วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

โลกสวยด้วยใจเรา


โลกสวยด้วยใจเรา
ทุกครั้งที่มาวิ่งออกกำลังกาย ไม่ว่าจะตอนเช้าหรือตอนเย็นๆ ที่สมาคมแต้จิ๋ว สาทร มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้มีความสุข เกิดรอยยิ้มแย้มได้ในทุกๆคราวไป นั่นก็คือ เสียงเพลงคาราโอเกะที่มีตู้ตั้งอยู่ตามมุมต่างๆในสวน (สุสาน) ตามเส้นทางของลู่วิ่ง คิดดูดิ ขณะที่วิ่งไปก็มีเพลงให้ฟังไปได้ตลอดช่างแสนจะเพลิดเพลินเจริญใจจริงๆ แม้ว่าเสียงของบางคนอาจจะไม่ตรงคีย์ ตรงจังหวะนัก แต่มันมีความน่ารัก น่าเอ็นดู ของผู้ที่มีเสียงเพลงในหัวใจ บางคนแต่งชุดมาเพื่อออกกำลังกายแท้ๆ แต่ใจมันเรียกร้องก็ไปเปิดตู้ หยิบไมค์ ยืนขับกล่อมในชุดนั้นเลย และไม่มีใครในนั้นไปขัดขวาง ไม่มีใครไปต่อว่า หรือดูแคลน กล่าวว่า รำคาญจะร้องทำไมร้องก็ไม่เพราะ เสียงไม่เข้ากับดนตรี แต่ทุกคนที่วิ่งผ่านต่างยิ้มแย้มส่งกำลังใจในความมุ่งมั่นให้กับคุณลุงคุณป้า คุณน้า คุณอา เหล่านั้น เป็นความงดงามยามออกกำลังกาย ใจเลยสดชื่นเบิกบานเสมอเมื่ออยู่ในสถานที่เช่นนั้น

 ใช่หรือไม่ ความงดงามมันเกิดขึ้นเพราะจิตใจที่ไร้กังวล ร่างกายได้ผ่อนคลาย ในบางครั้งเรามักเคร่งครัดกับกฎเกณฑ์จึงไปลดทอนความงดงามให้หดหายไป ทำให้เราตาบอดมองไม่เห็นสิ่งรอบๆข้าง ตาบอดเพราะอคติที่ติดยึด ตาบอดเพราะใจที่มืดมิด แต่เที่ยวแสวงหาความสว่างข้างหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แท้จริงแล้วความสวยงามมีให้เห็นอยู่ในทุกเวลา เราเคยเห็นมันหรือเปล่า ปัญหามันอยู่ตรงนี้ ถ้าเราลองพลิกความคิด ลดอคติ อย่าหวังให้ใครมาเป็นแบบที่เราคิด เรียนรู้และเคารพอย่างที่คนอื่นเป็น แยกแยะกาลเทศะให้เป็น กฎระเบียบมิใช่มีไว้เพื่อเบียดเบียน หรือยัดเยียดให้คนอื่นต้องถือตามเสมอไป ความสวยงามคือพระพรที่อยู่คู่โลก คู่ชีวิตเสมอ และโลกจะงดงามได้ก็ต้องอยู่ที่จิตใจเรา แล้วทำไมเราไม่สร้างโลกสวยด้วยใจของเรากันบ้างหล่ะ
พระเจ้าสร้างโลก และสร้างเราให้ดูแลโลก เป็นเราที่ล้วนแต่สร้างโลกด้วยเปลือกที่หุ้มห่อ ความหลงใหลในวัตถุแทนค่า คุณค่าที่แท้จริงเลยจางหาย วิถีการดำเนินชีวิตถูกแทนค่าด้วยมาตรวัดทางปัจจัยภายนอก ใครมีมากกว่าคือ ผู้สำเร็จ ธรรมะไม่ได้ถูกเพาะหว่าน สานฝันด้วยการไล่ล่าไขว่คว้าให้ได้มา มิได้แสวงหาตามครรลอง จัดให้วัตถุเครื่องอำนวยความสะดวกมาก่อน เคร่งครัดกับการจัดการเรื่องภายนอก ค่านิยมมาก่อนคุณค่าทางจิตใจ ภายในใจปล่อยปละละเลย ซ้ำร้ายมองเห็นคนที่ใฝ่ทางธรรมคือพวกหลุดโลก หลงยุค ใช่หรือไม่ เราบอกว่า เราก็ไม่ได้ทิ้งวัดวา มาร่วมมิสซาทุกอาทิตย์ แต่ออกจากวัดก็ไม่รู้เสียแล้วว่า วันนี้บทอ่านและพระวรสารพูดถึงเรื่องอันใด เพราะมัวแต่ใจล่องลอย มัวแต่กดแชท มัวแต่ส่งเฟส อัพสถานะว่ามาเข้าวัด กดเช็คอินที่วัด ความสวยงามของพิธีกรรมก็เลยเป็นเพียงกิจกรรมภาคบังคับเท่านั้นเอง 
เช่นนี้แล้ว เราจะเห็นความสวยงามของวันเวลา เห็นความสวยงามตามธรรมชาติ เห็นความน่ารักของผู้คนได้อย่างไร เราต้องเปลี่ยนมุมมอง ปรับทัศนคติต่อชีวิต อย่าปล่อยให้ทุกข์มาชี้นำชีวิต ความทุกข์นั้นมีด้วยกันทุกคน ต่างคนต่างมีต่างคนก็แตกต่างกันไป คนแบกทุกข์คือคนแบกโลก คนแบ่งแยกทุกข์ออกก็จะเป็นคนที่รู้จักแบ่งปันให้กับผู้อื่นได้ 
วันหนึ่งมีเด็กตาบอดคนหนึ่งมานั่งอยู่ที่ขั้นบันไดของตึก โดยมีหมวกใบหนึ่งวางหงายไว้ข้างๆ มีป้ายเขียนไว้ข้างตัวว่า ผมตาบอด กรุณาช่วยด้วยครับ
มีเหรียญเพียงสองสามเหรียญในหมวกใบนั้น ต่อมามีชายคนหนึ่งเดินผ่านมาพบเข้า เขาหยิบเงินสองสามเหรียญจากกระเป๋าแล้วหย่อนลงในหมวก แล้วเขาก็หยิบป้ายข้างเด็กตาบอดคนนั้นมาเขียนข้อความที่ด้านหลัง แล้วก็วางลงที่เดิม เพื่อให้คนเดินผ่านได้เห็นข้อความใหม่บนป้ายนั้น 
ในไม่ช้า...หมวกก็เต็มไปด้วยเหรียญ ผู้คนมากมายให้เงินแก่เด็กตาบอด บ่ายวันนั้น ชายที่เขียนป้ายให้ใหม่กลับมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กชายจำเสียงฝีเท้าของเขาได้ก็ถามขึ้นว่า
คุณใช่คนที่เขียนป้ายให้ผมใหม่เมื่อเช้าใช่ไหมครับ
คุณเขียนว่าอะไรครับ
ชายคนนั้นพูดว่า ผมแค่เขียนความจริง ผมเขียนสิ่งที่เธอพูดแต่เขียนด้วยคำพูดที่แตกต่าง”  ผมเขียนว่า วันนี้ช่างเป็นวันที่สวยงาม แต่ผมไม่สามารถชื่นชมมันได้” 
ทั้งสองข้อความนั้นเป็นการบอกกล่าวผู้คนว่า เด็กชายนั้นตาบอดใช่หรือไม่??? ทว่าข้อความแรกเพียงบอกธรรมดาว่าเด็กชายตาบอด ในขณะที่ข้อความหลังบอกผู้คนว่าพวกเขาช่างโชคดีเหลือเกินที่ตาไม่บอด ข้อความหลังย่อมให้ผลดีกว่า เราจะเป็นเด็กชายตาบอดหรือเป็นชายคนนั้น
จงขอบคุณพระเจ้าในทุกวันเวลา ทุกสถานที่ ในทุกสิ่งที่เรามี แล้วลองเปลี่ยนการมองชีวิตโดยเน้นเรื่องของจิตใจ เรื่องของคุณงามความดี ให้มีมากกว่าเรื่องของวัตถุ หรือถ้าเรายิ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตมากขึ้นเท่าใด เราก็ต้องดำเนินชีวิตให้มีคุณค่า ให้มีคุณธรรมมากขึ้นเท่านั้น เราก็จะสามารถชื่นชมความสวยงามของโลกนี้ไปพร้อมๆกัน มาร่วมกันสร้าง ร่วมกันแบ่งปันให้โลกให้สังคมน่าอยู่ เริ่มต้นด้วยการทำสิ่งเล็กๆน้อยๆให้กัน ส่งยิ้มทักทายกัน พูดคุยให้กำลังใจกัน ดีกว่าเสียเวลาจับกลุ่มนั่งนินทาหรือเอาเรื่องคนอื่นมาพูดถึงเป็นไหนๆชีวิตมีสิ่งสร้างสรรค์มากกว่า มาปฏิรูป ปฏิวัติจิตใจของเรา มองโลกเห็นชีวิตในด้านบวก  มีคนเคยกล่าวว่า เผชิญหน้ากับอดีตโดยไม่สลดใจ จัดการกับปัจจุบันอย่างมั่นใจ เตรียมการเพื่ออนาคตโดยไม่หวาดกลัว มีศรัทธาและโยนความหวาดหวั่นทิ้งไป ไว้ใจในพระเจ้า  เพียงเท่านี้ก็เป็นการสร้างโลกให้งดงามแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น: