วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ใช้ชีวิตมิใช่โชว์ชีวิต


ใช้ชีวิตมิใช่โชว์ชีวิต
ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำนำสมัยทำให้ผู้คนสามารถที่จะค้นหาความรู้ไว้กับตัวเองได้อย่างง่ายดาย จึงมีผู้รู้มากมายเกิดขึ้นในสังคม แต่ก็แปลก...ทำไมสังคมโลกกลับแย่ลงหรือยังคงเหมือนเดิมย่ำอยู่กับที่  เรามีสิ่งใหม่ๆที่พัฒนามาจากความรู้เดิม เพียงเพื่อให้ได้มาแค่ผลประโยชน์แห่งตนเพียงเท่านั้นหรือ ความรู้ของคนเรามิได้ทำให้เกิดความรักเลยหรือ น่าอดสูใจมิใช่น้อยที่เราเห็นการใช้อาวุธเคมีทำร้ายฝูงชนในประเทศซีเรีย รู้ทั้งรู้ว่ามันคือสิ่งที่เลวร้าย โหดร้าย มนุษย์ก็ยังทำกันได้ ไหนจะทำให้ยอดอ่อนแห่งสงครามผลิดอกออกผล จากการที่ประเทศที่มีอำนาจจ้องจะเข้ามาจัดการ ด้วยอาวุธที่ทันสมัยทั้งเครื่องบิน จรวด  ประดามีขนมาเพียงเพื่อให้เกิดสันติภาพ มันใช่หรือ...เพียงแค่นี้เราก็เห็นว่าความรู้ที่เราพยายามเสาะแสวงหานั้นไม่ใช่เพื่อช่วยให้เราเข้าถึงสันติสุข แต่กลายเป็นเปลือกเพื่ออวดอ้างกันเสียมากกว่า ความรู้ไม่ได้ทำให้มนุษย์เข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่เป็นกับดักที่ทำให้ผู้คนยึดติดท่ามกลางความสับสน การแยกแยะโดยใช้ปัญญาเป็นเพียงหมอกที่บดบังให้ความเข้าใจในพระเจ้าเลือนรางยิ่งขึ้น เรามองเห็นการเข้าครอบครองให้ได้มาคือพระเจ้าองค์ใหม่ และใช้พระเจ้าเพียงเพื่ออวดอ้างสรรพคุณของตนเอง..
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ความรู้ถ้านำมาประยุกต์ใช้ ให้กลายเป็นการรู้จักใช้ชีวิตได้ ก็จะเพิ่มคุณค่าในการดำรงอยู่ เพิ่มคุณภาพในการดำเนินไปในหนทางธรรมได้เป็นอย่างดี แต่ในบางครั้งเราก็แยกแยะไม่ออกอีกว่า จะใช้ชีวิตอย่างไร ไปติดกับการใช้ความรู้เพื่อโชว์ชีวิตเราเสียอย่างนั้น ประจวบกับวันนี้เราอยู่ในยุคโซเชี่ยลมีเดียครองเมือง กลายเป็นเวทีที่จะแสดงอะไรก็ได้ วิพากษ์วิจารณ์ใครก็ได้โดยใช้เพียงชื่อ แต่ไร้ตัวตน หลายคนจึงใช้เป็นเวทีโชว์ความรู้ที่คิดว่าสุดยอดแล้ว คิดว่ารู้อยู่เพียงผู้เดียว แสดงภูมิ แสดงความคิดออกมา โชว์ว่าข้านี้เหนือชั้นขั้นเทพ ข้านี่เก่ง รู้ไปเสียทุกเรื่อง อย่างนี้คือการอวดรู้ อวดดีเกินไป เลยเถิดไปจนคิดว่าความรู้คือความดี ที่ใช้เพิ่มบารมีให้กับตัวเอง
ในอีกด้านหนึ่งยิ่งเราโชว์ชีวิตว่าเก่งมากเท่าใด มันก็มีผลภัยตามมามากเท่านั้น ในโลกนี้ย่อมยังมีผู้ที่เหนือกว่า ทำทีแกล้งชม แกล้งยกยอแล้วก็เอาผลประโยชน์จากการที่เราโชว์เก่งโชว์เก๋า เช่นนี้แล้วเราต้องไม่ลืมว่า ไม่จำเป็นเลยที่เราจะต้องไปนั่งแถวหน้าเสมอไป อาจจะมีคนที่เขาเหมาะสมกว่าเรา เก่ง(จริงๆ) กว่าเราอีก การใช้ชีวิตให้เป็นนั้น คือการรู้จักคุณค่าของตัวเอง จัดวางตัวเองให้ถูกที่ ถูกทาง ถูกจังหวะ สิ่งเหล่านี้เราใช้ความรู้เป็นเพียงพื้นฐาน แต่ต้องใช้หัวใจจึงจะค้นพบ
            มีช่างไม้คนหนึ่งเดินทางไปยังต่างเมือง เมื่อเขาเห็นต้นโอ๊กลำต้นคดงอยืนตระหง่านเหนือศาลเจ้าประจำหมู่บ้านแห่งหนึ่ง กิ่งก้านแผ่สยายกว้างใหญ่พอที่จะเป็นร่มเงาพักอาศัยแก่วัวนับพันตัว ลำต้นใหญ่นับร้อยโอบ มีกิ่งอันใหญ่โตนับสิบที่สามารถนำมาขุดเป็นเรือ ผู้คนจำนวนมากต่างหลั่งไหลมาชมกันเนืองแน่นราวมีงานเทศกาล แต่ช่างไม้กลับไม่ยอมเสียเวลาหยุดมอง ยังคงรุดเดินหน้าไป โดยไม่ชะลอฝีเท้า ลูกน้องของเขากลับหยุดจ้องมองไม้ใหญ่นั้นเนิ่นนาน จากนั้นจึงรีบวิ่งไล่ตามช่างไม้ และถามขึ้นว่า นับตั้งแต่ข้าได้จับขวานและติดตามท่านมา ข้าไม่เคยเห็นไม้ที่สวยงามเท่านี้มาก่อน แต่ท่านกลับไม่เหลียวมอง และเดินผ่านไปโดยไม่หยุดยั้ง เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?”
         “ลืมมันเสียเถอะ อย่ากล่าวสิ่งใดอีกช่างไม้ตอบ มันเป็นต้นไม้ที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี นำมันมาทำเรือ เรือเหล่านั้นก็จะจม นำมันมาทำโลงศพ โลงศพเหล่านั้นก็จะผุพังอย่างรวดเร็ว นำมันมาทำเป็นภาชนะ ก็จะแตกร้าว นำมันมาทำเป็นประตู ก็จะมียางไม้ซึมออกมาอย่างไม้สน นำมันมาทำเป็นเสาเรือน ปลวกก็จะมาแทะกิน มันไม่ใช่ไม้ที่อาจทำเป็นซุง ไม่อาจนำมันมาใช้ประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น เหตุนี้เอง มันจึงมีชีวิตอยู่ยืนยาวถึงเพียงนี้
        เมื่อช่างไม้กลับมาถึงบ้าน ต้นโอ๊กได้มาปรากฏในความฝัน และพูดขึ้นว่า เจ้านำข้าไปเปรียบเทียบกับอะไร?? เจ้านำข้าไปเปรียบกับบรรดาต้นไม้ที่มีประโยชน์เหล่านั้นหรือ? ต้นบ๊วย ต้นสาลี่ ต้นส้ม ต้นมะนาว และเหล่าไม้พุ่มไม้ผลอื่นๆ ทันทีที่ผลของมันสุกงอม มันก็จะถูกเด็ดถูกดึงและลิดรอนกิ่งก้าน กิ่งใหญ่ของมันหักร่วง กิ่งเล็กกิ่งน้อยถูกดึงกระชากไปมา ความมีประโยชน์ได้นำทุกข์มาสู่ชีวิตของมัน ดังนั้น มันจึงไม่สามารถยืนหยัดถึงอายุขัยที่ฟ้าประทานให้ ทว่ากลับถูกตัดรอนเสียกลางคัน มันได้นำภัยสู่ตัวเอง ถูกรุมทึ้งฉีกกระชากจากฝูงชน และทุกสิ่งก็ประสบชะตากรรมเช่นเดียวกันนี้
       “สำหรับข้า ได้เพียรพยายามมาเนิ่นนานที่จะเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ กระทั่งจวนเจียนจะสิ้นชีพ ทว่าก็บรรลุถึงในที่สุด นี่คือประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่สำหรับข้า หากข้ามีประโยชน์ใช้สอยบางอย่าง จะมีโอกาสเติบโตเป็นไม้ใหญ่เช่นนี้ได้หรือ? ยิ่งไปกว่านี้ ทั้งท่านและข้าต่างก็เป็นเพียงสิ่งๆหนึ่ง การที่สิ่งหนึ่งประณามอีกสิ่ง จะมีความหมายใด? ท่าน..มนุษย์ผู้ไร้ค่าที่กำลังจะตาย จะมารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นต้นไม้ที่ไร้คุณค่า( ตัดตอนจากหนังสือจวงจื่อ บทที่สี่ โลกมนุษย์ )
            ใช่หรือไม่ เราแตกต่างกันได้ เราชำนาญและถนัดกันคนละด้าน คนละแบบ และเมื่อเรามาประสานสามัคคีกัน นำข้อดีข้อเด่นของแต่ละคนมาหลอมรวมกัน โดยไม่แย่งกันเด่นแย่งกันดัง ความสมบูรณ์ก็เกิดขึ้น อย่างเช่นการฉลองวัดเซนต์หลุยส์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทุกคนรู้ว่าเราควรอยู่ตรงไหน ควรทำอะไร แล้วประสานใจโดยมีพระเยซูคริสตเจ้าเป็นศูนย์กลาง งานก็ออกมาราบรื่นดังที่เห็น เช่นนี้แล้วจำเป็นหรือที่เราจะโชว์ความเด่นของเราให้สังคมได้เห็น แล้วจะมีประโยชน์อันใดในชีวิตเล่า...

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สิ่งใดดูเหมือนมีค่า

สิ่งใดดูเหมือนมีค่า
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
หากสังเกตดูดีๆบทความที่ คนข้างวัด เขียนในระยะหลังๆ มักจะเป็นเรื่องราวของความพยายามที่จะรู้จักอยู่กับสิ่งที่ตัวเองมี ตัวเองเป็น โดยไม่ตะเกียกตะกายไขว่คว้าหาเพื่อมาสะสม เสริมบารมีให้กับตัวเองมากเกินความจำเป็น ซึ่งหลายครั้งก็เกรงว่าผู้อ่านจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพวกชอบแอนตี้สังคมหรือเปล่า หรือเป็นพวกอนุรักษ์สุดขั้ว พวกไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของโลก หรือคิดว่าเป็นพวกฤษีชีไพรในเมืองหลวง แท้จริงแล้วสิ่งที่นำมาแบ่งปันนั้นไม่ใช่เรื่องของการปฏิเสธเรื่องเงินทอง หรือเรื่องความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่พยายามที่จะแบ่งปันโดยสอดแทรกให้เห็นว่า ถ้าอะไรมันมากไป เกินพอดี มันก่อให้เกิดกิเลสเกิดความโลภ แล้วก็ชักนำความเห็นแก่ตัวออกมา แล้วเมื่อคนเราถึงจุดเต็มล้นของความเห็นแก่ตัวแล้ว อะไรก็ฉุดไม่อยู่ จุดเต็มล้นนั้นก็คือ จุดที่แม้แต่มโนธรรมเตือนตนยังไม่อาจจะเป็นกำแพงด้านสุดท้ายได้นั่นเอง ด้านหนึ่งการพูดถึงเรื่องนี้บ่อยๆ ก็เป็นสิ่งที่ใช้เป็นเครื่องมือที่ตักเตือนตัวเอง ไม่ให้ไหลหลงเข้าไปในกระแสที่เทิดทูนวัตถุนิยมสุดโต่ง เพียงแต่พยายามเรียนรู้ที่จะอยู่ และรู้จักใช้วัตถุภายนอกเพื่อให้ชีวิตไม่ลำบากจนก่อให้เกิดทุกข์ขึ้นในจิตใจ
ในการดำเนินชีวิตจริง หากเราไม่มีสติ ปล่อยให้ความโลภ ความหลง เข้าครอบงำ ต่อให้มาเข้าวัดเข้าวา สวดภาวนาวันละหลายชั่วโมง ฟังมิสซา สักร้อยรอบพันรอบ ธรรมะ หรือข้อคิดดีๆ พระวาจาอันทรงคุณค่าของพระเจ้าก็มิอาจจะล่วงล้ำเข้าไปในจิตใจเราได้ พอเสร็จกิจศรัทธาก็กลับไปอยู่ในวังวนของการเห็นเงินทองเป็นเรื่องสำคัญที่สุดอยู่ดี และพยายามทำทุกวิถีทางให้ได้มา แล้วเมื่อไม่ได้ตามเป้า ไม่ได้ดังหมายก็เครียด ก็ทุกข์ เมื่อทุกข์แล้วก็พาลพระ หาได้พบพระในทุกข์นั้นไม่ แล้วทำไมเราต้องเอาทุกข์นั้นมาใส่ตัวเราด้วย ทั้งๆที่พระองค์ไม่ได้ทรงโยนทุกข์มาให้เราสักหน่อย
ใช่...บางคนอาจจะมองว่าหากเราไม่ขวนขวาย เราก็จะกลายเป็นคนที่เฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น เป็นคนที่ไม่พัฒนาตามศาสตร์ของทุนนิยม ที่นิยามการพัฒนาคือการก้าวหน้าไปเรื่อยๆ แต่สำหรับคนที่อิ่มสุขและสามารถพัฒนาความเจริญทางกายภาพแบบอย่างมีคุณภาพไปได้พร้อมๆกันนั้น นั่นเป็นเพราะเขารู้จักจัดการบริหาร ให้ทุกอย่างหลอมรวมกันอย่างสอดประสาน มีสมดุล รู้จังหวะครรลองของชีวิต ไม่ยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป และพยามยามลดความเห็นแก่ตัวเพื่อเพิ่มให้ผู้อื่น
หญิงชราผู้หนึ่งกำลังเอามือสองข้างบิดกันไปมาราวกับว่าต้องการขัดมันให้ขึ้นเงาเริ่มพูดกับเจค็อบ แต่ก็คอยหันหลังไปมองว่ามีคนกำลังฟังนางพูดอยู่หรือเปล่า
ฟังนะพ่อหนุ่มเจค็อบอมยิ้มเมื่อได้ฟัง ข้าอยากจะถามอะไรท่านสักหน่อย ข้าได้ยินท่านพูดเรื่องความตาย และข้าก็กำลังจะตายในไม่ช้านี้ ข้ามีเงินเยอะ และถ้าท่านฉลาดจริงล่ะก็ ทำไมไม่ลองบอกข้าล่ะว่า ข้าจะเอาเงินไปกับข้าด้วยได้ยังไงความโลภโมโทสันฉายชัดในเสียงอันแหบเครือและฟังดูร้ายกาจของนาง
เจค็อบ ได้แต่มองนางนิ่งอยู่
คราวนี้เสียงของนางยิ่งบาดหูมากขึ้นเพราะทนรอไม่ได้ ว่าไงล่ะ ว่าไง ข้าจะเอาอะไรไปฝั่งนั้นได้บ้าง
ก็ทุกอย่างที่มีค่าไง เจค็อบ ตอบประหนึ่งว่านี่คือสิ่งที่ทุกคนรู้ดีอยู่แล้ว
ความโลภของนางยิ่งฉายชัดขณะที่นางตะโกนถาม เอาไปยังไง..ยังไง
เจค็อบ ตอบเบาๆ เรียบๆ ว่า ในความทรงจำ
ความทรงจำเหรอหญิงชราทวนคำอย่างงงงัน ความทรงจำมันเอาความร่ำรวยไปด้วยไม่ได้นี่
ดวงตาอันแน่วแน่ของ เจค็อบ ตรึงหญิงชราไว้ นั่นก็เป็นเพราะท่านลืมไปหมดแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่มีค่า  (จากหนังสือ เจค็อบคนทำขนมปัง โดย โนอาห์ เบน ชี แปลโดย ฐิติมา สุทธิวรรณ)
เรื่องสั้นๆเรื่องนี้จี้ใจดำได้ดีจริงๆ ถ้าถามว่า เราจำได้ไหมว่าอะไรเป็นสิ่งมีค่ามากที่สุดในชีวิต คำตอบอาจจะมีหลากหลาย ในหลายคนที่ตอบ คำตอบอาจจะบอกว่า สิ่งที่มีค่านั้นอาจจะหาใช่เพื่อตัวเราไม่ เช่น บางคนตอบว่า ลูกๆนั้นเป็นสิ่งมีค่า จริงหรือ ...แล้ววันนี้เราเห็นคุณค่าในตัวลูกๆหรือยัง หรือเห็นเป็นสิ่งที่เราลงทุนไปเพื่อให้พวกเขาไปถอนทุนคืนในภายภาคหน้า ความคิดแบบนี้มีมามากขึ้นในสังคม ที่ถูกปลูกฝังว่าเราต้องกลายเป็นคนเหนือกว่าคนอื่น โดยลืมว่าเหนือกว่าต้องเหนือแบบมีคุณค่า ลึกลงไป คือการลืมที่จะให้ค่ากันและกัน สังคมโลกจึงวุ่นวายไม่ห่างหายไปเสียที ในยุคที่ทุกคนต่างมีความเห็นแก่ตัว ทำอะไรก็ต้องมีผลประโยชน์เคลือบแฝงเช่น เราต้องกลับมามองคุณค่าในตัวเราเองให้เจอก่อน แล้วจึงจะให้ค่ากับผู้คนรอบข้างได้ 

ท่านนักบุญหลุยส์ กษัตริย์ที่เราฉลองในวันนี้ เป็นคนที่เห็นคุณค่าในตัวเอง ใช้ในสิ่งที่ตัวเองมีอย่างล้นเหลือ ออกไปให้ความช่วยเหลือผู้ยากไร้ เป็นกษัตริย์ที่มิได้มุ่งหวังชัยชนะเพื่อเพิ่มอำนาจ แต่ใช้บารมีแผ่เมตตา ต่อผู้ทุกข์ทน มีความดีเป็นกระบี่ต่อสู้กับความยากไร้ของปวงประชา ดาบนั้นมิได้ยื่นออกไปเพื่อห้ำหั่นใครเลย นี่ใช่หรือไม่ สิ่งที่มีค่าที่สุดของชีวิตบนโลกนี้ที่เกิดมาหาใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อความสุขของผู้อื่น แล้วสิ่งที่มีคุณค่าของเราก็จะถูกเก็บอยู่ในความทรงจำของเราเอง ของคนรอบข้างอย่างมิมีวันลืมเลือน เหมือนเรามาระลึกถึงท่านนักบุญหลุยส์ในทุกๆปีเช่นนี้

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สุขใครสุขเรา

สุขใครสุขเรา
เหมือนกับเรื่องราวในหนังเลย แต่นี่...มันเป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นในยุคเทคโนโลยีล้ำสมัย ในยุคเฟื่องฟูด้วยความรู้ และการดำเนินชีวิตที่แสนจะสะดวกสบาย เรื่องนี้เกิดแบบไม่น่าเป็นไปได้ นั่นคือเรื่องราวของ คนป่า ที่ประเทศเวียดนาม
ภาพจาก http://www.manager.co.th
จากข่าวที่ทางการท้องถิ่น ในภาคกลางเวียดนาม ได้นำชาย 2 พ่อลูกออกจากป่าลึกใกล้ชายแดนลาวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สองพ่อลูกเป็นชนชาติส่วนน้อยเผ่ากอร์ (Kor) ปัจจุบันเหลือประชากรอยู่ไม่มาก และเนื่องจากได้หายไปดำรงชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวเป็นเวลากว่า 40 ปี จนแทบไม่มีโอกาสได้พบปะสมาคมกับผู้คนจากโลกภายนอก ทำให้จำคำในภาษาดั้งเดิมของตัวเองได้เพียงน้อยนิด
ย้อนกลับไปเมื่อกว่า 40 ปีก่อน นายโห่วันแทง เคยอาศัยอยู่กับครอบครัวในท้องที่คอมมูนจ่าแกม (Tra Kem) เขาถูกเกณฑ์เป็นทหารเพื่อทำสงครามกับสหรัฐฯ นายแทง มีบุตรกับภรรยา 3 คน และลูกชายคนเล็กเพิ่งคลอดเมื่อเขาต้องออกจากบ้านไปกับกองทัพ
2 ปีต่อมา เมื่อกลับมาถิ่นเกิด ก็ได้พบว่า ไม่มีบ้านที่เคยอยู่เหลืออยู่อีกแล้ว ญาติๆ รวมทั้งภรรยากับลูก 2 คนเสียชีวิตในหลุมหลบภัย จากการทิ้งระเบิดครั้งหนึ่งของเครื่องบินสหรัฐฯ ซึ่งมีคนตายเป็นจำนวนมากในคราวเดียวกัน นายแทง เหลือบุตรชายคนเล็กเพียงคนเดียวที่ญาติๆ เลี้ยงดูให้ จึงนำลูกชายเข้าป่าหายลับไป นี่ไง ใช่หรือไม่ ความโหดร้ายของสงคราม เป็นความโง่เขลาของมวลมนุษย์โดยแท้จริง
นายแทง กับลูก อาศัยอยู่ บนบ้านที่สร้างขึ้นบนคบไม้สูงจากพื้นราว 6 เมตร ซึ่งช่วยให้ปลอดภัยจากสัตว์ป่าดุร้าย หรืออสรพิษ ทั้งสองสวมเสื้อผ้าที่ทำจากเปลือกไม้ทุบตัดเป็นชิ้นๆ ใช้เถาวัลย์ชนิดหนึ่งสอดมัดเข้าด้วยกันให้เป็นรูปทรง ปกปิดร่างกาย และให้ความอบอุ่น มีสิ่งของเครื่องใช้สารพัดเท่าที่จะหาได้ ซึ่งรวมทั้งขวานหิน กับขวานเหล็กที่ด้ามทำจากกิ่งไม้ อาหารที่สองพ่อลูกรับประทานกันเป็นหลัก ได้แก่ ข้าวโพด กับมันสำปะหลัง ทั้งที่ปลูกเองและขึ้นตามธรรมชาติ ออกหาผลไม้ป่าและออกล่าสัตว์ป่าขนาดเล็ก จุดไฟหุงหาอาหารโดยใช้วิธีดั้งเดิมแบบดึกดำบรรพ์
ภาพจาก http://www.manager.co.th
ต่อมาเมื่อมีผู้พบเห็นก็พยายามไปนำตัวออกมาเพื่อให้การรักษา แต่ดูเหมือนว่าการมาของทั้งสองคน มาแบบไม่ใคร่จะเต็มใจนัก โดยเฉพาะ นายแทง ผู้เป็นพ่อ เจ้าหน้าที่ทางการท้องถิ่นได้นำสองพ่อลูกไปยังโรงพยาบาลประจำอำเภอ ให้แพทย์ตรวจสุขภาพร่างกาย ฉีดวัคซีน ขณะที่ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ออกโครงการช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายกับจิตใจ เพื่อนำกลับเข้าไปใช้ชีวิตปกติในสังคมศิวิไลซ์อีกครั้งหนึ่ง ผู้พ่อที่มีวัย 82 ปี ร่างกายอ่อนแอด้วยชราภาพ แต่ก็ยังยืนยันจะกลับไปใช้ชีวิตอาศัยอยู่ใน บ้านบนต้นไม้ในป่าลึกตามเดิม แต่คนเมืองที่บอกว่าศิวิไลซ์ไม่ยอม จึงได้ทำการมัดมือมัดเท้า ไม่ให้หลบหนีอีก
พอได้อ่านเรื่องราวข่าวนี้แล้ว มีคำถามหนึ่งเกิดขึ้นทันที นี่เป็นความประสงค์ดีของเราในยุคสมัยนี้ที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก ช่วยเอื้ออำนวยให้กับการดำเนินชีวิตเราได้อย่างดียิ่ง แล้วสำหรับสองคนพ่อลูกนั้น เราคิดว่าพวกเขาจะมีความสุขไหมที่ต้องออกมาเผชิญชีวิตในโลกใหม่แบบนี้!!! แบบที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน พวกเขาจะปรับตัวได้ไหมและที่สุดเขาจะมีความสุขไหม นั่นเป็นเรื่องในอนาคตที่น่าติดตามค้นหา ใช่แหละส่วนหนึ่งเป็นความปรารถนาดีต่อมนุษย์ด้วยกัน แต่ควรที่จะกระทำการแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป ค่อยๆปรับสภาพพ่อลูกนั้น ทั้งความเป็นอยู่และทางด้านจิตใจ ที่ถูกผลกระทบแห่งความโง่เขลาของมนุษย์มาแล้ว
 
ภาพจาก http://www.manager.co.th
ในอีกด้านหนึ่งก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่า เราเองก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบหยิบยื่นสิ่งที่เราคิดว่าทำแล้วเรามีความสุข ทำแล้วดีนะ ก็บังคับแกมขอร้องให้คนอื่นทำแบบตนเองดูบ้าง ยกตัวอย่างง่ายๆ วันหนึ่งเราอยากให้แม่ที่อยู่ต่างจังหวัดในวันที่ขาดพ่อไป เห็นแม่เหงาๆก็อยากพาแม่มาอยู่กับลูกๆในเมืองหลวงซึ่งมีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจเต็มไปหมด แม่ก็อยู่ไม่ได้ กลับเหงาเฉาลงไปอีก แม่ชินกับชีวิตต่างจังหวัด ในสถานที่กว้างๆไม่ใช่ห้องเล็กๆสี่เหลี่ยม ทำให้เข้าใจมากขึ้นว่าความสุขของคนเรานั้นไม่เหมือนกัน ความสุขของใครก็ของมัน อย่าได้ไปบีบบังคับให้คนอื่นมีความสุขเหมือนเรา
ยังมีอีกหลายๆสิ่งที่คนสังคมศิวิไลซ์ สังคมเมืองในทุนนิยม ที่บอกว่าความสุขที่แท้จริงคือการมีเงินทอง มีตำแหน่ง มีรถหรู มีบ้านใหญ่ แล้วก็ใช้วิธีบังคับหมู่บังคับสาธารณะ ผ่านสื่อ กล่อมผู้คนให้คิดตามด้วยโฆษณาชวนเชื่อ แล้วเราก็เชื่อ เขารวยเขาสุขแต่เราจนลง ทุกข์มากขึ้น เขาก็บอกว่าทำตามสิ่งที่เราบอกแล้วไม่นานความสุขจะมาเยี่ยมเยียน เราไม่ได้แสวงหาความสุขตามแบบของเรา แต่เราถูกล้อมกรอบด้วยความสุขสำเร็จรูป ที่รสชาติมันไม่หอมหวาน แล้วเราก็แกล้งว่าเราสุข ก็ไปบังคับให้คนรอบข้างทำอย่างนี้ อย่างนั้น เพื่อให้สุขแบบครบถ้วนหน้า แต่ในปลายหวังของแต่ละคนนั้น เพียงเพื่อให้ตัวเองสุขเพียงผู้เดียว

แทนที่เราจะบังคับให้ใครๆมีความสุขเหมือนเรา ทำไมเราไม่แบ่งปันความสุขของเราที่มีอยู่แล้วออกไปให้ผู้อื่นเล่า หมั่นเรียนรู้ว่าใครชอบอะไรไม่ชอบอะไร เราต่างก็มีความสุขของใครของมัน เราต้องปรับความสุขของเราแต่ละคนให้เข้ากับผู้อื่นให้ได้ จำไว้ว่าความสุขของแต่ละคนยังไงก็ไม่เหมือนกัน แต่สามารถสุขร่วมกันได้ เพียงเท่านี้เราและเขาก็มีความสุข โดยที่ไม่ต้องทำแบบเดียวกัน 

วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คำสั้นๆคำนั้น


คำสั้นๆคำนั้น
            อยู่ๆก็ได้รับข่าวว่าพี่สาวคนหนึ่งที่เคยไปอาศัยพักพิง กินข้าวกินปลาด้วยในต่างแดนเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา เดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านที่เมืองไทย แต่ลูกชายที่พามาด้วยนั้นเกิดป่วยกะทันหัน อาเจียนเป็นเลือด ต้องพาเข้าโรงพยาบาล โดยพาไปรักษาที่โรงพยาบาลใกล้ๆบ้านแห่งหนึ่ง รักษาอยู่หลายวันอาการก็ไม่ดีขึ้น จึงตัดสินใจพามารักษาที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ พอทราบข่าวจึงรีบเข้ามาดูอาการของหลานชาย (เขาเรียกว่าน้า) และช่วยแนะนำในบางเรื่องให้พี่สาวคนนั้น เพื่อจะได้สะดวกในการรักษาพยาบาลลูกชาย เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง จึงมีเวลานั่งคุย รื้อฟื้นความหลังครั้งที่ต้องไปแวะพักพิงบ้านพี่สาวคนนี้เพื่อคลายเหงาในบางเวลา ไปเล่นกับเด็กๆ 3 คน ซึ่งบัดนี้ กลายเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้ว
           
พี่สาวคนนั้นเล่าให้ฟังว่า เมื่อกลับไปฝรั่งเศสครั้งนี้ ลูกชายสองคนก็จะย้ายออกจากบ้าน ไปเรียนยังอีกเมืองหนึ่ง พี่เขารำพึงว่า “น่าตกใจเน้อ เราเลี้ยงพวกเขาได้เพียง 19 ปี มันเร็วมาก ลูกๆก็กำลังจะจากไปแล้ว ฟังประโยคนี้แล้วมันแน่นอกเลย มันจุกอยู่ที่อก ย้อนให้คิดถึงตัวเอง ที่ต้องเดินทางจากบ้านมาตั้งแต่จบมัธยมศึกษาปีที่ 3 และเติบโตอยู่ในเมืองหลวงจวบจนวันนี้ จะกลับไปหาแม่ก็แค่ตามวาระและโอกาส แม่เลี้ยงเรามาเป็นเวลากี่ปี แล้วเราใช้เวลาทั้งชีวิตสักกี่วันอยู่กับแม่ มีคนเคยเขียนไว้ว่า..
เวลาไม่มีเงินคนแรกที่คิดถึง คือ แม่ แต่พอมีเงิน คนแรกที่คิดถึง คือ แฟนและเพื่อน 
อยากได้รถ  คนแรกที่คิดถึง คือ พ่อและแม่ แต่พอมีรถ คนแรกที่จะไปรับ คือแฟนและเพื่อน 
ร้านอาหารหรูๆ บรรยากาศเลิศๆ  มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน  อาหารบนโต๊ะที่บ้าน  มีไว้สำหรับพ่อและแม่  โรงหนัง ห้างสรรพสินค้า  มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน  ทีวี และหนังสือพิมพ์ มีไว้สำหรับพ่อและแม่
พ่อและแม่ คิดถึงค่าใช้จ่ายก่อนนอน เพื่อความอยู่รอด  ลูกนอนคุยโทรศัพท์ เล่นเนตก่อนนอน เพื่อให้หลับฝันดี 
เวลาเรามีความสุข มักจะมองหาแฟนและเพื่อน เวลาเรามีความทุกข์ คนที่กังวล หดหู่และเศร้าสลดใจ คือ พ่อและแม่ 
เวลาประสบความสำเร็จ เรามักมองหาแฟนและเพื่อน เพื่อนัดเลี้ยงฉลองและสังสรรค์ แต่คนที่ดีใจที่สุด คือ พ่อและแม่  แต่พ่อและแม่ กลับกลายเป็นคนที่เรามองข้ามไป บางคนซ้ำร้ายไม่กล้าพาพ่อแม่มางานรับปริญญา
ลูกไปรื่นเริงตามโรงหนัง เธค ผับ โต๊ะสนุ๊ก ฯลฯ พ่อและแม่กลับนั่งทำงานหลังขดหลังแข็ง เพื่อแลกกับความสุขของลูก เพื่ออนาคตและอยากให้ลูกเรียนสูง ๆ 
เวลาแต่งงาน คนที่เป็นธุระหาสินสอดทองหมั้น คือ พ่อและแม่  คนที่มีความสุขคือ ลูก 
พ่อและแม่ตำหนิ ตักเตือน บางครั้ง เต็มไปด้วยอารมณ์ห่วงใย เพื่อให้ลูกได้ดี 
แต่...ลูกกลับคิดว่าสิ่งที่ พ่อและแม่พูด เป็นแค่เรื่องไร้สาระ
พ่อและแม่ คือ ผู้ฝ่าฟันปัญหาเป็นร้อยพันประการเพื่อลูก แต่พอลูกมีปัญหา มักคิดได้แค่ ท้อถอย หดหู่หรืออยากตาย!!!! 
พ่อและแม่คือผู้ที่ปกป้อง และยืนเคียงข้างลูกจวบจนชีวิตจะหาไม่ 
ลูกกำลังคิดถึงสิ่งใด ... ??? 

            แม่ คำสั้นๆแต่ยิ่งใหญ่มาก ถึงแม้ว่าลูกๆจะอยู่กับแม่เพียงแค่ 20 ปีต้นๆ แต่ทุกวินาทีของแม่นั้นมีเพื่อลูกๆ ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างถูกลดคุณค่าลงไป แต่คุณค่าของแม่แล้วมันอยู่เหนือกาลเวลา เหนือการเปลี่ยนแปลง ลูกๆอาจจะยังไม่เห็นคุณค่าของแม่ และบ่อยครั้งอาจจะออกอาการรำคาญ แต่...จงจำไว้ว่าสิ่งที่ แม่ ทุกคนจะเป็นสุขได้นั้น คือ วันที่ลูกเป็นคนดี มีค่าต่อสังคม
            ดูเหมือนว่าสังคมสมัยใหม่ยกย่อง วันแม่ เป็นเพียงเทศกาลๆหนึ่ง ที่โหมโฆษณาชวนเชื่อให้บอกรักแม่กันในช่วงเดือนนี้เท่านั้น แท้จริงแล้วนี่เป็นเพียงเชิงสัญลักษณ์เท่านั้นในการแสดงออกซึ่งความรักที่เรามีต่อแม่ ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมีเทศกาลแบบนี้ หากว่าในหัวใจของเรามีคำว่า แม่ อยู่ในหนทางชีวิต แล้วนำสิ่งที่เราเคยใช้ชีวิตอยู่กับท่านทั้งวันทั้งคืนนั้นมาเป็นประทีปส่องนำทาง ให้เราก้าวหน้าไปในชีวิตโดยมีคำสอนสมัยเยาว์วัยมาใช้ในวัยวันนี้ และจงจำไว้ว่า เรามี แม่ เราจึงมีวันนี้
ใช่หรือไม่ แม่เคยบอกว่าไม่มีใครสอนลูกได้ดีไปกว่าแม่  เพราะแม่สอนด้วยความรัก  ตีก็เพราะรัก
แม่บอกว่า คนเป็นลูกที่ดี  ต้องกตัญญูต่อพ่อแม่และดูแลเมื่อยามท่านแก่เฒ่า เพราะสิ่งที่ลูกทำให้พ่อแม่ในวันนี้จะส่งผลให้ลูก เมื่อวันที่ลูกกลายเป็นแม่คน มีลูกของตัวเอง
แม่บอกว่า คนเป็นลูกที่ดี  ต้องรู้จักหน้าที่ของตัวเอง  หน้าที่พื้นฐานที่ควรทำก็คือหน้าที่ที่ลูกพึงมีต่อพ่อแม่   หากหน้าที่พื้นฐานนี้ทำไม่ได้  จะมีประโยชน์อะไรกับชีวิตที่ไม่รู้จักรับผิดชอบอะไรได้เลย   ฝากไว้เป็นบทสอนจากคำสั้นๆคำนั้น ที่ไม่มีวันจบสิ้นเรื่องราว

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เปลือกไข่ในวันพรุ่งนี้

เปลือกไข่ในวันพรุ่งนี้
เป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่ดูเหมือนมีอะไรให้ต้องทำมากมาย จนกระทั่งแทบจะไม่มีเวลาคิดเรื่องมานั่งเขียนบทความ ดูแล้วเช้าวันจันทร์คงพอมีเวลาบ้างที่จะนั่งขีดเขียน และก็ต้องขอบคุณเครื่องสมัยใหม่ที่พกติดตัวไปไหนมาไหนได้สะดวก หยิบออกมาโน้ต มาพิมพ์สิ่งที่คิดได้อย่างรวดเร็ว เครื่องมือพร้อม แต่ความคิดสมองนี่สิ ยังไม่พร้อมจะหยิบเรื่องราวอันใดมาขีดเขียนดี ใต้ร่มไม้ใหญ่กับหนังสือเล่มหนึ่งที่อ่านค้างคาอยู่ ถูกนำมาวางไว้เพื่อปลุกสมองให้ตื่นขึ้น ให้นำความคิด เป็นพลังสร้างสรรค์
ในขณะนั้นเอง เสียงเพลงจากรถคันหนึ่งที่เปิดดังสนั่นวิ่งผ่านไป ด้วยความเร็วจึงได้ยินเพียงหนึ่งประโยคว่า คนเราจะมีพรุ่งนี้ได้อีกกี่วัน ... แล้วเสียงก็หลุดหายไปตามแรงเร็วของรถคันนั้น (ก็เร็วซะจนกลัวว่าคนขับจะมีพรุ่งนี้หรือเปล่า...) ด้วยความที่อยากรู้ว่าเป็นเพลงของใคร เนื้อเพลงเต็มว่าอย่างไร ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย คือเครื่องมือเสาะหาที่มีประสิทธิภาพเพียงปลายนิ้วสัมผัส แล้วเนื้อเพลงนั้นก็ปรากฏให้เห็นชื่อเพลงว่า ชีวิตเป็นของเรา ของวง บอดี้สแลม น้องๆวัยรุ่นคงรู้จักเป็นอย่างดี
เนื้อเพลงยาวพอสมควร แต่เอาท่อนที่รู้สึกว่า ฟังแล้วทำให้เราหยุดคิด
คนเราจะมีพรุ่งนี้ได้อีกกี่วัน  เวลามีเหลือกันเท่าไหร่ 
คนเราจะมีลมหายใจอีกกี่ครั้ง ใครจะรู้
คนเรายังมีสมองที่แตกต่างกัน ยังมีความฝันได้มากมาย  
คนเราจะมีชีวิตเริ่มใหม่ได้ใช้ คงน่าเสียดาย…”
แค่เพียงประโยคสั้นๆ มันทำให้เราต้องหยุดคิดทบทวนชีวิตของเราทันทีเลย เราจะมีพรุ่งนี้ได้อีกกี่วัน ใครตอบได้บ้าง ใครจะรู้ สู้เตรียมตัวไว้ให้พร้อมจะดีกว่าไหม เตรียมอย่างไร?
ประจวบเหมาะกับหนังสือ เพราะเป็นวัยรุ่น จึงเจ็บปวด (เขียนโดย คิมรันโด (ชาวเกาหลี) แปลเป็นไทย โดย วิทิยา จันทร์พันธ์) ในบทที่อ่านอยู่ก็ได้พูดเตือนถึงชีวิตวัยรุ่นไว้ว่า
จงจำไว้ว่า หากลูกเจี๊ยบกะเทาะเปลือกไข่ของตัวเองจนแตกมันจะมีชีวิตรอด แต่ถ้ามันถูกคนอื่นทำให้เปลือกไข่แตกก่อน มันจะกลายเป็นอาหารอันโอชะของเขาคนนั้น จงให้พรุ่งนี้นำพาชีวิต
ใช่หรือไม่ ในยุคสมัยนี้ชีวิตเราก็เป็นเปลือกไข่ที่รอให้คนอื่นมากะเทาะออก เราไม่ค่อยใช้ชีวิตสร้างสรรค์ไปกับวันเวลาอย่างเต็มที่ ไม่ค่อยทำวันนี้ให้เต็มที่ เต็มที่ในที่นี่ หมายถึงเต็มที่ในความดี มิใช่เต็มที่ในความหมายว่าทำอะไรก็ได้ พระเจ้าให้ชีวิตเรามีอิสระเลือก ไม่ต้องรอ ต้องกล้าก้าวออกมา สู่ความจริงสู่แสงสว่าง เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะมีพรุ่งนี้ได้อีกกี่วัน
องค์สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ได้ให้แนวทางที่ชัดเจนกับเยาวชนในงานชุมนุมเยาวชนโลกครั้งที่ 28 ที่บราซิล เพื่อให้เราก้าวไปกับวันพรุ่งนี้ได้อย่างมีคุณค่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาท่ามกลางผู้ร่วมงานชุมนุมกว่า 3 ล้านคน
โดยมีหัวข้อหลักจากพระวาจาที่ว่า จงไปสั่งสอนนานาชาติมาเป็นศิษย์ติดตามเรา พระองค์จึงได้มอบแนวทางการดำเนินชีวิตไว้อย่างน่าสนใจ
วันนี้ อาศัยแสงสว่างแห่งพระวาจาของพระเจ้าที่เราได้ฟัง พระเจ้ากำลังตรัสสิ่งใดกับเรา พ่อจึงขอสรุป 3 สิ่งที่ว่า ดังต่อไปนี้ 1) จงออกไป (Go), 2) จงอย่ากลัว (Be not afraid) และ 3) จงรับใช้ (Serve)
เรื่องแรก จงออกไป (Go) ... เราต้องไม่เก็บประสบการณ์นี้ไว้กับตัวเราคนเดียว ต้องไม่เก็บไว้กับเขตวัด หรือสังคมที่เราอยู่ ความเชื่อคือเปลวไฟที่จะร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ความเชื่อได้รับการแบ่งปันและส่งมอบต่อไปไม่มีสิ้นสุด
เรื่องที่สอง จงอย่ากลัว (Be Not Afraid) บรรดาเยาวชนที่รัก เมื่อเราพบกับความท้าทายและความยากลำบาก มันจะทำให้เราแกร่งขึ้น เราได้ค้นพบทรัพยากรที่เราไม่เคยรู้ว่าเรามีในตัว พระเยซูไม่เคยเรียกบรรดาศิษย์ให้ดำเนินชีวิตเพียงลำพัง แต่พระองค์ทรงเรียกเขาให้ตั้งกลุ่มตั้งสังคมขึ้นมา
สุดท้าย จงรับใช้ (Serve) ... ชีวิตของพระเยซูมีเพื่อผู้อื่น นี่คือชีวิตของการรับใช้ การประกาศพระวรสารหมายถึงการเป็นประจักษ์พยานถึงความรักของพระเจ้า มันคือการเอาชนะความเห็นแก่ตัว มันคือการรับใช้ด้วยการก้มหัวลงและล้างเท้าเพื่อนพี่น้อง (ส่วนหนึ่งของบทเทศน์ จาก Fan page Pope Report)

จากสามสื่อที่ได้อ่านได้ยิน จึงได้นำมาร้อยเรียงเพื่อนำมาแบ่งปัน เราจะมีพรุ่งนี้ได้อีกกี่วัน แล้ววันนี้เราได้ออกจากเปลือกไข่ที่หุ้มห่อเราแล้วหรือยัง เราจะออกมาแบบไหน แบบที่ชีวิตเต็มล้นไปด้วยพลัง หรือเพียงหวังให้มีคนมากะเทาะเปลือกให้ เป็นสิ่งที่เราควรนำมาทบทวน ในวันเวลาที่ผ่านพ้นล่วงเลยไปทุกๆวินาที เป็นสิ่งที่เด็กๆรุ่นใหม่ หรือเราผู้อยู่ในยุคสมัยใหม่ ที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง จนทำให้เราหลงลืมวิธีการเตรียมตัว วิธีมีชีวิตที่ดีมีคุณภาพ เรามักฝากชีวิตไว้กับสิ่งที่เคลือบเพียงภายนอกเพียงอย่างเดียว สร้างเปลือกให้สวยงาม โดยไม่เคยกะเทาะออกมาเพื่อให้มีชีวิตใหม่ สร้างเปลือกเพื่อให้คนอื่นเห็นความหรูหรา ความร่ำรวย ความนำสมัยเท่านั้นหรือ และเพื่อว่าเราจะอยู่กับวันเวลาได้อย่างคุ้มค่าและมีคุณค่าได้นั้น เราควรแสวงหาความงดงาม ความดี มิใช่บารมีฐานะทางสังคม เพราะหากเราไม่มีพรุ่งนี้ เงินทองก็ไม่สามารถนำเราสู่ทางสุขนิรันดร์ได้...