วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

ในวันธรรมดากับความธรรมดา


ในวันธรรมดากับความธรรมดา
ใช่หรือไม่ ชีวิตของคนเราเต็มไปด้วยเรื่อง ธรรมดา วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตื่นมาอาบน้ำอาบท่า แต่งตัว ออกจากบ้านไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ พักเที่ยงกินข้าวกินปลา ในร้านเดิมๆเมนูเดิมๆ ทำงานต่อห้าหกโมงกลับบ้าน ใช้เวลาติดอยู่บนท้องถนนอีกเป็นชั่วโมงก็เป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้วสำหรับคนเมือง ค่ำลงนอนหลับคาทีวีหรือไม่ก็ นอนไม่หลับเพราะติดละคร รายการโปรดรอบดึก ในความธรรมดาที่เราปฏิบัติเป็นกิจวัตรนั้นผ่านไปในแต่ละวันๆ จนกลายเป็นความชินชา
นอกเสียจากว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นมาแทรกบ้างในบางครั้งบางคราว เช่น ตื่นมาแล้วรู้สึกว่าป่วย ต้องหยุดพักนอนรักษาตัว หรือที่ยิ่งไม่ธรรมดาสักหน่อยก็ตอนที่ได้รับข่าวว่า พ่อแม่พี่น้อง ญาติสนิท เจ็บป่วย ยิ่งถ้าเป็นคนที่อยู่ในบ้านเดียวกับเรา เป็นครอบครัวเดียวกัน มาล้มป่วยแบบกะทันหัน แล้วต้องพลัดพราก จากลากันไปแบบไม่มีวันที่จะพบหน้ากันอีก เราก็จะเริ่มคิดถึงวันคืนธรรมดาๆที่ผ่านมา ที่เคยใช้ชีวิตร่วมกัน ที่กล่าวมานี้ กำลังจะบอกว่า บางครั้งเราหลงลืมที่จะชื่นชมกับความธรรมดาไป ความสุขไม่น้อยเลยอยู่ในความธรรมดานั้น

อีกอย่างหนึ่ง เคยไหมหล่ะ ที่ทำสิ่งของบางสิ่งบางอย่างหายไป ทั้งๆที่เราอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้มัน แต่พอหาไม่เจอ เราก็รู้สึกกระวนกระวาย ไม่เป็นอันทำสิ่งใดทั้งสิ้น เอาแต่หาๆ นึกแล้วนึกอีกว่า นำไปเก็บไว้ที่ไหน บางขณะที่รื้อค้นหา กลับไปพบเจอสิ่งที่เคยคิดว่าหายไปนานแล้ว หมดหวังแล้วกลับมาพบเจอโดยบังเอิญ จริงๆแล้วสิ่งของเหล่านั้นมันไม่ได้หายไปไหนเลย มันนิ่งเฉยอยู่ตรงนั้น ตรงที่เราเก็บไว้ แต่สิ่งที่หายไปคือความทรงจำ เลยทำให้เรื่องธรรมดากลายเป็นเรื่องไม่ธรรมดาขึ้นมา 
ความธรรมดา เขา กับความธรรมดา เรา ก็ไม่เหมือนกันอีก คนที่อยู่ในสถานที่หนึ่งย่อมคุ้นชินกับที่ที่นั่น เมื่อเราไปเยี่ยมเยียน อาจจะรู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ธรรมดาเลย รู้สึกตื่นเต้น แต่ถ้าว่าให้อยู่ที่นั่นไปนานๆ อาจจะกลายเป็นความทุกข์และความระทมขึ้นมาได้  สำหรับเราคนในเมืองที่มีความสะดวกรวดเร็ว แต่ก็มีความวุ่นวาย คนที่ คุ้นชิน กับความสะดวกสบายรวดเร็วของเทคโนโลยีการสื่อสาร และการแข่งขัน ความเร่งรีบแต่ไม่อาจจะไปให้เร็วได้ด้วยสภาพการจราจร จนยอมจำนน วันหนึ่งเกิดต้องเปลี่ยนไปอยู่ในถิ่นที่ไกลเมือง ไม่มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงให้ใช้ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีรถยนต์ เราก็อยู่กันได้ไม่นาน เช่นกัน การที่เราต้องไปใช้ชีวิตอยู่ต่างที่ต่างถิ่นดินแดนไกล กว่าเราจะปรับตัวได้ต้องใช้เวลา เรื่องการกินการอยู่ในแต่ละวัฒนธรรมก็แตกต่างกันออกไป แต่ถ้าใครมุ่งมั่นที่จะไปใช้ชีวิตแบบนั้นก็ต้องทำสิ่งนั้นให้เป็นเรื่องธรรมดา นาน ๆ เข้าก็เกิดความเคยชินอีก จึงจะเริ่มพบความสุขได้
ในการเป็นอยู่ของชีวิตเรา เราก็มักจะโหยหาถึงความพิเศษ ถึงความมหัศจรรย์ในชีวิต แล้วก็พยายามแสวงหาให้ได้มันมา โดยหลงลืมคุณค่าอันแท้จริงของการดำรงอยู่ของชีวิต นั่นคือ การมีชีวิตอีกวันหนึ่ง สังคมโลกในวันนี้คิดมุ่งหวังจะได้พบเจอแต่สิ่งที่แปลกใหม่ เสาะหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อสร้างสิ่งเสพ โดยมีความหมายของ ความสุข เป็นข้อแก้ต่าง ที่จริงแล้วหากเรามุ่งแสวงหาเรื่องที่บำรุงจิตใจ ช่วยกันหาแนวทางพัฒนาคุณค่าจิตวิญญาณให้กันและกันโลกก็พบสันติสุข เพราะสันติสุขนั้นมีอยู่ในใจเราทุกคน

เรื่องเล่าจากอินเตอร์เน็ตเรื่องหนึ่ง... 
มีครูคนหนึ่งถามเด็กๆ ในชั้นเรียนว่า  อะไรที่เด็กๆ คิดว่าเป็น สิ่งมหัศจรรย์ในโลก”  คำตอบมีต่างๆนานา  บางคนก็ว่า ปิรามิดของอียิปต์  บ้างก็ว่า กำแพงเมืองจีน  บ้างก็คิดว่าน่าจะเป็น นครวัดนครธมของเขมร และหลายคนก็เห็นว่า ยานอวกาศที่ส่งมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์เป็นสิ่งมหัศจรรย์ ฯลฯ  
แต่มีเด็กคนหนึ่งกลับบอกว่า การที่คนเราได้ยิน  ได้เห็น  ได้กลิ่น  ได้รับรส และมีความรู้สึกนึกคิด  นี่ซิ  คือ สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
โดยพระเจ้าผู้ประเสริฐได้ทรงประทานประสาทสัมผัสทั้งห้า เพื่อให้เราระลึกถึงความมหัศจรรย์ เมื่อเราใช้มันอยู่ทุกวี่ทุกวัน เราก็เกิดความชินชาไม่ได้ให้คุณค่า เรากลับไปให้สิ่งปรุงแต่งภายนอก เราต้องมี ต้องมี ต้องมีและต้องมี อยู่ร่ำไปไม่มีที่สิ้นสุด จะหยุดนึกกันได้อีกที ก็ตอนที่ประสาทสัมผัสทั้งหมดเริ่มเสื่อมสภาพลงแล้ว แล้วทำไมเราไม่กลับมาให้คุณค่ากับสิ่งธรรมดาที่ติดตัวเรามาบ้าง
            ใช้หูเลือกรับฟังสิ่งที่ดี ที่จะนำไปขัดเกลาจิตใจเรา อะไรไม่ดีก็ให้มันผ่านไป เข้าหูซ้ายออกหูขวา เข้าหูขวาก็ทำเป็นหูทวนลมบ้าง อย่าฟังแล้วต้องนำไปคิดเสียทุกเรื่อง มีสองตาที่มองเห็นความงดงาม อย่าไปเที่ยวจ้องมองความผิดพลาดของคนอื่น เห็นเศษฟางในตาเราแล้วชำระตาให้สะอาด เพื่อเราจะได้ชื่นชมแสงสว่างแห่งวันใหม่ด้วยความสดใส มีปากมีลิ้นไว้เพื่อรับรสสิ่งที่เป็นประโยชน์ พูดสิ่งดีงามออกจากปาก หากทำไม่ได้ก็ปิดปากไว้บ้าง อย่าสนุกปากกับเรื่องชาวบ้าน เพราะธรรมดาเรื่องของเราก็หนักพอแล้วที่จะทำให้เราก้าวพ้นผ่านไปสู่ความดี ความงาม ของชีวิต เรามีจมูกเพื่อรับอากาศที่สดใส เพื่อเพิ่มพลังชีวิต อย่าใช้ลมหายใจให้เปลืองไปกับเรื่องราวไร้สาระ
            เพียงแค่เราใช้ประสาทสัมผัสที่มีอยู่อย่างมีคุณค่าในแต่ละวัน ในความธรรมดานั้น ที่เราอาจจะทำหาย หลงลืมไป พยายามเสาะหาให้พบ เมื่อเราพบแล้วเราก็จะเห็นความพิเศษและความมหัศจรรย์เกิดขึ้นได้ในแต่ละวัน  แล้วเราก็ต้องไม่ลืมที่จะขอบคุณพระเจ้าในความธรรมดานั้นด้วย...

ไม่มีความคิดเห็น: