วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เผชิญหน้า กล้าป่ะ...???

เผชิญหน้า กล้าป่ะ...???
กระจกส่องหน้าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญสำหรับสาวๆและท่านผู้หญิงทั้งหลายขอแค่เพียงมีเวลาว่างเว้นภารกิจชั่วเสี้ยวนาที บรรดาคุณเธอก็จะหยิบกระจกส่วนตัวขึ้นมาส่องๆ เสริมความมั่นใจ หรือแม้ยามเดินต้องผ่านทางที่เป็นกระจกสะท้อนพอจะส่องใบหน้าได้ ก็จะหยุดปัดนั่นปัดนี่สักหน่อย ก็เป็นลักษณะพิเศษที่ท่านผู้ชายห้ามลอกเลียนแบบ หรือถ้าจะเลียนแบบก็ดูจะแปลกๆตาสักหน่อย ส่วนใหญ่แล้วผู้ชายมักจะใช้กระจกส่องก็ตอนหวีผมจัดทรง จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางก่อนออกจากที่พัก หรือในบางครั้งมีสิ่งทำให้ขาดความมั่นใจก็จะส่องดูเพื่อขจัดส่วนเกินออกไป 
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ที่นึกเขียนเรื่องการส่องกระจกนี้ขึ้นมา เป็นตอนเมื่ออาบน้ำเสร็จใหม่ๆ สระผม เช็ดผม และเมื่อต้องหวีผม ก็เลยเดินมาที่หน้ากระจก ตกใจที่เห็นหน้าตัวเอง ใครหว่าที่อยู่ในนั้น!!!! ไม่ใช่อารมณ์ตลกร้ายประการใด เพียงแต่ขณะนั้นเกิดความคิดว่า คนเรานี้กล้าพอไหมที่จะเผชิญหน้ากับตัวเองอย่างจริงๆจังๆ โดยไม่เสแสร้งแกล้งทำ  ไม่ใช่เผชิญหน้าเพื่อเสริมสวย เสริมหล่อ สร้างความเรียบร้อย แต่เป็นการเผชิญหน้าเพื่อจะไถ่ถาม ตรวจสอบกับตัวเอง ก็เลยคิดว่าวันนี้ยามส่องกระจก ลองถามเงาสะท้อนในนั้นว่า 
ตัวเราเป็นใคร???
บางทีบางเวลาเราเองก็ไม่รู้ว่าเราเป็นใคร ควรจะอยู่ในฐานะใด จึงกระทำบางสิ่งบางอย่างไปแบบไม่รู้ตัว แบบหลงตัวเอง การที่เราไม่รู้ว่าเราเป็นใคร เป็นอะไร จึงจะเหมาะกับบุคลิกลักษณะนั้น ทำให้เรากลายเป็นคนทะเยอทะยานอยากไม่มีที่สิ้นสุด เห็นคนอื่นเป็นก็อยากจะเป็นตามเขา พอเมื่อได้ไปยืนอยู่ตรงจุดนั้นกลับกลายเป็นการลดทอนคุณค่าของตัวเองลงเสียงั้นก็บ่อยไป การพยายามย้ำเตือนตัวเองว่าเราเป็นใคร นัยหนึ่งก็เพื่อให้รู้จักตัวเอง มองให้เห็นคุณค่าของตัวเอง หาที่หาทางให้เจอว่าควรเดินทางบนโลกนี้ในสถานะใด ใช่หรือไม่...ในวันนี้เราเห็นผู้คนในสังคมอยากจะเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นแบบคนนั้นเป็นแบบคนโน้น อยากจะเป็นคนมีชื่อเสียง อยากจะเป็นคนโด่งคนดัง พอเป็นจริงสมใจ เป็นคนสาธารณะขึ้นมากลับไม่ยอมให้ใครเข้าไปรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว ตัวอย่างมีให้เห็นมากมาย และเมื่อมีคนอยากเป็นคนโด่งคนดังกันมากๆเข้า ก็ต้องมีการแข่งขัน ขึ้นชื่อว่า การแข่งขัน อย่างไงเสีย ทุกคนก็มุ่งเพื่อชัยชนะกันทั้งนั้น โลกสังคมจึงวุ่นวาย โลกจึงอยู่ยากขึ้นเพราะการแข่งขันแบบเอาเป็นเอาตายมีมากขึ้น โลกนี้จึงเต็มไปด้วยคนลืมตัว
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
เราต้องการอะไรในชีวิตนี้
เมื่อเรายืนอยู่หน้ากระจกลองถามตัวเองว่าแท้จริงแล้วความต้องการในชีวิตของเราคืออะไรกันแน่ เราต้องการมีความสุขหรือต้องการเพียงสะดวกสบาย เราต้องการให้คนอื่นรักหรือต้องการเป็นที่รักของคนอื่น เราต้องการทรัพย์สมบัติเงินทองให้เยอะ เพื่อให้คนชื่นชมในความร่ำรวยหรือต้องการให้คนชื่นชมในความดีงาม เราต้องการครอบครองหรือต้องการครอบครัวที่อบอุ่น เราต้องการอยู่เหนือคนอื่นด้วยการให้ทุกคนอยู่แทบเท้าเราอย่างนั้นหรือ ที่สุดแล้วจุดหมายปลายทางชีวิตเพียงต้องการให้คนมาร่วมงานศพจำนวนมากๆหรือเพียงเพื่อให้คนจารึกชื่อเราไว้ในหัวใจ 
เราได้ทำอะไรแล้วมีความสุข
ก่อนที่จะละใบหน้าและเรือนร่างจากกระจกบานนั้น ต้องรำลึกเสมอว่าสิ่งที่เราจะทำในวันนี้จะนำความสุขหรือความทุกข์มาสู่ชีวิต เราเตรียมตั้งท่าเพื่อที่จะฟาดฟันใครให้แดดิ้นไปต่อหน้าต่อตาหรือเปล่า ถ้าใช่...จงกลับมาส่องดูใบหน้าของปีศาจในเงาสะท้อนบานนั้นอีกครั้ง ดูว่ามันน่ากลัวขนาดไหน ความสุขย่อมเกิดจากการกระทำดี และการกระทำดีคืออะไร ก็คือสิ่งที่ทำแล้วทำให้จิตใจมีแต่ความเปรมปรีดิ์ การได้ช่วยเหลือผู้อื่นนำความอิ่มใจมาให้เสมอ การให้อภัยก่อให้เกิดมวลรวมแห่งความสุข วันนี้เราจะทำอะไรให้ชีวิตมีสุขบ้างไหมหนอ หรือชอบสะสมทุกข์ให้กองอยู่ในอก...
เราทำอะไรได้ดีที่สุด
สุดท้ายการเผชิญหน้ากับตัวเองในบานกระจกแบบนี้ เราต้องมีคำตอบต่อทุกวันแห่งการดำเนินชีวิต ที่ผ่านมาเราทำอะไรได้ดีที่สุดบ้าง เชื่อได้อย่างสนิทว่า เราต้องเคยทำได้ดีที่สุดผ่านมาแล้วด้วยกันทั้งนั้น ในทุกกิจการที่เราทำซ้ำไปซ้ำมา ดูเหมือนจะซ้ำซาก แต่ถ้าเราตั้งใจทำมันอย่างดีทุกวัน ชีวิตเราก็จะพบความสุขได้ ขับรถออกจากบ้านอยู่บนถนนโดยไม่หงุดหงิด ถึงที่ทำงานก็ไม่นินทาหรือพูดถึงผู้อื่นในทางเสียๆหายๆ หยุดเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมเสื่อมลง ด้วยการเสพสื่ออย่างมีสติ ไม่หลงไปวิพากษ์โดยไม่มีข้อมูลความจริง อย่าปล่อยให้อารมณ์หลุดลอยไปตามคันบังคับของผู้อื่น สิ่งเล็กๆน้อยๆที่เราทำผิดเป็นนิจ ก็พยายามละเว้น ทำไปทำมาอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ในจังหวะเวลาที่เหมาะสมมาบรรจบ
ภาพ : อินเตอร์เน็ต

ใช่...การดำเนินชีวิตที่เร่งรีบ อาจจะทำให้เราเผชิญกับสิ่งอื่นมากเกินไป จนลืมไปว่าเราควรทำตัวอย่างไร ลืมกระทั่งว่าเราเป็นใคร เมื่อเรายังลืมตัวเองได้ก็อย่าหวังเลยว่าเราจะเห็นคนอื่นในสายตาเรา เรามักจะเย่อหยิ่งในเกียรติภูมิ ในฐานะ ในหน้าที่การงาน จนกลายเป็นการดูถูกคนอื่น จนบางครั้งคนที่เราเผชิญหน้าอยู่ข้างหน้าเรานั้น เป็นผู้ทรงเกียรติกว่าเรา แต่เขาไม่แสดงออก ไม่นานคนนั้นกลับได้รับการยกย่อง ได้รับการยอมรับมากกว่าเรา เราจะคิดอย่างไรเล่าในสถานการณ์เช่นนั้น เราต้องลองเผชิญหน้ากับตัวเองดูบ้าง ลองสนทนา โต้ตอบ ยินยอม ขัดแย้ง ทะเลาะและให้อภัยกับตัวเราดูบ้าง การเผชิญหน้ากับตัวเองนั้นบางทีเราถึงกลับจำคนในเงาสะท้อนนั้นไม่ได้เลย....เพราะในทุกวันเราเห็นแต่เปลือกหน้า แต่ไม่เคยเห็นลึกลงไปในใบหน้าและแววตาของตัวเราเองเสียด้วยซ้ำไป แล้ววันเวลาจะมีประโยชน์อันใดเล่า

ไม่มีความคิดเห็น: