เผชิญหน้า กล้าป่ะ...???
กระจกส่องหน้าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญสำหรับสาวๆและท่านผู้หญิงทั้งหลายขอแค่เพียงมีเวลาว่างเว้นภารกิจชั่วเสี้ยวนาที
บรรดาคุณเธอก็จะหยิบกระจกส่วนตัวขึ้นมาส่องๆ เสริมความมั่นใจ หรือแม้ยามเดินต้องผ่านทางที่เป็นกระจกสะท้อนพอจะส่องใบหน้าได้
ก็จะหยุดปัดนั่นปัดนี่สักหน่อย ก็เป็นลักษณะพิเศษที่ท่านผู้ชายห้ามลอกเลียนแบบ
หรือถ้าจะเลียนแบบก็ดูจะแปลกๆตาสักหน่อย
ส่วนใหญ่แล้วผู้ชายมักจะใช้กระจกส่องก็ตอนหวีผมจัดทรง
จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางก่อนออกจากที่พัก หรือในบางครั้งมีสิ่งทำให้ขาดความมั่นใจก็จะส่องดูเพื่อขจัดส่วนเกินออกไป
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
ที่นึกเขียนเรื่องการส่องกระจกนี้ขึ้นมา
เป็นตอนเมื่ออาบน้ำเสร็จใหม่ๆ สระผม เช็ดผม และเมื่อต้องหวีผม ก็เลยเดินมาที่หน้ากระจก
ตกใจที่เห็นหน้าตัวเอง ใครหว่าที่อยู่ในนั้น!!!! ไม่ใช่อารมณ์ตลกร้ายประการใด
เพียงแต่ขณะนั้นเกิดความคิดว่า คนเรานี้กล้าพอไหมที่จะเผชิญหน้ากับตัวเองอย่างจริงๆจังๆ
โดยไม่เสแสร้งแกล้งทำ ไม่ใช่เผชิญหน้าเพื่อเสริมสวย
เสริมหล่อ สร้างความเรียบร้อย แต่เป็นการเผชิญหน้าเพื่อจะไถ่ถาม ตรวจสอบกับตัวเอง ก็เลยคิดว่าวันนี้ยามส่องกระจก
ลองถามเงาสะท้อนในนั้นว่า
“ตัวเราเป็นใคร”
???
บางทีบางเวลาเราเองก็ไม่รู้ว่าเราเป็นใคร
ควรจะอยู่ในฐานะใด
จึงกระทำบางสิ่งบางอย่างไปแบบไม่รู้ตัว แบบหลงตัวเอง การที่เราไม่รู้ว่าเราเป็นใคร
เป็นอะไร จึงจะเหมาะกับบุคลิกลักษณะนั้น ทำให้เรากลายเป็นคนทะเยอทะยานอยากไม่มีที่สิ้นสุด
เห็นคนอื่นเป็นก็อยากจะเป็นตามเขา พอเมื่อได้ไปยืนอยู่ตรงจุดนั้นกลับกลายเป็นการลดทอนคุณค่าของตัวเองลงเสียงั้นก็บ่อยไป
การพยายามย้ำเตือนตัวเองว่าเราเป็นใคร นัยหนึ่งก็เพื่อให้รู้จักตัวเอง
มองให้เห็นคุณค่าของตัวเอง หาที่หาทางให้เจอว่าควรเดินทางบนโลกนี้ในสถานะใด
ใช่หรือไม่...ในวันนี้เราเห็นผู้คนในสังคมอยากจะเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นแบบคนนั้นเป็นแบบคนโน้น
อยากจะเป็นคนมีชื่อเสียง อยากจะเป็นคนโด่งคนดัง พอเป็นจริงสมใจ เป็นคนสาธารณะขึ้นมากลับไม่ยอมให้ใครเข้าไปรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว
ตัวอย่างมีให้เห็นมากมาย และเมื่อมีคนอยากเป็นคนโด่งคนดังกันมากๆเข้า ก็ต้องมีการแข่งขัน
ขึ้นชื่อว่า “การแข่งขัน” อย่างไงเสีย ทุกคนก็มุ่งเพื่อชัยชนะกันทั้งนั้น
โลกสังคมจึงวุ่นวาย โลกจึงอยู่ยากขึ้นเพราะการแข่งขันแบบเอาเป็นเอาตายมีมากขึ้น
โลกนี้จึงเต็มไปด้วยคนลืมตัว
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
“เราต้องการอะไรในชีวิตนี้”
เมื่อเรายืนอยู่หน้ากระจกลองถามตัวเองว่าแท้จริงแล้วความต้องการในชีวิตของเราคืออะไรกันแน่
เราต้องการมีความสุขหรือต้องการเพียงสะดวกสบาย เราต้องการให้คนอื่นรักหรือต้องการเป็นที่รักของคนอื่น
เราต้องการทรัพย์สมบัติเงินทองให้เยอะ
เพื่อให้คนชื่นชมในความร่ำรวยหรือต้องการให้คนชื่นชมในความดีงาม เราต้องการครอบครองหรือต้องการครอบครัวที่อบอุ่น
เราต้องการอยู่เหนือคนอื่นด้วยการให้ทุกคนอยู่แทบเท้าเราอย่างนั้นหรือ ที่สุดแล้วจุดหมายปลายทางชีวิตเพียงต้องการให้คนมาร่วมงานศพจำนวนมากๆหรือเพียงเพื่อให้คนจารึกชื่อเราไว้ในหัวใจ
“เราได้ทำอะไรแล้วมีความสุข”
ก่อนที่จะละใบหน้าและเรือนร่างจากกระจกบานนั้น
ต้องรำลึกเสมอว่าสิ่งที่เราจะทำในวันนี้จะนำความสุขหรือความทุกข์มาสู่ชีวิต
เราเตรียมตั้งท่าเพื่อที่จะฟาดฟันใครให้แดดิ้นไปต่อหน้าต่อตาหรือเปล่า ถ้าใช่...จงกลับมาส่องดูใบหน้าของปีศาจในเงาสะท้อนบานนั้นอีกครั้ง
ดูว่ามันน่ากลัวขนาดไหน ความสุขย่อมเกิดจากการกระทำดี และการกระทำดีคืออะไร
ก็คือสิ่งที่ทำแล้วทำให้จิตใจมีแต่ความเปรมปรีดิ์ การได้ช่วยเหลือผู้อื่นนำความอิ่มใจมาให้เสมอ
การให้อภัยก่อให้เกิดมวลรวมแห่งความสุข
วันนี้เราจะทำอะไรให้ชีวิตมีสุขบ้างไหมหนอ หรือชอบสะสมทุกข์ให้กองอยู่ในอก...
“เราทำอะไรได้ดีที่สุด”
สุดท้ายการเผชิญหน้ากับตัวเองในบานกระจกแบบนี้
เราต้องมีคำตอบต่อทุกวันแห่งการดำเนินชีวิต ที่ผ่านมาเราทำอะไรได้ดีที่สุดบ้าง เชื่อได้อย่างสนิทว่า
เราต้องเคยทำได้ดีที่สุดผ่านมาแล้วด้วยกันทั้งนั้น ในทุกกิจการที่เราทำซ้ำไปซ้ำมา
ดูเหมือนจะซ้ำซาก แต่ถ้าเราตั้งใจทำมันอย่างดีทุกวัน ชีวิตเราก็จะพบความสุขได้ ขับรถออกจากบ้านอยู่บนถนนโดยไม่หงุดหงิด
ถึงที่ทำงานก็ไม่นินทาหรือพูดถึงผู้อื่นในทางเสียๆหายๆ หยุดเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมเสื่อมลง
ด้วยการเสพสื่ออย่างมีสติ ไม่หลงไปวิพากษ์โดยไม่มีข้อมูลความจริง อย่าปล่อยให้อารมณ์หลุดลอยไปตามคันบังคับของผู้อื่น
สิ่งเล็กๆน้อยๆที่เราทำผิดเป็นนิจ ก็พยายามละเว้น ทำไปทำมาอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ในจังหวะเวลาที่เหมาะสมมาบรรจบ
ภาพ : อินเตอร์เน็ต |
ใช่...การดำเนินชีวิตที่เร่งรีบ
อาจจะทำให้เราเผชิญกับสิ่งอื่นมากเกินไป จนลืมไปว่าเราควรทำตัวอย่างไร
ลืมกระทั่งว่าเราเป็นใคร เมื่อเรายังลืมตัวเองได้ก็อย่าหวังเลยว่าเราจะเห็นคนอื่นในสายตาเรา
เรามักจะเย่อหยิ่งในเกียรติภูมิ ในฐานะ ในหน้าที่การงาน จนกลายเป็นการดูถูกคนอื่น
จนบางครั้งคนที่เราเผชิญหน้าอยู่ข้างหน้าเรานั้น เป็นผู้ทรงเกียรติกว่าเรา
แต่เขาไม่แสดงออก ไม่นานคนนั้นกลับได้รับการยกย่อง ได้รับการยอมรับมากกว่าเรา
เราจะคิดอย่างไรเล่าในสถานการณ์เช่นนั้น เราต้องลองเผชิญหน้ากับตัวเองดูบ้าง ลองสนทนา
โต้ตอบ ยินยอม ขัดแย้ง ทะเลาะและให้อภัยกับตัวเราดูบ้าง การเผชิญหน้ากับตัวเองนั้นบางทีเราถึงกลับจำคนในเงาสะท้อนนั้นไม่ได้เลย....เพราะในทุกวันเราเห็นแต่เปลือกหน้า
แต่ไม่เคยเห็นลึกลงไปในใบหน้าและแววตาของตัวเราเองเสียด้วยซ้ำไป
แล้ววันเวลาจะมีประโยชน์อันใดเล่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น