โลกสวยด้วยใจเรา
ทุกครั้งที่มาวิ่งออกกำลังกาย ไม่ว่าจะตอนเช้าหรือตอนเย็นๆ
ที่สมาคมแต้จิ๋ว สาทร มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้มีความสุข เกิดรอยยิ้มแย้มได้ในทุกๆคราวไป
นั่นก็คือ เสียงเพลงคาราโอเกะที่มีตู้ตั้งอยู่ตามมุมต่างๆในสวน (สุสาน)
ตามเส้นทางของลู่วิ่ง คิดดูดิ ขณะที่วิ่งไปก็มีเพลงให้ฟังไปได้ตลอดช่างแสนจะเพลิดเพลินเจริญใจจริงๆ
แม้ว่าเสียงของบางคนอาจจะไม่ตรงคีย์ ตรงจังหวะนัก แต่มันมีความน่ารัก น่าเอ็นดู ของผู้ที่มีเสียงเพลงในหัวใจ
บางคนแต่งชุดมาเพื่อออกกำลังกายแท้ๆ แต่ใจมันเรียกร้องก็ไปเปิดตู้ หยิบไมค์ ยืนขับกล่อมในชุดนั้นเลย
และไม่มีใครในนั้นไปขัดขวาง ไม่มีใครไปต่อว่า หรือดูแคลน กล่าวว่า “รำคาญจะร้องทำไมร้องก็ไม่เพราะ
เสียงไม่เข้ากับดนตรี” แต่ทุกคนที่วิ่งผ่านต่างยิ้มแย้มส่งกำลังใจในความมุ่งมั่นให้กับคุณลุงคุณป้า
คุณน้า คุณอา เหล่านั้น เป็นความงดงามยามออกกำลังกาย
ใจเลยสดชื่นเบิกบานเสมอเมื่ออยู่ในสถานที่เช่นนั้น
ใช่หรือไม่ ความงดงามมันเกิดขึ้นเพราะจิตใจที่ไร้กังวล
ร่างกายได้ผ่อนคลาย ในบางครั้งเรามักเคร่งครัดกับกฎเกณฑ์จึงไปลดทอนความงดงามให้หดหายไป
ทำให้เราตาบอดมองไม่เห็นสิ่งรอบๆข้าง ตาบอดเพราะอคติที่ติดยึด
ตาบอดเพราะใจที่มืดมิด แต่เที่ยวแสวงหาความสว่างข้างหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แท้จริงแล้วความสวยงามมีให้เห็นอยู่ในทุกเวลา
เราเคยเห็นมันหรือเปล่า ปัญหามันอยู่ตรงนี้ ถ้าเราลองพลิกความคิด ลดอคติ
อย่าหวังให้ใครมาเป็นแบบที่เราคิด เรียนรู้และเคารพอย่างที่คนอื่นเป็น
แยกแยะกาลเทศะให้เป็น กฎระเบียบมิใช่มีไว้เพื่อเบียดเบียน หรือยัดเยียดให้คนอื่นต้องถือตามเสมอไป
ความสวยงามคือพระพรที่อยู่คู่โลก คู่ชีวิตเสมอ และโลกจะงดงามได้ก็ต้องอยู่ที่จิตใจเรา
แล้วทำไมเราไม่สร้างโลกสวยด้วยใจของเรากันบ้างหล่ะ
พระเจ้าสร้างโลก และสร้างเราให้ดูแลโลก เป็นเราที่ล้วนแต่สร้างโลกด้วยเปลือกที่หุ้มห่อ
ความหลงใหลในวัตถุแทนค่า คุณค่าที่แท้จริงเลยจางหาย วิถีการดำเนินชีวิตถูกแทนค่าด้วยมาตรวัดทางปัจจัยภายนอก
ใครมีมากกว่าคือ ผู้สำเร็จ ธรรมะไม่ได้ถูกเพาะหว่าน สานฝันด้วยการไล่ล่าไขว่คว้าให้ได้มา
มิได้แสวงหาตามครรลอง จัดให้วัตถุเครื่องอำนวยความสะดวกมาก่อน
เคร่งครัดกับการจัดการเรื่องภายนอก ค่านิยมมาก่อนคุณค่าทางจิตใจ ภายในใจปล่อยปละละเลย
ซ้ำร้ายมองเห็นคนที่ใฝ่ทางธรรมคือพวกหลุดโลก หลงยุค ใช่หรือไม่ เราบอกว่า
เราก็ไม่ได้ทิ้งวัดวา มาร่วมมิสซาทุกอาทิตย์ แต่ออกจากวัดก็ไม่รู้เสียแล้วว่า วันนี้บทอ่านและพระวรสารพูดถึงเรื่องอันใด
เพราะมัวแต่ใจล่องลอย มัวแต่กดแชท มัวแต่ส่งเฟส อัพสถานะว่ามาเข้าวัด
กดเช็คอินที่วัด ความสวยงามของพิธีกรรมก็เลยเป็นเพียงกิจกรรมภาคบังคับเท่านั้นเอง
เช่นนี้แล้ว เราจะเห็นความสวยงามของวันเวลา
เห็นความสวยงามตามธรรมชาติ เห็นความน่ารักของผู้คนได้อย่างไร เราต้องเปลี่ยนมุมมอง
ปรับทัศนคติต่อชีวิต อย่าปล่อยให้ทุกข์มาชี้นำชีวิต ความทุกข์นั้นมีด้วยกันทุกคน
ต่างคนต่างมีต่างคนก็แตกต่างกันไป คนแบกทุกข์คือคนแบกโลก คนแบ่งแยกทุกข์ออกก็จะเป็นคนที่รู้จักแบ่งปันให้กับผู้อื่นได้
วันหนึ่งมีเด็กตาบอดคนหนึ่งมานั่งอยู่ที่ขั้นบันไดของตึก โดยมีหมวกใบหนึ่งวางหงายไว้ข้างๆ มีป้ายเขียนไว้ข้างตัวว่า
“ผมตาบอด กรุณาช่วยด้วยครับ”
มีเหรียญเพียงสองสามเหรียญในหมวกใบนั้น ต่อมามีชายคนหนึ่งเดินผ่านมาพบเข้า
เขาหยิบเงินสองสามเหรียญจากกระเป๋าแล้วหย่อนลงในหมวก แล้วเขาก็หยิบป้ายข้างเด็กตาบอดคนนั้นมาเขียนข้อความที่ด้านหลัง
แล้วก็วางลงที่เดิม เพื่อให้คนเดินผ่านได้เห็นข้อความใหม่บนป้ายนั้น
ในไม่ช้า...หมวกก็เต็มไปด้วยเหรียญ
ผู้คนมากมายให้เงินแก่เด็กตาบอด บ่ายวันนั้น ชายที่เขียนป้ายให้ใหม่กลับมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เด็กชายจำเสียงฝีเท้าของเขาได้ก็ถามขึ้นว่า
“คุณใช่คนที่เขียนป้ายให้ผมใหม่เมื่อเช้าใช่ไหมครับ”
“คุณเขียนว่าอะไรครับ”
ชายคนนั้นพูดว่า “ผมแค่เขียนความจริง ผมเขียนสิ่งที่เธอพูดแต่เขียนด้วยคำพูดที่แตกต่าง” ผมเขียนว่า “วันนี้ช่างเป็นวันที่สวยงาม
แต่ผมไม่สามารถชื่นชมมันได้”
ทั้งสองข้อความนั้นเป็นการบอกกล่าวผู้คนว่า
“เด็กชายนั้นตาบอด”ใช่หรือไม่??? ทว่าข้อความแรกเพียงบอกธรรมดาว่าเด็กชายตาบอด
ในขณะที่ข้อความหลังบอกผู้คนว่าพวกเขาช่างโชคดีเหลือเกินที่ตาไม่บอด ข้อความหลังย่อมให้ผลดีกว่า
เราจะเป็นเด็กชายตาบอดหรือเป็นชายคนนั้น
จงขอบคุณพระเจ้าในทุกวันเวลา
ทุกสถานที่ ในทุกสิ่งที่เรามี แล้วลองเปลี่ยนการมองชีวิตโดยเน้นเรื่องของจิตใจ
เรื่องของคุณงามความดี ให้มีมากกว่าเรื่องของวัตถุ หรือถ้าเรายิ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตมากขึ้นเท่าใด
เราก็ต้องดำเนินชีวิตให้มีคุณค่า ให้มีคุณธรรมมากขึ้นเท่านั้น
เราก็จะสามารถชื่นชมความสวยงามของโลกนี้ไปพร้อมๆกัน มาร่วมกันสร้าง
ร่วมกันแบ่งปันให้โลกให้สังคมน่าอยู่ เริ่มต้นด้วยการทำสิ่งเล็กๆน้อยๆให้กัน
ส่งยิ้มทักทายกัน พูดคุยให้กำลังใจกัน
ดีกว่าเสียเวลาจับกลุ่มนั่งนินทาหรือเอาเรื่องคนอื่นมาพูดถึงเป็นไหนๆชีวิตมีสิ่งสร้างสรรค์มากกว่า
มาปฏิรูป ปฏิวัติจิตใจของเรา มองโลกเห็นชีวิตในด้านบวก มีคนเคยกล่าวว่า
“เผชิญหน้ากับอดีตโดยไม่สลดใจ
จัดการกับปัจจุบันอย่างมั่นใจ เตรียมการเพื่ออนาคตโดยไม่หวาดกลัว
มีศรัทธาและโยนความหวาดหวั่นทิ้งไป ไว้ใจในพระเจ้า” เพียงเท่านี้ก็เป็นการสร้างโลกให้งดงามแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น