลอด 20 ปีแล้ว

Rocky กลายเป็นคนดังในปี 2000 หลังจากที่ The Boston Globe ได้รายงานข่าวเกี่ยวกับการนั่งรอภริยาที่เสียชีวิตไปแล้ว เรื่องราวข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกทำให้ Rocky รู้สึกร่าเริงขึ้นมาบ้าง แต่สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด คือ การอยู่ใกล้ชิดกับภริยา ทั้งคู่พบกันตอนเป็นวัยรุ่นที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในบ้านเกิด Buenos Aires (ประเทศอาร์เจนติน่า) เขากำลังนั่งหันหลังให้เธอ แต่ได้ยินเสียงเธอพูดกับเพื่อนๆ เกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณ ชีวิต และความดีงาม แม้ว่าจะไม่ได้เห็นหน้าของเธอเขาตัดสินใจแล้วว่า “เธอเป็นเจ้าสาวของผม และผมต้องรู้จักกับเธอ เธอคือคนรักที่แท้จริง”  คนส่วนมากไม่ชอบฟัง แต่ชอบมอง การฟังมากขึ้นมองให้ลึกซึ้งถึงข้างในจะทำให้คนเรามีความสุขมากขึ้น
16 กันยายน 1937  คือ วันนัดหมายแรกและมีการฉลองวันนี้ทุกปี ทั้งคู่แต่งงานในปีถัดมาในเดือนเมษายน  เขามีอาชีพเป็นวิศวกรโยธานานกว่า 30 ปี ส่วนเธอทำหน้าที่เป็นแม่บ้านแม่เรือน ในปี 1971 ทั้งคู่ได้อพยพมาอยู่กับลูกที่สหรัฐอเมริกาและมาตั้งรกรากที่ Boston  Juliata เสียชีวิตหลังการผ่าตัดโรคหัวใจในปี 1993  เขาเล่าว่า  “ตั้งแต่ภริยาเสียชีวิต ผมก็มานั่งรอที่หลุมศพเธอ มาในเวลาสุสานเปิดแล้วค่อยกลับบ้านเมื่อสุสานปิด เธอเป็นส่วนหนึ่งของผม ณ ที่แห่งนี้เติมเต็มชีวิตผม การมาอยู่ที่นี่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น ไม่ถึงกับดี หรือดีมาก ผมทำทั้งหมดนี้เพื่อ Juliata และเพื่อตัวผมเอง
ทุกๆ เช้าเขาจะทักทาย Juliata ว่า ผมมาแล้วนะ แล้วก็กางเก้าอี้สีฟ้าบนไม้กระดาน เพื่อกันขามันจมลงบนดินพร้อมกับนำข้าวของมาฝากเธอ เช่น รูปถ่ายต่างๆ และของที่ระลึกในวาระต่างๆ โดยเฉพาะภาพถ่ายสาวคนรักตาสีเขียวผมสีดำด้านหลังเขียนด้วยลายมือของเธอว่า วันนี้ท้องฟ้ายิ้มให้กับฉัน ฉันเห็นเธอ เธอจ้องมองฉัน วันนี้ฉันเชื่อมั่นในพระเจ้าด้วยรักหมดใจ Juliata”
ในวันที่อากาศหนาวเย็น Rocky จะสวมเสื้อคลุมกันลมและหิมะสีเขียวหัวเป็ดแม้ว่าจะมีเสื้อตัวอื่น แต่เขารู้ว่า Juliata จำเสื้อตัวนี้ได้เป็นอย่างดี ดังนั้น เขาจึงไม่ยอมเปลี่ยนไปใช้เสื้อตัวอื่น ขณะที่ Rocky นั่งเฝ้าอยู่ เขาจะใช้เวลาอ่านหนังสือ เขียน ครุ่นคิดพูดคุยกับคนที่แวะมาเยี่ยมเยือน บางครั้งออกกำลังกายให้ร่างกายอบอุ่น หรือเดินรอบๆ หลุมศพข้างเคียง 
ในวาระพิเศษต่างๆ เช่น วันครบรอบวันเกิดเธอทุกวันที่ 20 ธันวาคมบางวันเขานำเครื่องเล่นเทปคลาสเซส เทปที่ทั้งคู่ร้องเพลงกล่อมเด็กภาษาสเปน Rocky ร้องเพลงในเสียง tenor ที่เข้มแข็งส่วน Juliata ร้องตอบกลับในเสียง soprano ที่หวานแหววการได้ยินเสียงของ Juliata นำรอยยิ้มบนใบหน้าของ Rocky พร้อมคราบน้ำตาที่ดวงตาสีฟ้าของเขา
ในตอนกลางคืนก่อนกลับบ้านเขาจะสวดมนต์ให้กับเธอแล้วโปรยปรายขนมลงบนหลุมศพของเธอ กระรอกจะมาจัดการภายหลังจากที่เขาเดินจากไปและแล้วความโศกเศร้าก็จะกลับมาเยี่ยมเยือน เขาเอ่ยคำอำลาเธอลูบคำป้ายชื่อหินแกรนนิตสีแดงบนหลุมศพเธอด้วยความทรงจำไม่เคยลืมเลือน
หลายครั้งหลายคราที่การแสดงออกถึงความรักของเขา  ทำให้ผู้คนหลายสิบคนรู้สึกประทับใจเมื่อมาที่สุสาน พวกเขาจะนำอาหาร รองเท้าบูส หมวก ผ้าพันคอ บางคนตกแต่งหลุมศพ Juliata ด้วยรูปปั้นเซรามิคเทวดา ธงชาติ  รูปปั้นสัตว์ประเภทต่าง ๆ เขาจะบอกเล่าเรื่องราวให้คนที่มาเยี่ยมเยือนเขาฟังและแบ่งปันความรู้สึกนึกคิดของเขาเกี่ยวกับเรื่องชีวิตและความรัก 

ความรักของมนุษย์เราเป็นเรื่องอัศจรรย์ สามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง แม้บางอย่างอาจจะมองดูด้วยสายตาคนทั่วไปว่าไร้สาระ ไม่ก่อประโยชน์ แต่ผลของความรักมักสวยงามเสมอ ในเรื่องราวของ Rocky มีคู่รักมากมายที่นำแบบอย่างของเขาและเธอไปใช้ในชีวิตคู่ ชีวิตที่เต็มไปด้วยความรัก ความรักที่เริ่มต้นจากการฟัง ไม่ได้เกิดจากการมองเห็นเพียงรูปกาย และวันนี้เราใช้ความรักของเราทำอะไรกันบ้างเล่า....ขอบคุณ Rocky และ Juliata...

วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ใช้ทุกข์สร้างทางทาน

ใช้ทุกข์สร้างทางทาน
เห็นความทุกข์ของชาวนาทั่วประเทศ ที่ออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมในเรื่องจำนำข้าวแล้ว รู้สึกสงสารจับใจ เขาปลูกข้าวให้เรากิน แต่...พวกเขากลับไม่มีอะไรจะกินและไม่ว่าทุกข์ของชาวนานั้นจะเกิดจากระบบทุนนิยมที่เอาประโยชน์จากพวกเขา โดยไม่ต้องลงทุนลงแรงทำหรือเกิดจากความโลภมากของคนบางกลุ่ม เราต้องมีสำนึกร่วมกันว่าถ้าไม่มีชาวนาเราก็ไม่มีข้าวจะกิน ด้วยความหวังว่า คงอีกไม่นานจากนี้ ความทุกข์ของพวกเขาควรได้รับการเยียวยา เพื่อว่าเราจะได้พึ่งพาอาศัยผลงานจากหยาดเหงื่อของพวกเขาเลี้ยงชีพให้พวกเราต่อไป
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
นอกจากความทุกข์ของชาวนาที่มองเห็นแล้ว เราแต่ละคนต่างก็มีความทุกข์เป็นของตัวเองทั้งนั้น สุดแล้วแต่ว่าเราจะบริหารความทุกข์นั้นอย่างไร จะว่าไปแล้ว ความทุกข์ของบางคน นำมาซึ่งแรงบันดาลใจ ก่อให้เกิดสิ่งใหม่ มีไม่น้อยคนที่ใช้ความทุกข์ของตนสร้างความสุขให้กับผู้อื่นอีกเป็นจำนวนมาก ยิ่งหากเรามัวแต่จมอยู่ในกองทุกข์ก็ยิ่งเพิ่มทุกข์มวลรวมให้เกิดขึ้นกับสังคม 
แต่...ในสังคมยุคใหม่ที่ต่างคนต่างทุกข์ไม่ค่อยที่จะสนใจกันและกัน ความคิดสร้างสรรค์ และการเสริมสร้างประโยชน์ต่อส่วนรวมนั้นห่างไปหมด มีแต่ทำทุกอย่างเพียงหวังความสุขส่วนตัวเอามาใส่ตัว กลัวความสุขปลอมๆของตัวจะหลุดลอย เลยต้องเหนี่ยวรั้งไว้อย่างสุดกำลัง ใช้พลังทั้งหมดโอบกอดสุขนั้นไว้แต่เพียงผู้เดียว เราจึงรู้สึกโดดเดี่ยวท่ามกลางผู้คนมากมาย เราจึงเหมือนคนบ้าที่ก้มหน้าก้มตา พูดคุย นั่งจิ้มเครื่อง แล้วก็ยิ้มไปยิ้มมาอยู่คนเดียว ท่ามกลางคนแปลกหน้า ที่ผ่านไปผ่านมา เหมือนเป็นวิญญาณ สายลม ไม่เคยอยู่ในสายตา ใช่หรือไม่ เราต่างล้วนหลอกตัวเองว่ามีความสุข แต่ลึกๆแล้วเรานั้นทุกข์แสนทุกข์
คนสมัยหนึ่งทุกข์เพราะเรื่องขาดแคลนปัจจัยต่อการดำรงชีวิต จึงคิดค้นเพื่อนำพาให้ชีวิตอยู่รอดปลอดภัย แต่คนสมัยนี้ทุกข์เพราะอยากมี จึงหาทางดิ้นรนไขว่คว้า นำพาชีวิตไปสู่ความทุกข์ยิ่งขึ้น แต่ไม่ว่าวันนี้วันโน้นวันไหน หากเรารู้จักที่จะถากถางทางทุกข์ ให้เป็นถนนที่น่าเดิน ชีวิตเราย่อมเกิดมามีค่าเสมอ
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ดาสราฐ แมนจิ เกิดมาในครอบครัวคนงานที่ยากจนในหมู่บ้านกัลลอร์ ใกล้อำเภอคยา ในแคว้นมคธ ประเทศอินเดีย เขามีภรรยาชื่อ ฟังกานี เดวี ทั้งคู่อยู่กันมานานจนกระทั่ง วันหนึ่งเดวีได้เสียชีวิตลง เพราะขาดหมอ และการรักษา เนื่องจากเมืองที่ใกล้หมู่บ้านที่สุด อยู่ห่างไป 70 กิโลเมตร ( 43 ไมล์) ทำให้หมอมาไม่ทัน
ด้วยเหตุผลนี้ ดาสราฐ จึงมีความต้องการที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อไม่ให้คนอื่นๆ ในหมู่บ้านต้องประสบกับเรื่องเศร้าใจเช่นเดียวกับที่เขาเจอ จึงเริ่มขุดเจาะภูเขาที่บดบังหมู่บ้านกับความเจริญข้างนอก ภูเขานั้นมีความยาว 360 ฟุต ( 110 เมตร) , ความลึก 25 ฟุต (7.6 เมตร) และความกว้าง 30 ฟุต ( 9.1 เมตร ) เพื่อจะสร้างถนนผ่านภูเขา ในเทือกเขา Gehlour เขาทุ่มเททำงานนี้ทั้งวันและคืน ในยามป่วย หรือ เหน็ดเหนื่อยเกินไปก็หยุดพักบ้าง และทำมาตลอด 22 ปี ตั้งแต่ปี 1960 -1982 ถนนแห่งความหวังเดียวของคนในหมู่บ้านก็เสร็จลุล่วง
สิ่งที่ ดาสราฐ ทำนั้น ช่วยลดระยะทางระหว่างที่เดิมต้องใช้ระยะทางไกลถึง 75 กิโลเมตร เหลือแค่เพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น ดาสราฐ ได้ถึงแก่ชีวิตเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ปี 2007 รัฐบาลได้เป็นผู้ประกอบพิธีศพให้ในฐานะที่เขาเป็นผู้เสียสละและทำประโยชน์เพื่อมวลชน เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลที่มีความเพียรพยายามอย่างอุกฤษฏ์ เพราะใช้มือขุดเจาะหินออกไปยาวถึง 360 ฟุต กว้าง 30 ฟุต นั่น ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะสามารถทำได้ 

เรื่องของเขาสะท้อนให้ผู้คนในเมืองหันมาสนใจถึงความทุกข์ยากลำบากของคนชนบทบ้าง เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ซึ่งก่อนหน้านั้นเรื่องของ ดาสราฐ ช่างเศร้าเสียนี่กระไร เขาทำการสร้างถนนจนสำเร็จ แต่ผลงานกลับไม่ได้รับการยอมรับ ไม่มีรางวัลใดๆ ตอบแทนจากสังคม จนกระทั่งเขาได้ตายไป เมื่อเทียบกับรัฐบาลอินเดียใช้เงินหลายล้านรูปีเพื่อการตกแต่งบ้านของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ มากกว่าจะตัดถนนเพื่อชาวบ้าน และแม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้มาพัฒนาอะไรให้เรา เช่นนี้แล้วเราควรจะจดจำใครมากกว่ากัน
ในปี 2556 รัฐบาลแคว้นมคธ ได้เสนอชื่อ ดาสราฐ แมนจิ ให้เข้าชิงรางวัลปัทมาศรี (Padma Shree award) สำหรับการบริการสังคมดีเด่น

เชื่อว่า ดาสราฐ ไม่ได้ทำเพื่อหวังรางวัลอะไร แต่เขาทำเพราะไม่ต้องการเห็นคนอื่นต้องรับทุกข์เหมือนเขา เขาบริหารทุกข์อย่างสร้างสรรค์ แน่ล่ะ คงมีไม่น้อยที่เห็นเขาทำเช่นนั้นอาจจะคิดว่าเขาบ้าไปแล้ว ที่จะขุดภูเขาด้วยมือเปล่าๆ แต่แล้ว... ด้วยความพยายาม แรงบันดาลที่เกิดจากความรักต่อภรรยา นำมาซึ่งความสำเร็จที่ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเองเลย และในวันนี้อย่างน้อยคนทั่วโลกก็ชื่นชมเขา นับถือเขาในฐานะมนุษย์ที่เกิดมาทำประโยชน์ต่อผู้อื่น เกิดมาอยู่บนโลกอย่างมีคุณค่า แล้วเราวันนี้ เรามีค่าต่อโลกนี้มากเพียงใด หรือ เรานำแต่ความทุกข์มาสู่โลก ทำให้โลกนี้หนักขึ้น คงไม่เป็นเช่นนั้นแน่ และไม่ว่าเรา จะสุข จะทุกข์อย่างไร จงรู้จักบริหาร แปลงให้เกิดแรงบันดาลใจ ทำให้สังคมที่เราร่วมกันเดินอยู่นี้ให้น่าเดินยิ่งขึ้น เดินไปสู่สวรรค์ด้วยกัน นี่จึงเป็นทางทานที่เราต้องใช้ความพยายามตลอดชีวิตช่วยกันถากถาง แม้จะต้องทำด้วยมือเปล่า...

วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

สังคมในฝันฉันเธอที่แตกต่าง

สังคมในฝันฉันเธอที่แตกต่าง
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ชีพจรลงเท้าให้เดินทางมายังเชียงใหม่ ในฐานะผู้แบ่งปันในหัวข้อเรื่อง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาเครือข่าย ให้กับบรรดาคุณครู กศน. ( การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย) ภาคเหนือจำนวนร้อยกว่าท่าน และเพื่อให้ทันสมัย เข้าใจง่ายๆ จึงได้พยายามจัดเตรียมเนื้อหา ย่อยสรุปให้สั้นๆกระชับๆเพื่อทำให้บรรดาคุณครูได้เข้าใจ ถึงอิทธิพลและการนำเทคโนโลยีสื่อสารไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ให้คุ้มค่ากับราคาและพลังงานที่ต้องสูญเสียไป
ภาพ:อินเตอร์เน็ต
ด้วยความห่วงใยส่วนตัวที่เห็นว่าในทุกวันนี้เราใช้เทคโนโลยีสื่อสารกันในนามของสังคมเครือข่ายนั้น ล้วนมีแต่ความคิดเห็นที่เต็มไปด้วยจริตส่วนตนมากกว่าการให้ความรู้ ตามที่ขงจื้อกล่าวไว้ว่า การเรียนที่ไม่รู้จักคิดนั้นไร้ประโยชน์ แต่ว่าการคิดโดยไม่มีการเรียนรู้นำหน้ามาก่อน นับเป็นสิ่งอันตราย กลายเป็นสังคมความคิดเห็นที่แสดงออกมาซึ่งความเห็นแก่ตัว การโอ้อวดกัน ไร้การแบ่งปันความรู้ มีแต่แบ่งปันความโกรธ เกลียด โกง กลัว ให้แก่กัน ทำไปทำมาสังคมเสมือนจริงนี้อันตรายมากกว่าสังคมจริงๆ เสียอีก และเป็นที่มาของการไล่ล่าฆ่ากันในสังคมจริงอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในวันนี้ เป็นการปลูกความโหดเหี้ยมไว้ในหัวใจของคนหลายดวง หากเรารู้จักใช้ รู้เท่าทัน รู้รอบรู้คิดตรึกตรอง กลั่นกรองข้อมูล ให้งดงามก่อนที่จะเข้าไปฝังอยู่ในสมอง สิ่งนี้จึงเป็นวัตถุประสงค์หลักที่จะนำไปแบ่งปัน
ในขณะที่เตรียมเนื้อหา เตรียมการแบ่งปันพลันสิ่งหนึ่งก็เกิดขึ้น ข้อมูล ความคิดเห็นในเหตุการณ์นั้นก็ไหลหลั่งมาดั่งห่าฝน ภาพของการฆ่ากัน ด้วยความคิดต่างทางอุดมการณ์ ทางความคิดเห็น มีให้เห็นศพแล้วศพเล่า นำความเศร้ามาให้เห็นจนไม่อยากจะอ่านจะเห็นข่าวประเภทนี้เลย ไม่อยากจะเห็นความคิดเห็นที่ฝังแฝงความแค้นให้กันเลย ยิ่งฆ่ากันยิ่งเพิ่มความเคียดแค้น ยิ่งเพิ่มขยะโมหะในสังคมออนไลน์จนเต็มล้นหน้าจอ  มีแต่ความรุนแรงต่อชีวิตกันและกัน วันนี้หัวใจไทยเป็นอะไรกันไปแล้ว การเอาชีวิตเพื่อนมนุษย์ คือ บาป และความอธรรมที่ไม่อาจยอมรับได้(คุณพ่อสมเกียรติ ตรีนิกร) ความรักและเมตตาธรรมห่างหายไปจากหัวใจหลายๆคน ที่ถูกความโกรธเคือง และประเทืองด้วยข้อมูลของฝ่ายตนประดังมาเสริมให้เหิมเกิม มือถือปืนเล็งใส่มนุษย์ที่มีชีวิตและวิถีที่ต่างกันเพียงเรื่องปลีกย่อยเท่านี้เองหรือ อุดมการณ์ทางการเมืองเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตหรือ จึงต้องเอาชีวิตคนอื่นเซ่นสังเวยกัน สังคมในฝันต้องเป็นอย่างฉันคิดเท่านั้นหรือ
ทุกวันนี้อะไรคือสิ่งที่ เลวร้าย ที่สุดในโลก สิ่งนั้น คือ ความคิดเห็น โลกเราเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เต็มไปด้วยข้อมูลต่างๆมากมาย ทำให้เราใช้ความสามารถในการ วิเคราะห์ น้อยลง แต่ เชื่อ มากขึ้น โลกเรามีผู้เชี่ยวชาญในทุกๆด้านมากขึ้น เราเลย ตัดสินใจ เชื่อคนจาก สิ่งที่เค้าเป็น แต่ไม่ใช่ ตัวตนที่แท้จริง โลกเรามีความแตกต่างระหว่างผู้คนมากขึ้นและความคิดที่แตกต่างกันนี้เอง ทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้นตามไปด้วย 
ภาพ:อินเตอร์เน็ต
แล้วอะไรคือสิ่งที่ ดี ที่สุดในโลก ความคิดเห็น อีกนั่นแหละ โลกเราเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เต็มไปด้วยข้อมูลต่างๆมากมาย ทำให้คนหลายคน คิด นวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ โลกเรามีผู้เชี่ยวชาญในทุกๆด้านมากขึ้น ทำให้เรา ตัดสินใจ ได้สะดวก และ รวดเร็ว ขึ้นมาก โลกเรามีความแตกต่างระหว่างผู้คนมากขึ้นและ ความคิดเห็น ที่คล้ายคลึงกัน ทำให้เกิดพลังที่แสนจะยิ่งใหญ่
ในกิจกรรมแรกที่ให้ผู้รับการแบ่งปันร่วมกันคิดร่วมกันทำ และนำมาแบ่งปันนั้นเป็นกิจกรรมสร้างบ้านในฝันที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี ต่างกลุ่มต่างล้วนแต่สร้างเครื่องอำนวยความสะดวกเพื่อเอื้อให้ชีวิตที่ฝันไว้นั้นเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย แต่มีกลุ่มหนึ่งที่นำเสนอได้อย่างน่าสนใจ คือ เครื่องที่สร้างให้คนในบ้านมีความคิดดีงาม มีจริยธรรม มีสำนึกดีติดตัวตลอด ถ้าเครื่องนี้เป็นจริงได้อยากจะขอนำมาใช้ในสังคมไทยในวันนี้จริงๆ แต่ใช่หรือไม่ เราไม่จำเป็นต้องอาศัยเครื่องที่จะช่วยทำให้เราเป็นคนดี ไม่ต้องใช้เครื่องเพื่อปลุกจิตสำนึก เรามีสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว เพียงแต่ต้องฝึกฝนให้มันเกิดขึ้น และสนองตอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ไม่ปล่อยให้จิตสำนึกดีงามถูกข้ามไปด้วยการแทนที่ของความคิดเห็นในอคติส่วนตัว
เราพูดคุยกันได้ในความต่าง เราอยู่กันได้มาอย่างยาวนานด้วยความต่าง แล้วใยจึงต้องบังคับขู่เข็ญข่มขืนให้คิดเหมือนด้วยกระสุนปืน ระเบิด และความรุนแรงด้วยเล่า ยอมรับความจริงไม่อิงแอบความยึดมั่นถือมั่นกันบ้างเถอะ คนเราทุกคนล้วนแล้วแต่มีดีมีชั่วในตัวทั้งนั้น จะเอาชัยชนะบนซากความตายและซากปรักหักพังของความเป็นมนุษย์เช่นนี้หรือ 

เครือข่ายความดีงาม เครือข่ายแห่งสังคมที่สร้างสรรค์ จึงต้องเร่งรีบสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นมา ความคิดเห็นที่เต็มไปด้วยความรักและความรู้ ย่อมน่าฟังกว่าความคิดเห็นที่ออกมาจากอารมณ์เพื่อระบายความเป็นตัวตนเป็นไหนๆ สังคมในฝันของเราเป็นแบบไหนกัน ลองสร้างมันขึ้นมาให้เป็นจริง ด้วยการใส่ความจริงใจลงไป สังคมที่ไม่เคารพต่อการโกงกิน สังคมที่แยกแยะออกระหว่างความซื่อสัตย์กับพวกพ้อง สังคมที่รักและให้อภัยต่อคนที่สำนึกผิด สังคมที่ไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา และเป็นสังคมที่คนไม่ติดยึดกับอำนาจจอมปลอมนี่เป็นความฝันของเราใช่หรือไม่...