วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

แสงสว่างที่มุมเสา


แสงสว่างที่มุมเสา

ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ เราจะเห็นว่าในวัดของเรามีการเปลี่ยนแปลงไปมาก มีการปรับปรุงในหลายๆส่วนด้วยกัน โดยเฉพาะบรรยากาศในวัดของเรามีความสว่างมากขึ้น เนื่องมาจากคุณพ่อเจ้าวัดของเราได้ออกแบบและให้มีการติดไฟตามเสาเพิ่มขึ้น ช่วงแรกๆอาจจะยังไม่คุ้นเคย คุ้นชินกันสักเท่าไหร่ แต่เมื่อได้มาเข้าวัดนั่งมองไปมองมาก็อดที่จะชื่นชมในความมีศิลปะในการจัดแสงให้ออกมาได้อย่างสวยงามไม่ได้ แสง ศิลป์ และศรัทธา หากถูกจัดวางอย่างลงตัว สอดประสานกัน ทำให้วิหารแห่งนี้มีความศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น เป็นที่ที่เราจะเข้ามาพบพระได้อย่างดียิ่งขึ้น
ศิลปะในการจัดแสงนี้มีความสำคัญยิ่งสำหรับการถ่ายภาพ ในงานภาพยนตร์ เพื่อก่อให้เกิดอารมณ์ร่วมไปตามเรื่องราว หลักการจัดแสงที่ดีไม่ใช่จัดให้เกิดความสว่างอย่างเดียว แต่ต้องจัดให้เกิดมิติ เกิดบรรยากาศ คุณพ่อได้ใช้ประสบการณ์ในการทำสื่อมาช่วยจัดระบบแสงในวัดได้อย่างลงตัว ทำให้วัดกลายเป็นวิหารที่น่าเข้ามาพักพิง ดื่มด่ำกับการสวดภาวนาโมทนาคุณพระเจ้า
ยิ่งเมื่อมองพินิจพิจารณาแสงสว่างที่มุมเสานั้นแล้ว ก็พบบทสอนใจเราได้เหมือนกัน การที่เราเป็นแสงสว่างนั้นไม่จำเป็นเลยที่จะส่องให้สว่างเจิดจ้าอย่างเดียว การเป็นแสงสว่างที่นุ่มนวลสวยงามก็เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งศรัทธาต่อผู้อื่นได้มิใช่น้อย หลายครั้งเราทำตัวเราให้เป็นแสงสว่างที่ส่องให้สว่างมากเกินไป แถมยังเป็นแสงสว่างเพื่อให้คนอื่นเห็นมากกว่าที่จะส่องนำคนอื่น ยิ่งวันนี้เรามีคนลักษณะแบบนี้มากขึ้น แทนที่สังคมที่เราอาศัยอยู่จะพบหนทางสว่างกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้แสบตา ตาพล่า ตามัว ใช่หรือไม่ บางครั้งเราเป็นแสงสว่างที่สว่างจ้าแบบไม่รู้ตัว ทำให้คนอื่นรำคาญ หรือกลายเป็นที่สะดุดไปเสียอย่างนั้น
ในสังคมที่เราเติบโตมา ด้วยการมีกรอบความคิดของตัวเองว่าถูก ว่าเก่ง ไม่ต้องพึ่งพาพึ่งพิงใคร ก็สามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้ จึงทำให้เกิดความเห็นแก่ตัวขั้นสูง เห็นแต่ความดีของตัวเอง รังเกียจความดีของผู้อื่น แท้จริงแล้ว สิ่งที่ทำมันไม่ใช่ความดีเลย การที่เราจะเป็นแสงสว่างได้นั้น เราก็ต้องเป็นคนดีก่อน คนดีที่ไม่มีความยโสหรือชอบโอ้อวด เป็นคนดีที่ไม่อวดดี สิ่งที่น่าห่วงในสังคมที่ตัวใครตัวมัน ต่างก็มีนิยามความดีของตัวเอง หลงลืมความดีส่วนรวม หรือไม่ก็ยังแยกแยะไม่ออกว่า ความดีกับความอวดดีคืออะไร มันปะปนกันไปหมด สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ การวัดความดีแบบค่านิยมด้านสถิติ ด้านสะสมยอดตัวเลขเป็นหลัก 
การปล่อยแสง เปล่งแสงสว่างนั้นหาใช่เพื่อตนเอง แสงที่สวยงามย่อมเป็นแสงที่ทำให้เกิดบรรยากาศรอบๆงดงาม ให้แสงที่นุ่มนวล ชวนทำตาม การทำดีนั้นก็ใช่เพื่อตนเอง การทำดีที่น่ายกย่องเป็นการทำดีเพื่อผู้อื่น ยอมสละตนเองเพื่อให้สิ่งรอบๆข้างเกิดความงดงาม การเสียสละที่ยิ่งใหญ่นั้นคือ การยอมพลีชีพเพื่อคนอื่น คนเหล่านี้จะมีเพียงสักกี่คนที่ทำได้ และทำให้โลกนี้ดีขึ้นจนกลายเป็นบุคคลที่ควรจดจำ ใช่...เรามิอาจจะทำสิ่งนั้นได้ทุกคน แต่เราก็เปล่งแสงออกจากตัวเราเพื่อสิ่งรอบข้างได้ด้วยการเสียสละน้ำใจเล็กๆน้อยๆ เสียสละเวลาส่วนตัวเพื่อลูกหลาน เสียสละความสนุกสนานในโลกเสมือนจริงในโซเชียลมีเดีย มาอยู่เคียงข้างพ่อแม่ พี่ๆน้องๆ บ้าง ให้เวลาพูดคุยกันฉันมิตรสหายแบบตาต่อตา หน้าต่อหน้า โดยไม่ต้องผ่านสื่อออนไลน์ ผ่านทางความจริงใจที่มีให้กันบ้าง
การทำความดีให้ถูกที่ถูกทางก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึง ไฟที่อยู่หัวเสาก็อย่าไปเป็นไฟที่ส่องถนนเลย เป็นไฟส่องถนนก็อย่าไปเป็นไฟแฟลชถ่ายภาพ แบบนี้เป็นต้น ความดีของเราต้องมีที่มีทางอย่างพอเหมาะพอเจาะ ใช่หรือไม่ การที่ถูกแสงส่องใส่หน้าใส่ตาแบบผิดจังหวะผิดประเภท ทำให้เราหน้ามืดตามัวได้ ฉันใดก็ฉันนั้น หากเราทำดีโดยไม่ได้ดูว่าเหมาะสมหรือไม่ ถูกจังหวะหรือเปล่า ก็จะทำให้เกิดผลลบกับการกระทำเช่นนั้น  สิ่งที่เราเห็นว่าดี แต่อาจจะไม่ดีพอสำหรับคนอื่น
การจัดแสงไฟในวัดให้สวยงามก็ต้องรู้จักการจัดวางมุม ให้ส่องไปทางไหน แสงสีแบบไหนจึงจะเหมาะกับวัสดุในวัด การจัดวางความดีในชีวิตก็เหมือนกัน ต้องเรียนรู้และมีศิลปะในการทำความดีด้วย เช่น การทำบุญให้ทานเพียงให้เงินอย่างเดียว ไม่นานคนที่ได้รับก็ใช้หมด แต่หากให้เงินไปแล้ว คนที่ได้รับไปนั้นนำไปก่อให้เกิดประโยชน์ หรือมีการสอนให้รู้จักทำมาหากิน ต่อยอดจากเงินที่ได้รับไป การทำบุญนั้นก็จะบรรลุผล

การอยู่กับคนกลุ่มใหญ่ ก็ต้องใช้ศิลปะในการดำเนินชีวิต เช่น การมาเข้าวัดวันอาทิตย์โดยคิดว่าเพียงเท่านี้ก็ได้บุญได้กุศลแล้ว แต่เมื่อนั่งอยู่ในวัดก็พูดคุย นั่งนินทาคนโน้นคนนี้ก็ไร้ประโยชน์ มาวัดแต่กลับมานั่งเล่นเฟสบุ๊ค แชทไลน์ เปิดเสียงโทร ก่อให้เกิดการสะดุดกับคนรอบข้าง ทำให้ผู้อื่นวอกแวกไม่มีสมาธิ เช่นนี้แล้วการเข้าวัดวันอาทิตย์ของเราจะมีประโยชน์อะไรเล่า แน่หล่ะ บางคนอาจจะอ้างว่า นี่มันเป็นเสรีภาพ เป็นสิทธิมนุษยชนนะ เสรีภาพของเรา แต่ไปกักขังหน่วงเหนียวเสรีภาพคนอื่นก็ไม่ใช่เสรีภาพที่แท้จริง สิทธิมนุษยชนจะมีได้ ก็ต่อเมื่อเราต้องเคารพความเป็นคนของกันและกัน เคารพความสงบสุขของผู้อื่นด้วย
การที่เราจะเป็นแสงสว่างส่องโลกนั้น ในแง่มุมหนึ่งอย่าลืมว่าแสงนั้นต้องงดงามด้วย ต้องรู้จักจัดวางให้ถูกที่ถูกทาง ลองมองดูแสงสว่างที่เสาในวัดของเรา แล้วเราจะเข้าใจ แสง ศิลป์ ศรัทธานำมาซึ่งความดีที่งดงาม แล้ววิหารในตัวเราหล่ะ? ได้รับการปรับปรุง ให้เป็นเช่นนี้แล้วหรือยัง...

วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

รถไฟ ไอแดด ขบวนฝัน


รถไฟ ไอแดด ขบวนฝัน
ในช่วงที่เยาวชนวัดของเรามีการเข้าค่าย เรียนรู้สัมผัสชีวิตกลุ่ม ชีวิตพระนั้น ได้มีโอกาสร่วมขบวนการเดินทางท่องเที่ยว เพื่อเรียนรู้ชีวิตนอกห้องเรียน ไปในฐานะผู้ดูแล เพื่อให้เดินทางอย่างปลอดภัยและได้รับประสบการณ์ บทเรียน บทสอนผ่านการท่องเที่ยวในครั้งนี้ เมื่อได้รับภารกิจอันสำคัญยิ่งนี้มา สิ่งที่ต้องทำคือ การวางแผน ทำความเข้าใจในสถานที่ที่จะต้องนำเยาวชนกลุ่มนี้ไป และเพื่อเป็นการฝึกฝนความรับผิดชอบ การช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน จึงได้มอบหมายให้รุ่นพี่ดูแลรุ่นน้อง หนึ่งต่อสองคน

 เพื่อให้ทุกอย่างไม่เร่งรีบเกินไปนัก รถไฟขบวนท่องเที่ยวกรุงเทพฯ-น้ำตกไทรโยคน้อยนี้ จะออกเดินทางในเวลา 06.30 น. น้องๆต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อเตรียมตัว ในฐานะผู้ดูแลจึงเดินทางไปยังหัวลำโพงก่อนที่กลุ่มเยาวชนจะเดินทางไปถึง เพื่อสำรวจตรวจชานชาลาที่รถไฟขบวนนี้จอด จากนั้นก็ออกมารอรับน้องๆเยาวชนที่เดินทางมาถึงหัวลำโพง โดยมีผู้ใหญ่ใจดีอาสาขับรถพาไปส่งอยู่หลายคัน เมื่อทุกคนพร้อมเพรียง ก็เคลื่อนขบวนไปยังชานชาลาที่ 11 รถไฟติดเครื่องรออยู่แล้ว กลุ่มเยาวชนของเราได้นั่งในโบกี้ที่3 โดยมีผู้ใหญ่ใจดีที่เป็นธุระจับจองตั๋วไว้ให้เรียบร้อย น้องๆได้รับตั๋วคนละใบให้เก็บไว้ มีบางคนเสนอให้รวบรวมตั๋วไว้ที่คนๆเดียว นี่...เป็นความต้องการให้น้องๆได้สัมผัสถึงการยื่นตั๋วเมื่อนายตั๋วมาตรวจ มาเจาะตั๋ว และที่สำคัญเป็นการฝึกฝนความรับผิดชอบต่อตัวเองในเรื่องเล็กๆน้อยๆ ซึ่งทุกคนก็ทำได้เป็นอย่างดี ผู้ใหญ่ใจดีที่ขับรถไปส่ง ยังเดินมาให้กำลังใจถึงโบกี้ มีการอวยพรให้เดินทางปลอดภัย 
เวลาที่รถจะออกล่าช้าไปเป็นสิบนาที รถไฟก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะออก เด็กๆหลายคนเริ่มบ่น บทเรียนเรื่องการรู้จักรอคอยเริ่มถูกทดสอบ ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เราจึงได้ยินเสียงผ่านลำโพงภายในสถานีหัวลำโพงว่าขบวนรถไฟของเราพร้อมแล้วที่จะออกจากสถานี ทุกคนต่างดีใจ และแล้ว...เราก็ออกจากต้นทางเพื่อมุ่งยังจุดหมาย ซึ่งตามข้อมูลแล้วในขบวนท่องเที่ยวนี้จะต้องแวะ 4 ที่ คือ นครปฐม สะพานข้ามแม่น้ำแคว และปลายทางที่น้ำตกไทรโยคน้อย ส่วนที่สุดท้ายจะแวะตอนขากลับ คือ สุสานทหารสัมพันธมิตร และเพื่อให้การท่องเที่ยวนี้มีประโยชน์บ้างจึงได้เสนอแนะว่าให้ถ่ายภาพในแต่ละที่ที่แวะพร้อมทั้งเขียนเรื่องราวที่ประทับใจ 
รถไฟวิ่งไปตามราง ลมพัดปะทะใบหน้าพอให้เย็นสบายในอากาศยามเช้า จนกระทั่งเกือบ 08.00 น. เจ้าหน้าที่รถไฟมาขอตรวจตั๋วและประกาศว่า รถไฟจะพักให้ทานอาหารที่นครปฐม ตรงองค์พระให้เวลา 40 นาที สามารถเอาของไว้ในรถไฟได้ รับรองไม่มีขโมย เพราะเรามีกล้องวงจรปิดสนิท ทุกคนถึงกับหัวเราะเฮลั่นในความขี้เล่นของเจ้าหน้าที่ เมื่อรถจอดจึงได้ทำการนัดหมายให้ทุกคนมาที่รถไฟก่อนสัก 5 นาที และให้ทุกคนหาข้าวเช้ากิน หรือไม่ก็ซื้อขึ้นมากิน ทุกคนก็แยกย้ายไปตามใจชอบเป็นที่น่าสังเกตว่า หลายคนตรงเข้าร้านสะดวกซื้อทันที และเสียเวลารอจ่ายเงินจนเกือบหมดเวลา โดยไม่ได้เดินไปเยี่ยมชมบรรยากาศโดยรอบ ระบบสำเร็จรูปครอบงำวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่น้องๆส่วนใหญ่ต่างเดินไปสัมผัสบรรยากาศตลาดยามเช้า ได้เข้าไปนั่งกินข้าวในร้านรวงข้างๆพระปฐมเจดีย์ เมื่ออิ่มหนำสำราญก็ขึ้นรถโดยพร้อมเพรียง เพื่อมุ่งสู่สถานีต่อไปด้วยกัน ซึ่งกว่าจะถึงก็ใช้เวลาอีกชั่วโมงกว่า
เมื่อเติมพลังกันแล้ว ก็ต้องแสดงพลังคนหนุ่มสาวกันหน่อย ด้วยการร้องเพลง ต่อเพลงกันไปมา แล้วเพื่อไม่ให้การอบรมที่ผ่านมาสูญเปล่า บทเรียนการเป็นผู้แพร่ธรรมนั้นเป็นได้ทุกที่ ใช้ความสามารถได้ทุกอย่าง เยาวชนวัดของเราแทนที่จะร้องเพลงต่อเพลงทั่วๆไป กลายเป็นเพลงวัด เพลงพระ จนคนร่วมขบวนอื่นๆออกอาการงงๆในเพลงที่ได้ยิน ใช่หรือไม่ เสียงที่เปล่งออกไปนั้นมีคำว่า พระเจ้า ความรัก ความเมตตา ความเชื่อ เพียงเท่านี้ เรื่องราวของพระเจ้าก็ถูกประกาศออกไปแล้ว จนกระทั่งมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำแคว ทุกคนจึงได้ลงไปเยี่ยมชมใช้เวลาเพียง 20 นาที หนึ่งในเยาวชนได้ถ่ายภาพนักท่องเที่ยวเดินเที่ยวชมสะพาน และเขียนข้อความว่า สถานที่ท่องเที่ยว ที่มีคนมาชม เปรียบเสมือนเยาวชนของเรา ถ้ามีแค่ชื่อกลุ่ม แต่ไม่มีสมาชิก ไม่มีผลงาน ไม่มีคนสนใจ ก็จะเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่มีใครไป ใช่หรือไม่ น้องเยาวชนคนอนาคตของวันรุ่ง มีความคิดความอ่าน และมีสำนึกถึงการมีส่วนร่วมที่ยอดเยี่ยม
จากสะพานข้ามแม่น้ำแควรถไฟจะวิ่งผ่านหน้าผา เพราะนี่เป็นเส้นทางรถไฟสายมรณะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้านหนึ่งของรถไฟเราจะเห็นแม่น้ำขนานไปกับรางรถไฟอย่างสวยงาม อีกด้านหนึ่งติดภูเขาเพียงแค่เอื้อมมือไปแตะก็ถึงแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัย ได้ทำการตกลงข้อห้ามเด็ดขาดว่าไม่ให้เอื้อมมือออกจากตัวรถ แล้วความสวยงามความตื่นตาตื่นใจก็ผ่านไป มุ่งหน้าเดินทางสู่น้ำตก ที่นี่เรามีเวลาประมาณสองชั่วโมงกว่าๆสำหรับคนที่จะลงเล่นน้ำที่ไม่มีน้ำจะให้เล่น และด้วยว่าต้องนั่งรถสองแถวไปอีกต่อหนึ่งจึงจะถึงน้ำตกเวลาก็เหลือน้อยเต็มที ฉะนั้นแล้วเวลาที่น้ำตกจึงเป็นเพียงการทานอาหารเที่ยงริมธารน้ำตกที่ไหลระริน 

ขากลับจึงเป็นช่วงเวลาบ่ายๆไอแดดร้อนที่พัดผ่านมากับสายลมปะทะใบหน้า ทำให้เนื้อตัวเหนียวเหนอะไปหมด แต่เด็กเยาวชนพลังเหลือก็ผลัดกันนำเกมเล่นบนรถไฟอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สุดท้ายที่สุสานทหารสัมพันธมิตร ได้ร่วมกันภาวนาอุทิศแด่ดวงวิญญาณผู้ที่ต้องมาเสียชีวิตในสงคราม ความเหน็ดเหนื่อยล้าจากไอแดด จากความรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของทุกคน ถูกบรรเทาด้วยความสดใสและร่าเริงของเยาวชน ถ้าเปรียบไปแล้วขบวนรถไฟขบวนนี้เป็นขบวนที่บรรทุกความฝันของเขาเหล่านั้น และเพื่อให้ฝันบรรลุชัย เราผู้ใหญ่ ผู้ดูแลย่อมต้องช่วยกันประคับประคองให้พวกเขาไปถึงที่หมายให้ได้ เป็นผู้ประกาศความรักของพระเจ้าอย่างมีคุณค่า

วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เมืองในฝัน


เมืองในฝัน
ความฝันของใครหลายคน คือ การได้ไปท่องเที่ยวเยี่ยมชมเมืองที่มีชื่อเสียงต่างๆ ของโลก เช่น กรุงโรม ปารีส ฯลฯ บางคนก็ทำความฝันให้เป็นจริงได้ ด้วยความขยันหมั่นเพียรเก็บเงินเก็บทองเพื่อซื้อตั๋วเครื่องบิน ซื้อทัวร์ไปท่องเที่ยว มีหลายคนทำเมืองในฝันหล่นหายด้วยหลายๆเหตุผล มีบ้างบางคนมีจังหวะเวลามาลงตัวพอดี มีโอกาสได้ไปยังที่เคยแอบฝันอย่างไม่คาดฝัน ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้ มีเรื่องมากมายหลากหลายเกิดขึ้น เพียงแต่ว่าเราจะอ่านออกและนำมาเป็นเครื่องชี้นำทางชีวิตได้อย่างไร !!!!

ในขณะที่กำลังอยู่บนเครื่องบินเพื่อมุ่งสู่เมืองที่หมาย เห็นเส้นตัดขอบฟ้าอันงดงามยามรุ่งเช้า แสงรำไรกำลังจะเริ่มโผล่พ้นฟ้า ความฝันถึงเมืองที่กำลังจะได้ไปเยือนใกล้เข้ามา จะได้เห็นเป็นภาพจริง นั่งนึกวาดไว้ว่าจะงดงามเหมือนภาพในนิยตสารท่องเที่ยวหรือเปล่า ใช่หรือไม่ สิ่งที่อยู่ในความฝันมักเป็นสิ่งที่สวยงามสมอ
การเดินทางในครั้งนี้มีอยู่สามเมืองที่ถือว่าเป็นเมืองในฝันของหลายๆคนในคณะ ที่ต้องการเห็นเป็นประจักษ์ต่อหน้าต่อตาถึงความสวยงาม เริ่มต้นที่เมืองบูดาเปสต์ Budapest เมืองหลวงของประเทศสาธารณรัฐฮังการี  นอกจากจะเป็นเมืองหลวงของประเทศแล้วยังเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในฮังการี มีแม่น้ำดานูบ (Danube) ไหลผ่านใจกลางเมือง มีปราสาทที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก้ ตั้งอยู่บนเนินสูงที่ด้านหนึ่งของแม่น้ำ และเป็นศูนย์กลางทางการเมือง ศิลปะ วัฒนธรรม ธุรกิจ และการคมนาคม
มีโอกาสนั่งเรือล่องแม่น้ำดานูบ ท่ามกลางความหนาวสุดขั้ว คลอด้วยเสียงเพลง บลูดานูบ ของคีตกวี โยฮัน สเตร้าส์ ที่แต่งเอาไว้ บทเพลงนี้เป็นเพลงอมตะเหมือนสายน้ำนี้ยังอยู่ในหัวใจคนรักเสียงดนตรีทั่วโลกนั่นเอง แม่น้ำดานูบ เป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านประเทศฮังการีมีความยาวกว่า 400 กิโลเมตร สองฟากฝั่งคือเมืองบูดา ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันตกและเมือง เปสต์ อยู่ทางฝั่งตะวันออก  และนี่คือที่มาของคำว่าบูดาเปสต์
กรุงปราก (Prague) คือเมืองที่หลายคนถวิลหา แต่เมื่อไปถึงแล้วหลายคนคงจำไม่รู้ลืม เพราะต้องใช้วิธีเดินเยี่ยมชมเมืองเก่า ใช้เวลาเดินเป็นชั่วโมง บูดาเปสต์ และกรุงปราก ทั้งสองเมืองมีลักษณะภูมิประเทศ ภูมิทัศน์คล้ายๆกัน กรุงปราก เมืองหลวงของสาธารณรัฐเช็ค ซึ่งเป็นประเทศที่เพิ่งเกิดขึ้นในโลกนี้เพียงไม่ถึง 20 ปีที่ผ่านมานี้เอง แต่แท้จริงแล้วดินแดนแถบนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี  
เป้าหมายของการเดินชมเมือง คือ สะพานชาร์ลส์ (Charles Bridge) เป็นสัญลักษณ์ของกรุงปราก เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ร้านขายของ นักวาดภาพเหมือน นักดนตรี กรุงปราก ตั้งอยู่บนสองฝั่งแม่น้ำวัตตาวา (Vltava)   สะพานชาร์ลส์ เป็นสะพานเก่าแก่ที่พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 4 โปรดให้สร้างขึ้นในปี ค.. 1357 เพื่อทดแทนสะพานแห่งเดิมที่พังทลายจากน้ำท่วม สองข้างสะพานประดับไปด้วยรูปปั้นของนักบุญทั้งหมด 30 รูป จากสะพานเราต้องรีบเดินเข้าย่านกลางเมืองเก่า เพื่อไปชมหอนาฬิกาโบราณ ที่มีรูปปั้นอัครสาวกทำท่าประทานพรให้   ผ่านช่องตรงใจกลางตัวนาฬิกา ในทุก ๆ ชั่วโมง มีอีกหลายคนพลาดโอกาสเสี้ยวนาทีนั้น ก็ต้องรออีกหนึ่งชั่วโมงถัดมา การรอคอยเช่นนี้เป็นความสุขที่ผ่านมาเพียงเศษเสี้ยวของชั่วโมงแต่ทุกคนพร้อมที่จะรอ
และเมืองสุดท้าย คือ กรุงเวียนนา หนึ่งในบรรดาแหล่งประวัติศาสตร์ที่งดงามที่สุดในยุโรป ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก้ด้วย ตัวเมืองเก่ามีศิลปะแบบโกธิค วัดนักบุญสเตเฟน ตั้งเด่นเป็นสง่า  มีหอคอยทางทิศใต้ที่มีความสูงถึง 136.7 เมตร ใช้เวลาก่อสร้างกว่า 75 ปี ตามประวัติจริงๆ แล้วควรจะมีหอคอยคู่กันทางทิศเหนือด้วย แต่ขาดแคลนเงินในการสร้างต่อ จึงทิ้งไว้ที่ความสูง 65 เมตรก่อน  พอเวลาผ่านไปศิลปะแบบโกธิคกลายเป็นสิ่งล้าสมัย  ก็เลยสร้างเป็นโดมครอบไว้แทน และตรงนี้เองเป็นศูนย์กลางของเขตเมืองเก่า เป็นที่มั่นหมายของเหล่าบรรดานักช้อป เวลาสามชั่วโมงดูจะน้อยไปในการวิ่งออกร้านโน้นร้านนี้
จากนั้นมีโอกาสถ่ายรูปหน้าพระราชวังเบลเวเดียร์ (Belvedere Palace)  สร้างขึ้นตามศิลปะบาร็อก เพื่อใช้เป็นพระราชวังฤดูร้อนของเจ้าชายยูจีนแห่งซาวอย ผู้นำกองทัพที่ทำสงครามจนได้รับชัยชนะต่อพวกเติร์กที่เข้ามารุกราน ออสเตรียเคยเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในยุโรป เป็นที่ชุมนุมของนักคิด นักประพันธ์ ศิลปินในแขนงต่างๆ ซึ่งผลิตผลงานไว้มากมาย และทิ้งไว้เป็นมรดกแก่ชาวโลก
สุดท้ายคลายเมื่อยกันที่ Stadtpark คือสวนสาธารณะที่มีชื่อเสียงกลางกรุงเวียนนาที่สวนนี้นอกจากจะปลูกไม้ดอกไม้ประดับอย่างสวยงามแล้ว ยังมีรูปปั้นคีตกวี ราชาเพลงวอลซ์ โยฮัน สเตร้าส์ สีทองเหลืองอร่าม ตั้งอยู่ในซุ้มที่แทบทุกคนต้องไปยืนถ่ายรูปด้วย วันที่เราไปเยือนนั้น แสงแดดยามเย็นสวยงามมาก
ในชีวิตเรามีเมืองในฝันอีกมากมายที่เราอยากไปเยือนไปเยี่ยมชม และยังมีเมืองอีกเมืองหนึ่งซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของเราทุกคน และเป็นฝันของทุกคนที่จะไปให้ถึง นั่นคือ เมืองสวรรค์ และเพื่อเราจะไปให้ถึงเมือง วันนี้เราได้เตรียมตัวพร้อมหรือยัง สะสมความดีงามไว้มากเพียงใดแล้ว เพื่อเป็นใบเบิกทางให้เข้าสู่เมืองแมนแดนสวรรค์เมืองในฝันแห่งนั้น...

วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เกลือ...เค็ม แต่ดี ไม่ใช่ดี...แต่เค็ม


เกลือ...เค็ม แต่ดี ไม่ใช่ดี...แต่เค็ม
ในขณะที่ประเทศไทยของเรากำลังก้าวสู่ยุคดิจิตอลอย่างเต็มรูปแบบ มีทั้ง 3Gใช้ ระบบโทรทัศน์ก็กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นระบบดิจิตอล มีการกำหนดราคาประมูล ช่อง จำนวนเงินมหาศาลกำลังถูกใช้เพื่อการเปลี่ยนผ่านนี้ หลายๆบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ ต่างก็เตรียมเข้าเป็นเจ้าของช่อง ทำให้คิดถึงคำกล่าวที่ว่า ยุคนี้เป็นยุคสื่อสารครองเมือง ใครมีสื่อในมือย่อมมีอำนาจ ทำให้หลายคนอยากมีสื่อไว้ครอบครอง
โลกของเราก็พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ในสมัยหนึ่งใครมีกองกำลังคน มีอาวุธยุทโธปกรณ์มากก็ครองโลก ไล่ล่าอาณานิคม หาเมืองขึ้นเข้าครอบครอง มาอีกสมัยหนึ่งใครมีเงินมีทองคำมาก ก็เป็นผู้มีอำนาจสามารถกำหนดทิศทางตลาดทุน เข้าครอบครองโลกได้ ยุคปัจจุบันคือยุคใครมีสื่อทันสมัย โลกก็อยู่ในกำมือ ก็ครองโลกได้อีกเช่นกัน และมียุคๆหนึ่ง ใครที่ได้ครอบครองการทำเหมืองเกลือจะกลายเป็นผู้คุมอำนาจ มีอิทธิพลต่อระบบการค้าขายของโลก
หน้าทางเข้าเหมืองเกลือ
เมื่อถึงตรงนี้ ทำให้อดคิดถึงการเดินทางไปเยือนถิ่นหนาว และเป็นสิ่งที่น่ายินดีที่เราได้มีโอกาสเยี่ยมชมสถานที่แห่งหนึ่ง หลังจากไปแสวงบุญพระเมตตาและเยี่ยมเยือนบ้านของบุญราศีสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 มาแล้ว นั่นก็ คือ เหมืองเกลือที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดของโปแลนด์ เป็นเหมืองใต้ดินที่มหัศจรรย์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จนทำให้รัฐบาลโปแลนด์ ประกาศให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเมื่อปี ค.ศ. 1994 และนอกจากนี้เหมืองเกลือในเมืองเวียลิซก้า (Wieliczka) ถือว่าจัดเป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติขององค์การยูเนสโก้อีกด้วย ภายในเหมืองจะมีลิฟท์ซึ่งจะลงลึกถึงชั้นใต้ดินของเหมือง โดยชั้นที่ลึกที่สุดจะลึกถึง 327 เมตร ที่มาของเหมืองนี้เกิดจาก ในสมัยก่อนเกลือนั้นเกิดตามธรรมชาติมาประมาณ 20 ล้านปี เกลือมีค่าดุจทองคำ เพราะใช้ในการถนอมรักษาอาหาร
             ภายในเหมืองเก่าแก่ชั้นใต้ดินจะประกอบไปด้วย แกลอรี่และห้องต่างๆ ซึ่งสร้างและแกะสลักจากเกลือทั้งหมด ความงามของทะเลเกลือใต้พิภพ ซึ่งจะทำให้เหมืองแห่งนี้กลายเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยว เหมืองนี้ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 และผลิตเกลือแกง จนกระทั่งปี ค.ศ. 2007 นับได้ว่าเป็นเหมืองเกลือที่เก่าแก่ที่สุดเหมืองหนึ่งในโลกที่ยังคงดำเนินการอยู่ในสมัยนั้น แต่อย่างไรก็ตาม การผลิตเกลือเชิงพาณิชย์ได้ปิดดำเนินการมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1996 เพราะไม่คุ้มทุนและเกิดน้ำท่วมเหมือง
ค่าธรรมเนียมการเข้าชมเหมืองเกลือพร้อมด้วยไกด์ภาษาอังกฤษจะตกอยู่ที่คนละประมาณ 600-700 บาท และถ้าต้องการถ่ายภาพภายในเหมืองก็ต้องจ่ายเพิ่มอีกคนละประมาณ 80-100 บาท การเข้าชมจะมีเป็นรอบๆ ในทุกชั่วโมง คณะของเราเดินทางมาถึงก่อนเวลานัดหมายนิดหน่อย จึงมีเวลาสัมผัสกับความหนาวเย็นหน้าทางเข้าเหมืองท่ามกลางหิมะ จากนั้นเราก็ได้รับเครื่องรับฟังคนละเครื่อง และจัดแถวเพื่อเข้าลิฟท์กลุ่มละ 9 คน ซึ่งก็อัดแน่นพอสมควร เราลงไปในความลึกเพียงที่ 64 เมตร  (ความลึกทั้งหมด 327 เมตร) ระยะทางในการเดินชมในเหมืองทั้งหมดเป็นระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร
เหมืองอันใหญ่โตแห่งนี้เคยถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหาร การผลิตอาวุธและกำลังบำรุง ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง โดยกองทัพเยอรมันอีกด้วยเนื่องจากชาวเหมืองต้องทำงานและอาศัยในเหมืองเป็นระยะเวลานาน เราจะเห็นศิลปะแขนงต่างๆ ของชาวเหมือง ที่สะท้อนความเชื่อและสิ่งที่เป็นความสำคัญของชาวเหมืองปรากฏในรูปแบบของศิลปะอยู่ตลอดทาง ภายในมีวัดน้อย Saint Kinga ที่มีความงดงาม ทุกอย่างในเหมืองนี้จะทำด้วยเกลือ
ภายในเหมือง
เอกสารนำเที่ยวเหมืองเกลือ บอกว่า บริเวณนี้เมื่อ 20 ล้านปีที่แล้วเคยเป็นก้นทะเลตื้นๆ ที่เป็นแอ่งเกลือ ถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้จะไม่มีทะเลและหาดทรายให้เห็นแล้วก็ตามแต่พยานที่บอกว่าที่นี่เคยเป็นทะเลมาก่อน คือ การที่มีเกลือจำนวนมากอยู่ตามพื้นและใต้ดิน
ประวัติศาสตร์ทั้งหมดก่อนศตวรรษที่ยี่สิบ จึงเป็นเรื่องราวของการค้นหาเกลือที่เต็มไปด้วยอันตราย การค้าเกลือ และการต่อสู้แย่งชิงเกลือ เป็นเวลาหลายพันปีแล้วที่เกลือเป็นตัวแทนของความมั่งคั่ง พ่อค้าเกลือในแคริบเบียนจะเก็บเกลือไว้ในห้องใต้ดิน ชาวจีน ชาวโรมัน ชาวฝรั่งเศส  ชาวเวนิซ ตระกูลฮัพเบิร์ก และรัฐบาลอื่นๆ อีกมากมายได้เก็บภาษีเกลือเพื่อหาเงินในการทำสงคราม มีการจ่ายเกลือเป็นค่าจ้างให้แก่ทหาร และบางครั้งก็ให้แก่คนงานด้วย 
ระหว่างทางคุณพ่อเฉลิม กิจมงคล หนึ่งในผู้ร่วมคณะได้แบ่งปันไว้ว่า ในสมัยพระเยซูเจ้าเกลือต้องมีความสำคัญยิ่ง เกลือจึงเป็นสิ่งแรกที่พระองค์ทรงเอ่ยถึงในบทสอนของพระองค์ หลังจากที่พระองค์ทรงเกริ่นนำด้วยบทเทศน์บนภูเขาเรื่องความสุขแท้ (มธ 5 : 1-16) พระองค์ตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงเป็นเกลือดองแผ่นดินก่อนที่จะตรัสว่า ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างส่องโลกเสียด้วย
โบส์ถในเหมือง
โลกสังคม ชุมชนและครอบครัวของเราในปัจจุบันกำลังถูกดึงเข้าไปในวังวนของความเน่า จิตใจของผู้คนก็ยิ่งเน่า เราต้องทำตนมีค่าเช่นเกลือ ช่วยกันป้องกันและรักษาทุกชีวิตบนแผ่นดินมิให้เน่าเสียไปมากกว่านี้ โดยไม่ใช่ดองความดีของเราไว้เพียงเพื่อตัวเอง เกลือมีค่าที่ความเค็มที่นำไปถนอมสิ่งอื่นให้ยืนยาว แล้วเราเล่ามีค่าที่ความดีเพื่อคนอื่นมากน้อยเพียงใด...

วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

จากแดนอันตรายกลายเป็นดินแดนพระเมตตา ตอนจบ


จากแดนอันตรายกลายเป็นดินแดนพระเมตตา
ตอนจบ
หนึ่งในที่ที่เราจะไปเยือน นั่นคือ บ้านเกิดของบุญราศีสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ที่หมู่บ้านวาโดวิช ใกล้ๆกับเมืองคราคูฟ หิมะตกตลอดทางจึงทำให้การเดินทางล่าช้า กว่าจะไปถึงเกินเวลาไปเป็นชั่วโมง ไปถึงที่หมายก็เกือบๆบ่ายสองโมง จึงต้องใช้เวลารับประทานอาหารกันอย่างรวดเร็ว เพื่อว่าจะได้มีเวลาเข้าไปเยี่ยมบ้านเกิดพระสันตะปาปา ภายในมีรูปภาพสมัยพระองค์ท่านยังเป็นเด็กๆ น่ารักมาก... เครื่องใช้ไม้สอยของพระองค์ท่าน หลายคนมีโอกาสเขียนบันทึกการเยี่ยมเยือนสถานที่แห่งนี้ ยามอยู่ภายในอาคารบ้านเกิดของพระองค์ท่าน ช่างอบอุ่นยิ่งนัก ได้ซึมซับกับผู้ที่พระเจ้าเลือกสรรมาอย่างเปี่ยมสุข พระองค์ท่านผู้ทรงพลิกดินแดนถิ่นนี้ให้กลับมีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยจิตวิญาณแห่งความเชื่อ และพลังศรัทธา ..

หลังจากบุญราศีสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ได้ดำรงตำแหน่งประมุขสูงสุดของพระศาสนาจักร โปแลนด์แดนแห่งสนธยา ก็เริ่มฉายแสงเจิดจ้าออกมาสู่ยังโลก พระสันตะปาปาโปแลนด์ กระแสนี้เสริมส่งให้ประเทศแห่งนี้ที่เคยจมอยู่กับความแร้นแค้นแห่งสงคราม จมอยู่ภายใต้อำนาจของผู้อื่น ได้รับการปลุกให้ตื่นขึ้นมา โปแลนด์จึงเป็นที่รู้จักมักคุ้นมากขึ้น ประเทศที่มีสมเด็จพระสันตะปาปาผู้ใจดี พระองค์ได้เปิดโลกกว้างเป็นผู้นำสันติ ประเทศถิ่นเกิดของพระองค์จึงได้รับความชื่นชมยินดีไปด้วยเช่นกัน ปรากฏการณ์นี้เองที่ทำให้ประเทศโปแลนด์หลุดพ้นจากการครอบครองของอำนาจจากถิ่นอื่นโดยสิ้นเชิง วัดวาอารามที่จากเคยเป็นที่เก็บสรรพาวุธ กลายเป็นสถานที่แห่งความศรัทธา เริ่มมีชีวิตแห่งความเชื่อ ความศรัทธาของผู้คนเริ่มมีมากขึ้นๆจนบัดนี้กลายเป็นถิ่นศรัทธาที่สูงสุดแห่งหนึ่งในยุโรป
คำถามหนึ่งเกิดขึ้นว่า แล้วพระเจ้าจะไม่รู้เลยหรือว่า สงครามโลกที่เข่นฆ่าชีวิตผู้คนในถิ่นแห่งนี้จะไม่เกิดขึ้น แล้วทำไมยังปล่อยให้เกิด พระเจ้ารู้อยู่เต็มหัวใจ แต่ด้วยอิสรภาพที่พระองค์ให้มนุษย์ที่จะต้องตัดสินใจเอง พระองค์ไม่ได้เผด็จการที่จะทำให้ทุกสิ่งเป็นไปตามที่พระองค์ทรงต้องการ เหมือนกับพ่อแม่ที่รู้ว่า ถ้าลูกๆเดินไปตามทางนั้นจะไม่ดี แต่ก็ต้องยอมให้ลูกไปตามทางที่ลูกเลือก เพื่อให้ลูกมีบทเรียนโดยตรง มีประสบการณ์ตรง เสริมความเข้มแข็งให้มากขึ้นบนหนทางชีวิต ฉันใดก็ฉันนั้น พระเจ้าต้องการให้เราเข้มแข็งเรียนรู้ที่จะเป็นผู้เจริญทางด้านจิตวิญญาณมากขึ้น แต่ตรงกันข้ามลูกๆของพระองค์มักจะตกเป็นทาสของอำนาจฝ่ายผิดที่สิงมากับความโลภ ความหลงอยู่เสมอๆ แต่พระองค์ก็มักเตรียมบางสิ่งบางอย่าง เพื่อให้โลกเรามนุษย์ดำเนินต่อไปได้
ในถิ่นดินแดนอันตรายแห่งนี้ พระเจ้าได้เตรียมเส้นทางสายพระเมตตาของพระองค์มาตลอด ก่อนที่จะเกิดสงครามแห่งความบ้าในอำนาจ ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน ยามที่มนุษยชาติต้องเผชิญกับวิกฤติทางจิตวิญญาณ สังคม สงคราม และการเมืองนั้น พระเจ้าได้ทรงเมตตาส่งเหตุการณ์และบุคคล มากมายมาช่วยเหลือมนุษย์ เช่น พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาเยือนซิสเตอร์ชาว โปแลนด์ผู้หนึ่ง ทรงเผยให้เราทราบถึงแผนการ แห่งความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ คนหลายล้านคนทั่วโลก รักและรู้จักเธอในนาม นักบุญโฟสตินา โควัลสกา ผู้ประกาศพระเมตตาของพระเจ้า

นักบุญโฟสตินา เป็นองค์อุปถัมภ์ของวิญญาณที่น่าสงสาร เธอเกิดเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1905 ในประเทศโปแลนด์ เข้าอารามคณะพระแม่แห่งความเมตตา เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ.1925
ในปีค.ศ.1931 ซิสเตอร์โฟสตินาเห็นพระเยซูเจ้าในความฝัน ทรงบอกให้เธอวาดภาพตามที่เธอเห็นในความฝัน แต่เธอวาดไม่เป็น เพราะเธอเรียนจบแค่ ป. 3 ไม่มีความรู้ด้านศิลปะ ต่อมาเธอก็ให้จิตรกรวาดให้ตามที่เธอบอก เธอได้เขียนสารแห่งพระเมตตา และบทสวดพระเมตตา ซึ่งได้แพร่สะพัดออกไปในหมู่ผู้ประสบภัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ในขณะที่บุญราศีสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2  ทรงดำรงตำแหน่งพระคาร์ดินัลแห่งสังฆมณฑลคราคูฟนั้น พระองค์ได้ทรงดำเนินการเพื่อทำให้เรื่องพระเมตตาของพระเยซูเจ้าต่อซิสเตอร์โฟสตินา ให้เป็นที่ยอมรับของพระศาสนจักร แต่เรื่องก็เงียบหายไป เพราะต้องทรงดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปา จึงไม่มีเวลาสานต่อเรื่องนี้ จนต่อมาพระองค์ได้ทรงนำเรื่องนี้กลับมารื้อฟื้นใหม่ ให้การรับรองและสถาปนาซิสเตอร์โฟสตินาเป็นนักบุญ เมื่อวันที่ 30 เมษายน ปี ค.ศ. 2000 พระองค์ทำให้โปแลนด์เป็นดินแดนแห่งพระเมตตา เพื่อบอกว่าในดินแดนที่อันตรายที่สุด ย่อมมีพระเมตตาฉายแสงมาเสมอ
พระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ทรงสิ้นพระชนม์คืนวันเสาร์คาบเกี่ยวกับวันอาทิตย์ฉลองพระเมตตา ในสมัยที่พระองค์ยังทรงพระชนม์ ได้ประกาศให้วันอาทิตย์ที่ 2 ในเทศกาลปาสกาเป็นวันฉลองพระเมตตาของพระเยซูเจ้า แก่นแท้ของสมณสมัยอันยาวนานของพระองค์ นั่นคือ พันธกิจทั้งหมดในการรับใช้พระเจ้าและมนุษย์รวมถึงสร้างสันติภาพให้กับโลก ในบทเทศน์ที่พระองค์ทรงเปิดและเสกมหาวิหารพระเมตตาของพระเยซูที่เมืองคราคูฟ ประเทศโปแลนด์ ในปี 2002  ทรงกล่าวว่า นอกจากพระเมตตาของพระเจ้าแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดที่สามารถเป็นบ่อเกิดแห่งความหวังให้กับมนุษย์ชาติ
และที่สุดการเดินทางแสวงบุญพระเมตตาก็สิ้นสุดลง แต่พระเมตตาของพระเจ้าที่เราได้รับรู้นั้นไม่มีวันสิ้นสุด ในระหว่างที่เดินกลับมาขึ้นรถ ท่ามกลางความหนาวมีคำถามเกิดขึ้นกับตัวเองว่า แล้ววันนี้ เรา เป็นดินแดนอันตรายหรือดินแดนพระเมตตาต่อผู้คนที่พบเจอ ใช่...เราต้องพยายามสร้างให้เป็นดินแดนแห่งพระเมตตาเพื่อสันติสุขจะได้บังเกิดขึ้นกับตัวเราและคนรอบๆข้าง