คนดีเต็มเวลา
จากการที่ได้ติดตามบทเทศน์ประจำวันของสมเด็จพระสันตะปาปา
ฟรังซิส ผ่านทาง Fan
Page : PopeRepot ในทุกๆวัน
ทำให้เกิดความรู้สึกว่าพระเจ้าได้ทรงเลือกผู้นำพระศาสนจักรได้ตรงกับยุคสมัยเสียจริงๆ
คำเทศน์สอนที่เรียบๆง่ายๆไม่ซับซ้อน ด้วยความสุภาพและตรงไปตรงมาของพระองค์ท่าน
ถูกใจ โดนใจ ของคนทั่วโลก กำลังทำให้จิตใจของคริสตชนหลายๆคนที่ได้รับรู้รับฟัง
เริ่มถูกขัดเกลาไปทีละเล็กทีละน้อย ราวกับว่าพระองค์ท่านเริ่มเก็บวาด
ชำระวิหารฝ่ายจิต ชีวิตภายในของคริสตชนแล้ว
และเราโชคดีที่เกิดมาในยุคสื่อครองโลก นวัตกรรมนี้ถูกใช้ให้มีประโยชน์ได้อย่างมีคุณค่า
สามารถนำความดีมาสู่จิตใจของผู้คนได้ล้ำค่า แล้วเรายังมีผู้ที่เสียสละได้นำข่าวสารจากพระสันตะปาปาพระองค์นี้
มาแปลให้เราได้อ่านได้ไตร่ตรองอย่างสม่ำเสมอ และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีประโยคสั้นๆจากสมเด็จพระสันตะปาปาผ่านทางทวิตเตอร์ของ
#พระสันตะปาปา
(@Pontifex) ทวีตข้อความมีใจความว่า “เราพร้อมหรือยังที่จะเป็นคริสตชนแบบเต็มเวลา
(Full-Time) ด้วยการแสดงให้เห็นถึงการอุทิศตนผ่านทางวาจาและการกระทำ”
เมื่อได้อ่านแล้วรู้สึกเลยว่าเป็นคำถามที่น่าจะนำมาครุ่นคิดต่อเป็นยิ่งนัก
ในการเป็นคริสตชนนั้นอย่างที่เราทราบๆกันดี มีอยู่สองลักษณะ ที่เรียกกันแบบบ้านๆว่า
คริสตังนอน กับคริสตังยืน คริสตังนอน ก็คือพวกที่ล้างบาปตั้งแต่เล็ก นอนล้างบาป
ส่วนคริสตังยืนส่วนใหญ่ คือผู้ที่เป็นคริสตชนใหม่ เรียนคำสอนตอนโต และได้รับศีลล้างบาปตอนโต
โดยยืนล้างบาปนั่นเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นคริสตังนอนหรือยืน คำถามที่เราต้องทบทวน คือ แล้วเราเป็นคริสตชนเต็มเวลาหรือยัง
เรายังเป็นคริสตังนอนอยู่ตลอดเวลาที่ไม่ลุกมาแสดงตัวตนเลยหรือเปล่า
หรือเป็นคริสตังยืนที่ยืนอยู่กับที่โดยไม่เคยก้าวออกจากที่เดิมเลยหรือไม่
ลักษณะหนึ่งของเราที่เป็นคริสตชนคาทอลิก
คือการเป็นคนกลุ่มน้อยในสังคมไทย จึงทำให้เราไม่กล้าแสดงตัวตน เพราะกลัวจะถูกล้อ
ถูกตั้งคำถาม กลัวการเป็นคนแปลกแยกในสังคมในความเป็นจริงแล้วเราก็ไม่จำเป็น ที่จะแสดงออกว่าเราเป็นคาทอลิกตั้งแต่แรกก็ได้
สิ่งที่สำคัญคือ การที่เราต้องพยายามกระทำความดี
พยายามเป็นคนดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง แล้วความดีนี้แหละ ที่จะทำให้ความเป็นคริสตชนของเราแสดงแสงสว่างออกมาให้ผู้อื่นได้พบเห็น
วันนี้เราต้องตั้งคำถามกับตัวเองในสังคมไทยว่า เราเป็นคนดีเต็มเวลาหรือยัง ??? เป็นคนดีได้ตลอดเวลาหรือไม่???
ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก เพียงแค่เราเป็นคนดีเต็มเวลาตามมาตรฐานสากลก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว
เรามาลองดูว่า “เต็มเวลา” นั้นเป็นอย่างไรตามนิยามสากล
การทำงานเต็มเวลา
(อังกฤษ:full-time)
เป็นการที่ลูกจ้างทำงานเต็มครบตามจำนวนชั่วโมงที่กำหนดโดยนายจ้าง
การจ้างงานเต็มเวลามักมากับสวัสดิการที่ไม่มีในการจ้างงานแบบ part-time จ้างงานแบบชั่วคราว จ้างงานแบบยืดหยุ่น สวัสดิการเหล่านี้ได้แก่
วันลาพักร้อน วันลาป่วย และประกันสุขภาพ งานที่ทำเต็มเวลาถือเป็นอาชีพ
และมักจะมีชั่วโมงทำงานต่อสัปดาห์มากกว่างาน part-time
นิยามของคำว่า
เต็มเวลา แตกต่างกันสำหรับแต่ละนายจ้าง และกะงานที่ลูกจ้างทำ สัปดาห์ทำงาน “มาตรฐาน”
ทั่วไปประกอบไปด้วย 5 วัน โดยทำงานวันละ 8 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้นเป็น 40 ชั่วโมง ในขณะที่สัปดาห์ทำงานที่มี 4 วัน
มักจะทำงานวันละ 10 ชั่วโมง ในขณะที่งานกะละ 12 ชั่วโมง เพียงสามวันต่อสัปดาห์ (36 ชั่วโมง)
มักนับเป็นงานเต็มเวลา
เพื่อชดเชยกับความเหนื่อยหล้าจากการทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน (ข้อมูล : วิกิพีเดีย)
เราจะเห็นว่าถ้าวัดตามมาตรฐานสากลการทำงานเต็มเวลานั้นอยู่ที่
36-40
ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ถามตามความเป็นจริง!!!! เราทำงานเต็มเวลาหรือเปล่า.. เปล่าเลย บ่อยครั้งไปที่เราไม่ได้ใส่ใจทำงานอย่างจริงๆจังๆในเวลางาน เราอาจจะใช้เวลางานทำอย่างอื่นบ้าง เล่นเฟส
แชท อ่านหนังสือพิมพ์ แอบหลับ และอื่นๆ
ยิ่งในยุคสมัยใหม่ผู้คนขาดจิตสำนึกต่อส่วนรวม ทำงานเพียงเพื่อหวังเงินอย่างเดียว
ไม่ได้ดังหวังก็เปลี่ยนงานเปลี่ยนที่ทำงานไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีใจรักภักดีต่อที่ทำงาน
ใช้เวลาทำงานในที่เก่าหาที่ทำงานในที่ใหม่ แบบนี้เราได้ทำงานเต็มเวลาแต่ก็ทำไม่เต็มที่ไม่เต็มประสิทธิภาพ
งานที่ทำจึงไม่ค่อยมีคุณภาพและเป็นคนงานที่ด้อยคุณค่าด้วย
กลับมาดูเรื่องการเป็นคริสตชนในเรื่องการกระทำความดี
คำว่าเต็มเวลานี้ไม่ใช่หมายความว่าเรานะทำความดีเพียง 36-40
ชั่วโมงต่อสัปดาห์และทำในเวลาที่กำหนดไว้เท่านั้น แต่การเป็นคนดีเต็มเวลานั้นควรเป็นตลอดเวลา
และปรากฏได้ในทุกที่ ทำได้ไม่หวังผลตอบแทนทำด้วยใจรักภักดิ์ต่อคุณธรรม ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก
เพราะด้วยความที่เรายังมีกิเลศ มีความโลภ มีความหลง แต่เมื่อเราเป็นศิษย์ของพระคริสต์แล้ว
เราก็ต้องอาศัยความพยายามและการช่วยเหลือจากพระเจ้าเป็นพลังเสริมส่ง แล้วมุ่งหน้าเดินทางนี้ตลอด
อย่าได้วอกแวก อย่าได้หันหลังให้ความดีงาม ความสุขก็จะบังเกิดขึ้น
ความดีในโลกนี้มีไม่กี่อย่าง
แต่ก็แปลกที่เรากลับทำกันได้ยากยิ่งเหลือเกิน ความรัก ความเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
การให้อภัย สิ่งเหล่านี้ควรมีอยู่ในใจเราแบบเต็มๆ ส่วนมากแล้วพอขาดหายไป
สิ่งอื่นจะวิ่งเข้ามาแทนทันที สิ่งยั่วยวนรอบตัวนั้นมีมากเหลือเกิน
ความดีที่เราต้องทำให้เป็นนิสัยติดตัวนี้ต้องเริ่มใช้กับคนใกล้ๆตัวก่อน เรามีความรักแท้จริงให้กับคนในครอบครัวเรามากน้อยเพียงใด
ความรักที่ไม่ใช่การทดแทนด้วยเงินทองและวัตถุภายนอก รักแล้วย่อมก่อเกิดความเมตตากรุณา
และยอมให้อภัยได้เสมอ หัวใจคนต้องสร้างด้วยรัก หัวใจคนดีต้องมีทุกเวลา เราต้องเป็นคนที่ดีมีความจริงจังในการทำความดีโดยมิหวังสิ่งใดตอบแทน
ทำดีโดยไม่อวดดี สิ่งนี้แหละ คือ ความเป็นคริสตชนเต็มเวลาที่แท้จริง...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น