วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ไม่ช่วยไม่ว่า แต่นี่....


ไม่ช่วยไม่ว่า แต่นี่....
ช่วงที่ผ่านมามีข่าวเกี่ยวกับเครื่องบินเป็นที่โด่งดังอยู่หลายๆข่าว ทั้งข่าวเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว และข่าวเครื่องบินโบอิ้ง 777ตกแบบกระแทกพื้นที่ซานฟรานซิสโก ข่าวแรกคงเป็นเรื่องที่พูดถึงกันในทุกวงสนทนา และเริ่มบานปลายขยายผลออกไปเรื่อยๆ ความจริงเริ่มปรากฎให้เห็นออกมา พูดแบบรวบรัดตัดความ เป็นเรื่องของคนผู้หลงอยู่ในวัตถุล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นคนต้นเรื่องหรือแม้กระทั่งผู้หลงเชื่อคำสอนที่ไร้แก่น คลั่งการทำบุญด้วยทรัพย์เพื่อซื้อใบเบิกทางสู่สวรรค์ ทำได้เช่นนั้นหรือ คิดแบบคนบนดิน ผู้ไม่หยั่งรู้แม้เพียงเศษเสี้ยวของสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงส่งที่อยู่เบื้องบนเราหลงอยู่กับวัตถุนิยมจนใช้ปนกับเรื่องของจิตใจ จนจิตใจของเราเต็มไปด้วยเรื่องของวัตถุ
แม้แต่ข่าวเครื่องบินตกอีกข่าวหนึ่งก็มีแง่มุมที่ต้องมาวิเคราะห์จิตใจ ใช่หรือไม่ เรากำลังลุ่มหลงอยู่กับวัตถุสิ่งของเกินไป ในเหตุการณ์เครื่องบินตกกระแทกพื้นครั้งนี้นั้น มีพฤติกรรมใหม่ของสากลชนชาวโลกเกิดขึ้น เป็นพฤติกรรมที่ชี้ให้เห็นว่าชาวโลกตกเป็นทาสของวัตถุถึงขั้นยอมพลีชีพเพื่อยึดโยงมันไว้ ลองอ่านรายละเอียดจากข่าวนี้

9 ก.ค. 56  เว็บไซต์ ฟอร์บส์ รายงานว่า ในช่วงวินาทีแห่งความเป็นและความตาย ของการเอาชีวิตรอดจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก ผู้โดยสารของเครื่องบิน โบอิ้ง 777 ของสายการบินเอเชียนา แอร์ไลนส์เที่ยวบิน 241 ที่ตกบนรันเวย์ของสนามบินนานาชาติซาน ฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐ กลับหอบหิ้วกระเป๋าพะรุงพะรัง รวมทั้งกระเป๋าแบบลาก ที่ปกติจะอยู่ในชั้นเก็บเหนือศีรษะ
ผู้รอดชีวิตอย่างน้อย 1 คน ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทมส์ ว่า เขาฉวยกระเป๋าก่อนจะคว้าตัวลูก ซึ่งนับว่าโชคดีอย่างมากที่ไฟลามช้า…..
ฟอร์บส ระบุว่า จากการตรวจสอบอุบัติเหตุที่เกิดกับเครื่องบินโดยสารหลายครั้งที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรก ที่พบว่า ผู้โดยสารพากันหอบหิ้วของติดตัวตอนหนีตาย และทางสำนักงานบริหารความปลอดภัยด้านการขนส่งของสหรัฐ หรือ NTSB ก็จำเป็นต้องหาข้อสรุปให้ได้ว่า พฤติกรรมของผู้โดยสารเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อผู้บาดเจ็บด้วยหรือไม่ อย่างน้อยก็ต้องมีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าผู้โดยสารเหล่านี้ ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการอพยพฉุกเฉินจากเครื่องบิน แต่สายการบินเอเชียนา และสำนักงานบริหารการบินแห่งสหพันธ์ หรือ FAA กำลังสงสัยว่า อาจมีผู้รอดชีวิตที่ตกอยู่ในอันตราย โดยผู้โดยสารที่มัวแต่เสียเวลารวบรวมกระเป๋า และจำเป็นต้องแก้ปัญหานี้ ก่อนที่จะมีคนที่อุตส่าห์รอดจากอุบัติเหตุ ต้องมาตายโดยไม่จำเป็น (จากหนังสือพิมพ์ คมชัดลึก)
ย้ำนี่เป็นครั้งแรกที่เราเห็นคนหวงห่วงกระเป๋ามากกว่าชีวิตตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงการที่จะช่วยเหลือคนอื่น ไม่ช่วยเหลือกันไม่ว่า แต่นี่ต่างคนต่างไขว่คว้าหาแต่ของๆตัวเองในแง่หนึ่งนั้นทุกคนในยุคของเราอาจจะถูกปลุกฝังค่านิยม เห็นวัตถุภายนอกเป็นปัจจัยที่จะทำให้ชีวิตรอด ทุกคนคิดว่า ถ้ารอดไปมีเสื้อผ้า มีเงินทอง มีโทรศัพท์ใช้ ก็จะสามารถทำให้สะดวกในการมีชีวิต จะได้ไม่เสียเวลาที่จะต้องมารอคอยความช่วยเหลือจากผู้อื่น หรือจะมามัวเสียเวลารอคอยค่าประกันจากบริษัททำไม อะไรหยิบได้ก็หยิบติดมือไปก่อน สมองเราถูกกรอบให้คิดอยู่เพียงเท่านี้ ไม่ได้คิดไกลออกไปกว่าตัวเอง ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น เราก็อาจจะทำเช่นนั้นก็ได้ เพราะวันนี้สิ่งที่ทำให้เราเห็นว่าชีวิตเรามีความสุขสบายคือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆซึ่งมันเป็นปัจจัยที่มิอาจจะห่างหายจากวิถีชีวิตเราได้เลย
คนเรายุคนี้ตกเป็นทาสของวัตถุจนถึงขั้นที่ไม่สามารถจะหาใครมาเลิกทาสได้เสียแล้ว นี่ขนาดคนในเครื่องนั้นเป็นส่วนเล็กน้อยของประชากรโลก แล้วถ้านับรวมประชากรทั้งหมด ความเห็นแก่ตัวคงจะล้นโลก เอาไปฝากทั้งดวงจันทร์ ดาวอังคารก็คงยังไม่พอใส่ เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วเราคงไม่เพิ่มความเห็นแก่ตัวแบบสาธารณะนี้ให้มากขึ้นไปด้วยการไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น เราต้องกลับมามองตัวเรา มาพินิจพิเคราะห์ดูซิว่า หากเป็นเราในเครื่องนั้นเราจะทำเช่นไร เราเห็นคนเดือดร้อนอยู่กับเรา เราจะทำเยี่ยงไร โลกนี้โหยหาชาวสะมาเรียผู้ใจดีเสมอ แล้วเราพร้อมไหมที่จะเป็นเช่นนั้น
ยิ่งเราสะสมสมบัติมากเท่าไร ก็ไม่สามารถซื้อ ยื้อ ความเจ็บปวดและความตายได้ ซ้ำร้ายวัตถุที่เราสะสมอาจจะเป็นสิ่งที่นำความทุกข์และความตายมาให้เราก็ได้ วันนี้สังคมรอบข้างเราขาดแคลนน้ำจิตน้ำใจเราหวังเพียงให้ได้มาซึ่งความฉาบฉวยภายนอก ทั้งยศถาบรรดาศักดิ์ ชื่อเสียง เงินทอง ความนิยม เสียงปรบมือ การยกย่องแบบชั่วครั้งชั่วคราว เราทำความดีแบบหลอกๆเพียงเพื่อสร้างเปลือกให้สวยงามกันเพียงเท่านั้น ความดีที่ทำนั้นต้องเข้าไปขัดเกลาจิตใจของผู้กระทำก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าการกระทำนั้นไม่ได้ช่วยขัดเกลาจิตใจสิ่งนั้นย่อมไม่ใช่สิ่งดี 
โลกที่หลงวัดค่าคนด้วยเครื่องอำนวยความสะดวก ที่สุดแล้วก็มักจะจบด้วยการพิฆาตด้วยเครื่องมือเหล่านั้น เป็นอาวุธที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง เช่นเดียวกันการทำความดี การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน สิ่งเหล่านี้ก็มักย้อนกลับมาสู่จิตใจคนผู้นั้นได้เสมอ แล้วรู้ทั้งรู้เราก็ยังยอมให้อาวุธแห่งวัตถุและเปลือกที่กระด้างย้อนกลับมาทิ่มแทงและทำร้ายเรา นับวันความเห็นแก่ตัวจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หากเราไม่ช่วยกันยับยั้งชั่งใจ เราก็จะไม่มีเวลาเหลือพอสำหรับเรื่องอื่นๆในชีวิต แม้แต่ชีวิตของเราเอง เราก็ไม่รักกันเลย เพราะมัวแต่หลงอยู่กับวัตถุ มิใยต้องคิดหรือว่าคนเช่นนี้จะมีจิตใจมีเวลาที่จะช่วยเหลือคนอื่น เรากำลังจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า ...ชาวสะมาเรียในใจเรายังหลงเหลืออยู่บ้างไหม..

ไม่มีความคิดเห็น: