วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ใจกว้างใจแคบไม่เกี่ยวกับพื้นที่ถือครอง


ใจกว้างใจแคบไม่เกี่ยวกับพื้นที่ถือครอง
เรื่องวุ่นๆของสังคมเกิดขึ้นไปทั่วโลก การประท้วง การยิงจรวดใส่กัน การเมืองระหว่างประเทศในนามของสนธิสัญญาและผลประโยชน์ต่างตอบแทน...ฯลฯ นี่เป็นความเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ที่พยายามใช้สมองคิด เพื่อวางแผนเข้าครอบครอง ข่มขู่และห้ำหั่นกัน โดยปราศจากหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์สุดประเสริฐ เห็นแล้วก็เสียดายความงดงามที่มีอยู่ในโลก ที่มีแต่คนมองข้ามไป ความใจร้ายของคน ความเหี้ยมโหดของคนเรา มันยังฝังแฝงอยู่ในตัวมนุษย์มาทุกยุคทุกสมัย ที่ต่างต้องการชัยชนะโดยไม่สนวิธีการ ฉลาดล้ำในการชักนำผู้อื่นให้คล้อยตามและทำในสิ่งที่ตัวเองบัญชา
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ยุคหนึ่งเราก็แอบอ้างว่าที่ต้องรบราฆ่าผู้อื่นเพื่อความอยู่รอดของกลุ่มของหมู่ตน ยุคหนึ่งนั้นนำศาสนามาเพื่อสร้างอาณาจักร ยุคหนึ่งนั้นไล่ล่าหาแผ่นดินยึดครอง ยุคหนึ่งนั้นสร้างอาวุธร้ายแรงเข่นฆ่าคน อีกยุคหนึ่งให้ได้มาซึ่งทรัพยากรและแหล่งพลังงาน และอำนาจทางเศรษฐกิจ ในแต่ละยุคก็มีผู้กุมอำนาจโดยอาศัยความเก่ง ความฉลาด ความศรัทธา จวบจนถึงยุคที่ใช้เงินซื้ออำนาจ...
 คนที่จะเป็นใหญ่เป็นโต เป็นผู้นำในยุคสมัยนี้สิ่งหนึ่งที่เรามักคิดถึงก่อนสิ่งอื่นคือ คนๆนั้นต้องมีฐานะทางการเงินการทองมากพอสมควร เราไม่ค่อยได้นำความดีงามที่คนๆนั้นได้ประพฤติปฏิบัติมาเพื่อเสริมส่งความเป็นผู้นำกันเสียเท่าไร โลกวันนี้จมปลักอยู่กับระบบทุน ระบบนี้จึงสร้างค่านิยมของเราให้ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินตรา เพื่อก้าวไปสู่การมีอำนาจ ยิ่งนับวันคนในโลกยิ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้น และแต่ละคนก็เพิ่มความอยากได้เข้าไปอีก โลกจึงเต็มไปด้วยความเห็นแก่ได้ความเห็นแก่ตัว คนที่ไม่มีจึงไม่มีค่าในทุกเรื่อง โอกาสของคนที่ยากไร้จึงน้อย คนจึงไม่อยากยากไร้ โลกนี้มีทรัพยากรพอสำหรับทุกคน แต่จะไม่เพียงพอกับคนโลภเพียงคนเดียว เป็นเรื่องจริงที่ท่านมหาตมะ คานธี เคยบอกกล่าวไว้ และคิดดูวันนี้เรามีคนที่ไม่รู้จักพอกี่ล้านคนบนดาวเคราะห์ดวงนี้ 
ในโลกนี้ความดีควรจะเป็นสิ่งที่เราเทิดทูนอยู่เหนือหัวมิใช่หรือ!!! เราหาความสบายที่เกินความสบายและเราก็บอกว่าเรายังไม่สบายพอ เราเสาะหาสิ่งหนึ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งหนึ่งแบบไม่มีที่สิ้นสุด การแสวงหาความดีงามจึงถูกบดบังไปอย่างน่าเสียดาย แต่โลกกว้างใบนี้ แม้จะมีคนใจแคบมากมาย ก็หาใช่ว่าจะไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งยึดโยงโลกนี้ไว้ ความดียังคงมีอยู่ ความดีที่ไม่ขึ้นกับพื้นที่ยึดครอง คนที่เลือกคุณธรรมความดีงามก็ยังมีอยู่และจะยังมีอยู่ตลอดไป..
เมื่อวันที่ 16 พ.ย. บีบีซีเปิดเผยเรื่องราว นาย โฮเซ่ มูจิกา ผู้นำอุรุกวัย วัย 77 ปี ที่ได้ชื่อว่าประธานาธิบดีที่ยากจนที่สุดในโลก ว่าอาศัยอยู่ในกระท่อม และขับรถเก่าคันเล็กๆ ใช้ชีวิตแตกต่างราวฟ้ากับดินกับผู้นำประเทศต่างๆ
นายมูจิกาปฏิเสธบ้านพักหรูหราที่ทางการจัดให้ โดยอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆ ของภรรยา ตั้งอยู่นอกกรุงมอนเตวิเดโอ เมืองหลวง เส้นทางเข้าเป็นถนนลูกรัง โดยสองสามีภรรยาลงมือทำสวนเอง ใช้น้ำจากบ่อ และมีตำรวจ 2 นาย กับสุนัขพิการมี 3 ขา เป็นองครักษ์ นายมูจิกาได้เงินเดือนราว 360,000 บาท แต่นำเงินที่ได้ร้อยละ 90 ไปบริจาคช่วยคนยากจน ทำให้ท่านผู้นำเหลือเงินเดือนราว 23,250 บาท ซึ่งเท่ากับเงินเดือนเฉลี่ยของชาวอุรุกวัย นายมูจิกากล่าวว่า อยู่อย่างนี้มาเกือบทั้งชีวิต อยู่ได้สบายมาก แม้จะถูกเรียกว่าเป็นประธานาธิบดีที่จนที่สุด แต่ไม่รู้สึกว่าจนตรงไหน คนจน คือ พวกที่ทำงานเพื่อรักษาชีวิตแสนแพงเอาไว้และอยากได้นั่นนี่ตลอดเวลามากกว่า
นี่ต่างหาก คือ อิสรภาพ ถ้าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของเยอะ ก็ไม่จำเป็นต้องทำงานทั้งชีวิตเพื่อเป็นทาสสิ่งเหล่านั้น ดังนั้นจึงมีเวลามากพอสำหรับตัวเองและผู้อื่นผู้นำอุรุกวัยกล่าว
บัญชีทรัพย์สินปี 2553 ของนายมูจิกา เป็นเจ้าของรถยนต์เพียง 2 คัน โดยคันหนึ่งเป็นรถโฟล์กรุ่นบีเทิล ปี 1987 และบ้านไร่หลังดังกล่าว ส่วนปีนี้นายมูจิการวมเอาสินทรัพย์ของภรรยา ได้แก่ ที่ดิน รถไถ และบ้านเข้าไปด้วย ทำให้มีทรัพย์สินเพิ่มเป็น 6 ล้านกว่าบาท แต่ยังน้อยกว่ารองประธานาธิบดีดานิโล แอสโตรี ถึง 2 ใน 3 http://variety.teenee.com
อุรุกวัยเป็นประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของทวีปอเมริกาใต้ และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการเมืองและระบบเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพที่สุด ประเทศเล็กๆในโลกที่กว้างใหญ่ที่คนทั่วไปเปรียบเทียบว่าเป็นเมืองแคระน้อย แต่กลับเห็นค่าของความดีงาม ความหมั่นเพียรและความรู้จักพอ ประเทศที่ไม่ได้หลงไปกับการให้คนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจมีอำนาจ ประเทศเล็กๆแห่งนี้กำลังจะพิสูจน์ให้โลกได้เห็นว่า การปกครองด้วยความดีไม่เบียดเบียนกันนั้นสามารถทำได้ สามารถอยู่บนโลกได้ เราไม่รู้ว่าประเทศอุรุกวัยจะเป็นอย่างไรในวันข้างหน้า แต่เรารู้ว่าความดียังมีพื้นที่อยู่ในโลกแห่งทุนนิยม
ส่วนตัวของเรายังมีพื้นที่เล็กๆให้ความดีเป็นข้อพิสูจน์ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าบ้างหรือเปล่า อาจไม่ใช่เรื่องจำเป็นว่าเราต้องมานั่งวัดว่า สิ่งที่เราทำนั้นดีน้อยหรือดีมาก หรือดีน้อยกว่าหรือมากกว่าเมื่อเทียบกับความดีที่คนอื่นทำ ความดีไม่ได้มีไว้อวดใคร เราไม่ได้ทำสิ่งดีๆ ด้วยเหตุผลเพื่อให้คนอื่นเห็นว่าเราดี แต่เราทำดีเพราะอยากเห็นคนอื่นมีชีวิตที่ดีต่างหาก คือหนทางแห่งความสุข
เราไม่สามารถปฏิเสธระบบทุนนิยม และโลกแห่งเงินตราได้ แต่เราก็สามารถอยู่ได้อย่างมีคุณค่า อย่างสร้างสรรค์ ใช้คุณธรรมนำทุนนิยม ใช้ผลประโยชน์ส่วนตัวของตนสามารถรับใช้ผลประโยชน์ส่วนรวมได้ คือการแบ่งปัน ที่กำลังห่างหายไปจากสังคม แล้ววันนี้บนพื้นที่ถือครองของเรานั้นเราได้ใช้มันแบบไหน ....

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความดีทำง่าย เพียงพลิกฝ่ามือ


ความดีทำง่าย เพียงพลิกฝ่ามือ
วันเวลาเดินทางผ่านไปราวกับว่าเรากำลังเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูง ทั้งๆที่บางห้วงเวลาอยากให้วันเวลาเดินทางเหมือนรถไฟไทยจริงๆ ไปอย่างช้าๆไม่รีบไม่ร้อน ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง ซึ่งก็คงเหมือนวันเวลาของเด็กๆที่ยังไม่ต้องกังวลสาละวนกับเรื่องราวต่างๆในชีวิตมากมาย มีความสุขกับการวิ่งเล่น และไม่ต้องเครียดกับเรื่องที่ต้องตะเกียกตะกายหาความสบายให้ตนเองและครอบครัว ยิ่งโตเวลายิ่งเร็วขึ้น ใช่หรือไม่ เมื่อเรามีเรื่องกังวลรุ่มร้อนใจมากเท่าใด เวลามักจะมีไม่พอ ทำอะไรไม่ทันทุกที ยิ่งรีบยิ่งช้า ยิ่งเร่งยิ่งรน เวลามันผ่านไปเร็วหรือเป็นเพราะเรามีความกังวลต่อวันพรุ่งนี้และอนาคตมากเกินไป หรืออีกนัยหนึ่งเป็นเพราะเราเกิดความกลัวมากกว่า กลัวจะไม่มีเหมือนคนอื่น กลัวจะน้อยหน้าเพื่อนๆ กลัวเสียหน้า กลัวถูกหยามเหยียด กลัวความตายจะมาพรากเราไปจากสิ่งสะสมที่ยังไม่รู้จักเพียงพอ แม้กระทั่ง กลัวว่าความดียังมีไม่พอ กลัวว่าวันเวลาจะฉุดรั้ง แย่งชิงความสะดวกสบายจากเราไป

ภาพจากอินเตอร์เน็ต

แน่หล่ะ ใครบ้างจะไม่มีความกังวล  คนเดินดินกินข้าวสองสามมื้อ มีมือถือสองสามเครื่อง เรื่องกลัวไม่ทันสมัย คือ สิ่งเสพติดของชนคนยุคใหม่ ยุคที่สื่อสารครองโลก แล้วเราก็นิยามสิ่งที่เราดิ้นรน เสาะหามีเอาไว้ครอบครองว่า ความสำเร็จ พอไม่สามารถไขว่คว้ามาได้ก็ถือว่าเป็น ความล้มเหลว ทั้งๆที่แก่นแท้ของชีวิตนั้น ความสำเร็จ คือ การพ้นผ่านความทุกข์ยากลำบาก ต้องผ่านความอดทนและการลุกขึ้นสู้ใหม่ สร้างความแกร่งทางจิตวิญญาณขึ้นเรื่อยๆไม่มีวันจบ ความสำเร็จกับความล้มเหลวห่างกันเพียงแค่พลิกฝ่ามือ มันอยู่ที่ว่าเราเลือกที่จะ สู้ต่อหรือ ยอมแพ้ต่างจากความสำเร็จ(รูป)จอมปลอมที่เรากำลังหลงใหล ที่มีองค์ประกอบเพียงแค่ มีตำแหน่งมีเงินเดือนสูง มีรถหรูขับ (แถมได้ภาษีคืนอีกต่างหาก) มีบ้านใหญ่โต มีทีวีจอยักษ์ มีมากมายจนลืมใช้และใช้อย่างไม่คุ้มค่า ซื้อมาเป็นหมื่นเป็นแสนใช้เพียงร้อยสองร้อย แต่สำหรับคนที่พยายามด้วยสองมือหนึ่งสมองและคุณธรรมประจำตนนั้น เพื่อให้ได้มาครอบครองเครื่องอำนวยความสะดวกมักจะใช้อย่างเห็นคุณค่า ใช้เวลาอย่างมีประโยชน์ และรู้ว่าค่าของเวลานั้นอยู่ที่ การรู้จักใช้ มากกว่า
และคนที่ผ่านความสำเร็จที่แท้จริงมาได้นั้น สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การรู้จักประคับประคองให้เดินทางอยู่บนหนทางความดีงาม เพราะระหว่างทางความดีนั้นความชั่ว ย่อมมีมาให้พบเจอได้เสมอๆ เพียงพลาดผิดจากความดีเพียงนิดเดียวก็กลายเป็นชั่วช้าได้ในสายตาของคนอื่น และยิ่งในสังคมที่มีผู้คนหลากหลายเต็มไปด้วยมลพิษทางปากและไวรัสที่ชื่อว่า นินทา ด้วยแล้ว เพียงครั้งเดียวที่พลาดผิดกลับไปปิดร้อยความดีที่ได้ทำมา เพราะโดยลึกๆของคนทั่วไปแล้ว ความผิดพลาดของคนอื่นก็ คือ สิ่งที่เราอยากเห็นนั่นเอง แล้วคอยกระหน่ำซ้ำเติม ความดีความเลวมันมีเส้นต่างกันไม่มาก เพียงพลิกนิดเดียวก็กลับด้านได้แล้ว ใช่...หลายคนบอกว่าการทำดีนั้นยาก เพราะต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ความดีอาจมิใช่อยู่ที่ผลเสมอไป แต่อยู่ที่ตรงความพยายามกระทำดีอย่างที่สุดนั่นสำคัญกว่า



สิ่งไหนที่กระทำแล้วสบายใจ พบความสงบสุขทางจิต นั่นแหละ ความดีงาม แต่สิ่งไหนกระทำแล้วต้องระมัดระวัง ต้องหลบๆซ่อนๆ มีความกังวล เกิดทุกข์ใจ นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย สิ่งนั้น ก็คือ ความไม่ดี จิตใจของเราเป็นตัววัดค่าสิ่งเหล่านี้ได้ หากรู้จักฟังใจเราให้เป็นบ้าง ดังเช่นนิทานเซนเรื่องนี้
ยังมีนายพลผู้หนึ่ง ขณะที่สนทนาธรรมกับอาจารย์เซนไป๋อิ่น ก็เอ่ยถามขึ้นว่า สวรรค์และนรกมีจริงหรือไม่?...”
อาจารย์เซนมิได้ตอบอันใด แต่กลับถามนายพลผู้นั้นกลับไปว่า ท่านเป็นใคร?”
นายพลตอบว่า เราคือแม่ทัพใหญ่ผู้เกรียงไกร
มิคาด อาจารย์เซนกลับหัวเราะออกมา พลางกล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า เป็นคนโง่คนใดที่ยกย่องให้ท่านเป็นแม่ทัพนายกองกันหนอ เพราะท่านดูอย่างไรก็คล้ายพวกคนฆ่าสัตว์มากกว่า
ได้ยินดังนั้น แม่ทัพใหญ่บันดาลโทสะ ต้องการสังหารอาจารย์เซน จึงยกดาบขึ้นพลางกล่าวว่า งั้น.. ท่านจงเบิ่งตาดูเราฆ่าท่านเถิด!
ขณะที่จะลงดาบ อาจารย์เซนจึงกล่าวขึ้นเรียบๆ ว่า นี่ยังไงล่ะ ตอนนี้ประตูนรกที่ท่านถามถึงกำลังเปิดออกแล้ว
แม่ทัพได้ยินดังนั้นจึงฉุกคิดได้ พร้อมทั้งลดดาบในมือลง จากนั้นเมื่อใจเย็นขึ้นแม่ทัพจึงเอ่ยกับอาจารย์เซนด้วยความสำนึกผิดว่า ต้องขออภัยที่ล่วงเกิน ท่านอาจารย์
โปรดให้อภัยข้าด้วย
ยามนั้น อาจารย์เซนจึงเอ่ยว่า หากกล่าวเช่นนี้ ประตูสวรรค์ ย่อมกำลังเปิดออกแล้วเช่นกัน”….
และไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปสักกี่ปีกี่วัน ความดีงามจะต้องมีอยู่คู่ไปในชีวิต ผิดบ้างพลาดบ้าง อย่าไปกังวล กลับใจพลิกตัว ตั้งต้นใหม่ อย่าไปกังวลต่อเสียงผู้คนที่พูดถึงเรามากนัก ถ้าใจเราบอกว่าสิ่งไหนดี สิ่งนั้นย่อมงดงาม และมีพระเจ้าอยู่เคียงข้างก็ลงมือทำเลย บางสิ่งบางอย่างในชีวิตต้องการการแก้ไข เพียงแค่พลิกฝ่ามือผลที่ดีก็จะตามมา เพียงแต่ว่าเรากล้าที่จะพลิกมือของเราหรือเปล่า หรือจะรอให้มีรถไฟขบวนสุดท้ายมาถึงจึงจะตัดสินใจ ระวังจะตกรถขบวนแห่งความดีงามนี้นะครับ.... 

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

งดงามในยามมืดมน


งดงามในยามมืดมน
ในช่วงใกล้ๆปลายปี ที่กำลังย่างก้าวสู่ฤดูหนาวอย่างนี้ มีทั้งฝน แสงแดดและความอึมครึมปกคลุมไปทั่วทั้งบรรยากาศ ท้องฟ้าในยามเช้าดูจะอ้อยอิ่งเสียเหลือเกิน กว่าฟ้าจะเปิด กว่าฟ้าจะสว่างก็ปาเข้าไปเกือบเจ็ดโมงแปดโมงเช้า ในบางวันความมืดมนก็ขยันเกินควร ห้าโมงก็เริ่มมียิ้มเยาะหัวเราะใส่ ความมืดจึงมาอยู่เป็นเพื่อนบ่อยๆในฤดูกาลนี้ ก็ไม่ต่างกับชีวิตของคนเรากระมัง!!! ที่ทุกวันนี้เห็นมีแต่เสียงพร่ำบ่นถึงควาหม่นหมอง ถึงความทุกข์ยากที่เป็นรากแก้วของความมืดมน มันก็น่าแปลกที่คนเรายามมีความสุข เรามักไม่ค่อยจะแบ่งปันความสุข บอกเล่าความสุขให้คนอื่นฟัง ทำเป็นหวงแหนกลัวคนอื่นจะมาแย่งชิง เอาไปครอบครอง กอดรัดความสุขไว้เพียงลำพัง ทำไปทำมาก็กลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา โลกนี้จึงมืดมนเพราะคนไม่ค่อยได้แบ่งสุขให้กันและกัน ความมืดมนปนความทุกข์ยากนำมาซึ่งความเศร้าหมอง แต่หากว่าเราเรียนรู้ที่จะมองให้เห็นแง่งามในนามความทุกข์ เราก็จะอยู่กับความมืดมนได้อย่างงดงาม
ท้องฟ้า...ใช่ว่าจะมืดมนตลอดกาลฉันใดใยชีวิตคนเราจะอับโชคไร้โศกได้เล่า มีแต่เพียงเราเท่านั้นที่จะก่อหน่อความงามให้เกิดขึ้นในกองทุกข์นั้น ในความทุกข์ในความมืดมนมักมาพร้อมกับการท้อแท้ ความท้อแท้ไม่เคยแก้ปัญหาของชีวิต ทุกครั้งที่ความท้อแท้มาเยือน ความเข้มแข็งจะห่างหายจากเราไป คนเราแต่ละคนมักพบเจอความมืดมน ท้อแท้ไม่เหมือนกัน โลกนี้จึงยังไม่เคยมีใครมีความสุขครบบริบูรณ์ หรือคนที่มีแต่ความทุกข์โศกาตลอดเวลา คงมีบ้างบางคนยิ้มแย้มกลางความสิ้นหวัง หรือบางคนฝืนยิ้มกลางกองสมบัติมากล้น คนก็เป็นเช่นนี้ บางคนสารพัดปัญหาร้อยแปดพันประการ ผิดหวังจากสิ่งที่ตนปรารถนาแล้วไม่ได้ตามที่ต้องการมันก็เป็นทุกข์ ฉะนั้นแล้วการจัดการกับความท้อแท้นั้นสำคัญมาก
ความท้อแท้จัดอยู่ในหมวดของอุปสรรคในชีวิตก็ว่าได้  ความท้อแท้ก็คือความเจ็บปวดลึกๆของชีวิต บางครั้งก็ยากที่คนอื่นจะรับรู้ได้จึงดูเหมือนว่าเผชิญอยู่ในความมืดมน ใช่หรือไม่ บ่อยครั้งเราก็คิดว่าสิ่งต่างๆของชีวิต ซึ่งมืดมนสับสน โดดเดี่ยวเดียวดายเหมือนโลกทั้งใบมีเราเพียงคนเดียวเท่านั้น โดยมิได้เหลียวแลดูผู้คนรอบข้าง ท้อได้ แต่ถอยไม่ได้ และอย่าท้อนาน ความท้อแท้ไม่มีวันแก้ปัญหาของชีวิตได้เลย รังแต่จะทำให้ชีวิตเราแย่ลง ไม่มีใครโชคดีตลอดเวลา และไม่มีใครโชคร้ายเสมอไป และคุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่ว่า เราต้องโชคดีเสมอไป เราเหนือกว่าใคร ดีกว่าใคร
หลิวเหว่ย เป็นเด็กหนุ่มชาวจีนอายุ 23 ปี เขาเสียแขนทั้งสองข้างไปจากอุบัติเหตุในวัยเด็ก เมื่อตอนที่เขาอายุ 10 ขวบ เขาไปจับเอาสายไฟฟ้าที่มีกระแสไฟฟ้าแรงสูงวิ่งเข้าสู่แขนทั้งสองข้าง ขณะเล่นซ่อนหาอยู่กับเพื่อนๆ
หลิวเหว่ย กลายเป็นคนพิการภายหลังอุบัติเหตุครั้งนั้นทันที ชีวิตเขาจมสู่ความมืดมน จากคนปกติกลายเป็นคนไร้สภาพ มีแต่แม่ของเขาที่พยายามพร่ำสอนให้เขาช่วยเหลือตัวเอง เพื่อว่าวันหนึ่งเขาจะสามารถดูแลตัวเองได้เมื่อต้องอยู่เพียงคนเดียว หลิวเรียนรู้ ที่จะทำทุกอย่างด้วยตนเอง โดยอาศัยปากและ เท้าของตน
อุบัติเหตุทำให้เขาต้องนอนพักรักษาตัวอยู่นานพอสมควร แต่ก็ไม่ได้หยุดความฝันของหลิวที่จะเป็นนักเปียโน ในสายตาของคนทั่วไปแม้จะมีแขนมีนิ้วมือครบถ้วน เปียโนก็เป็นเครื่องดนตรีที่เล่นยากยิ่ง   ต้องอาศัยความพยายามและความอดทนในการฝึกฝน เขาพยายามหาครูสอนให้เขาเล่นด้วยนิ้วเท้าให้ได้ ครูเปียโนคนแรกของเขา ล้มเลิกการสอน และบอกเขาว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเล่นเปียโนด้วยนิ้วเท้า
ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา หลิวไม่ท้อแท้ที่จะเรียนเปียโนพร้อมกับฝึกฝนการใช้ปากและเท้าทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เหมือนคนทั่วไป เขาฝึกเปียโนด้วยเท้าทุกวันด้วยตัวเองจวบจนเมื่อเขามีอายุได้ 19 ปี เขาก็สามารถเล่นเปียโนด้วยตนเองอย่างจริงจัง เพื่อจะบรรลุเป้าหมายการเป็นนักดนตรีตามความฝันที่มีอยู่
 “สำหรับคนเช่นผม มีทางเลือกอยู่แค่สองทางเท่านั้น ทางแรก คือ ยอมล้มเลิกความใฝ่ฝันทั้งหมด ซึ่งย่อมนำไปสู่ความตายอย่างคนที่สิ้นหวัง อีกทางหนึ่ง ก็คือ การดิ้นรนแม้ไม่มีแขนเพื่อที่จะมีชีวิตที่มีคุณค่าได้ ผมจึงขอเลือกทางที่สอง เพราะผมว่าชีวิตผมแม้ไร้แขนแต่หาไร้ค่าไม่” 
“..แม่ผมสอนผมว่า ผมไม่มีอะไรแตกต่างจากคนอื่น เพียงแค่คนอื่นใช้มือ แต่ผมใช้เท้าเท่านั้นเอง..
พระเจ้านั้นยุติธรรมกับเราเสมอ ให้เวลาได้พบสุขเจอทุกข์เพื่อสร้างพลังให้เข้มแข็ง พระองค์ทรงส่งเรามาเพื่อให้เราได้ฝึกวิทยายุทธ์ไว้ต่อกรกับความเปลี่ยนแปลงอันเป็นนิรันดร์ ในทุกช่วงเวลามักมีความงดงามเสมอ ความงดงามที่อยู่ในใจเรา นำออกมาเป็นเกราะคุ้มภัย ทุกข์ นำออกมาเพื่อสร้างพลังใจให้ก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง แม้ความมืดมนจะปนอยู่ในทุกย่างก้าว  แต่เราต้องไม่จมหายไปกับมัน เมื่อมีฟ้ามืดใยเลยจะไม่มีวันฟ้าใส ในวันฟ้ามืดเพียงเราหลับตาและลืมตาอย่างช้าๆอีกครั้งเราก็จะมองเห็นทุกสรรพสิ่งในท่ามกลางความมืดมนนั้น หากว่าลืมตารับแสงตะวันในยามเช้าตรู่ พยายามมองดูหลายชีวิต ต่างก็ต้องดิ้นรนไขว่คว้าแข่งขันกัน เราก็อย่าได้เป็นเช่นนั้นขจัดความต้องการ ความปรารถนาที่มากล้น ที่เป็นตัวนำความทุกข์ยากมาสู่ชีวิตวันละนิดวันละหน่อย ปล่อยให้มันหลุดลอยหายไป รักษาจิตรักษาใจ เตรียมพร้อมน้อมรับความเป็นไปของชีวิตให้ได้ในทุกสถานการณ์ พยายามเข้าใจและยิ้มรับกับวันใหม่ เป็นการเตรียมตัวเพื่อรับมือกับความมืดมนอย่างดีที่สุด

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แรงบุญ


แรงบุญ
วันจันทร์และวันอังคารถือว่าเป็นวัน แรงเงา แห่งชาติ เป็นข้อความสั้นๆที่เพื่อนผู้มีความคิดบรรเจิดได้ตั้งไว้ในสถานะทางเฟซบุ๊ค และคงเป็นเช่นนั้นจริงๆเพราะทุกเย็นยันค่ำของวันจันทร์และวันอังคาร ผู้คนต่างมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างรีบเร่ง เฝ้ารอหน้าจอเพื่อจะดูละคร แรงเงา ซึ่งเป็นละครที่ดูเหมือนจะถูกจริตกับสังคมยุคใหม่ที่นางเอกไม่ได้ตกเป็นผู้เสียเปรียบ แต่ลุกขึ้นมาตอบโต้ชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน สร้างความสาสะใจให้แก่ผู้ชมจนติดกันหนึบหนับ เนื้อเรื่องก็หนีไม่พ้น รัก โลภ โกรธ หลง กิเลสเบื้องต้นของคนทุกคน ใช่หรือไม่ แม้จะมีการแก้แค้นกันอย่างถึงพริกถึงขิง ตัวละครแต่ละตัวก็ไม่เห็นมีความสุขได้เลย หลายฉากมักจะทำให้เห็นว่ากลางคืนก็นอนไม่หลับ ฝันร้าย คาดคิดไว้ว่าละครตอนจบ จะจบลงด้วยการสำนึกผิดและการให้อภัยกัน แล้วความสุขก็จะบังเกิดขึ้นในตอนจบเพียงตอนเดียวก็คือสิ่งปรารถนาที่เราๆอยากได้เห็น...
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ดูละครแล้วย้อนดูตัวตน การแก้แค้น การจงเกลียดจงชังกัน ไม่อาจจะนำความสุขมาสู่วิถีชีวิต เป็น แรงเงา ที่ไล่ล่าติดตัวไปไม่สิ้นสุด มันต่างกับการที่เราทำเพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ด้วยแรงบุญ ใช่แหละสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยากมากในการปฏิบัติท่ามกลางยุคสมัยที่เต็มได้ด้วยความเห็นแก่ตัว แต่โลกนี้ยังมีคนใจบุญที่ทำสิ่งงดงามแบบเงียบๆเรียบๆอีกมากมาย ที่ไม่ได้เป็นจุดขายเพื่อขยายในสื่อธุรกิจ
มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า ณ เมืองที่วุ่นวายแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ที่ผู้คนทั้งเมืองหน้าตาไม่มีความสุขเอาเสียเลย ต่างคนต่างอยู่ดูแล้วหมองหม่น หญิงสาวคนหนึ่งเฝ้ามองดูบรรยากาศในเมืองที่อาศัยแห่งนี้มานานนับปี เธอพยายามส่งยิ้มให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา แต่เธอก็ได้เห็นแต่รอยหยักบนใบหน้าที่อาการงงๆ ว่าเธอบ้าไปหรือเปล่า ยิ้มอยู่ได้ คนยิ้มที่เมืองนี้กลายเป็นคนแปลกแยกไปซะแล้ว วันหนึ่งเธอก็เกิดความคิดแนวใหม่ขึ้น เมื่อเธอได้อ่านพบทฤษฎี การส่งต่อความดี ในหนังสือเล่มหนึ่ง เธอจึงลองทำดู ด้วยการเข้าไปดื่มกาแฟในร้าน เสร็จแล้วเธอก็จ่ายค่ากาแฟ แต่เธอจ่ายเพิ่มไปอีกหนึ่งแก้ว แล้วบอกกับพนักงานในร้านไว้ว่า นี่เป็นค่ากาแฟจ่ายให้คนที่มาสั่งกาแฟต่อจากฉันไม่ว่าจะเป็นใครก็ได้
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
หลังจากนั้นคนที่เข้ามาดื่มต่อจากเธอก็แปลกใจและก็ได้ทำอย่างเธอบ้าง วันนั้นทั้งเมืองเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ผู้คนที่เดินออกจากร้านกาแฟนั้น มีใบหน้าที่สดใสและมีรอยยิ้ม ดูมีความสุขมากขึ้น ทุกคนไม่รู้ว่ากาแฟที่ได้ดื่มจากเงินของคนที่ไม่รู้จักนั้นได้นำความอร่อยล้ำที่มากกว่ารสชาติกาแฟเสียอีก และมีหรือที่คนเราเมื่อได้รับแล้วจะไม่คิดให้ต่อบ้าง การจ่ายค่ากาแฟเผื่อคนอื่นกระจายเป็นวงกว้าง เรียกว่าแทบจะได้ดื่มกาแฟฟรีกันทั้งเมือง ทุกคนจึงหันมาพูดคุย ถามไถ่ความเป็นอยู่ของกันและกัน ความเป็นพี่น้องร่วมเมืองกลับมา ชีวิตใหม่ได้เริ่มต้นจากเงินค่ากาแฟเพียงไม่กี่บาท...
หนังสือเล่มที่ผู้หญิงคนนั้นได้อ่านเขียนโดย Catherine Ryan Hyde เป็นนักเขียนที่ทำให้หลายคนเริ่มรู้จักถึงกระบวนการส่งต่อความดี ผ่านตัวหนังสือที่เขาเขียนขึ้นมาและได้มีการดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์ขึ้น ชื่อเรื่องว่า Pay It Forward. พร้อมกับการสร้างกระแสให้กับคนทั่วโลก เริ่มรู้จักการส่งต่อความดีแบบมหาศาล โดยที่สามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้เพียงแค่เริ่มจากคนตัวเล็กๆ จากเด็กน้อยคนหนึ่งที่ต้องการคิดทฤษฎีเปลี่ยนแปลงโลก โดยทฤษฎีที่ว่านี้ต้องเริ่มจากตัวเองก่อน ด้วยการช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกอย่างน้อยสามคน และก็ปล่อยให้สามคนนี้ทำความดีไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือ บริจาค หรือเป็นจิตอาสาให้กระจายไปอีกสามคนถัดไป จนขยายเป็นวงกว้างเหมือนหยดน้ำหยดเดียวที่สร้างแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้าง
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
หรืออย่างเช่น เฉินซู่จวี้ แม่ค้าขายผักชาวใต้หวัน เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่พิสูจน์ให้คนทั่วโลกได้เห็นว่า คนที่มีฐานะที่อาจเรียกได้ว่ายากจน ก็สามารถเป็นผู้ให้เหมือนเศรษฐีคนอื่นๆ ได้ โดยที่ไม่ต้องรอให้มีฐานะขึ้นมาก่อน ชีวิตของเธอทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก ถึงขั้นทำงานจนไม่มีลายนิ้วมือและกินข้าววันละมื้อเท่านั้น ใช้เงินวันละเล็กน้อย แต่บริจาคเงินช่วยเหลือผู้อื่นไปแล้วร่วมสิบล้าน ในฐานะแม่ค้าขายผัก จนกระทั่งนิตยสารไทม์ยกย่องให้เธอเป็นร้อยบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลกในปี 2010 และเป็นบุคคลยอดเยี่ยมแห่งปี 2010 ของเอเชีย
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
แม้แต่ในวัดของเราก็ได้มีการกระทำการส่งต่อความดีด้วยเหมือนกัน เมื่อประมาณสัก 2- 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา คุณพ่อสุพจน์ เจ้าอาวาสของเรา ได้จัดนำหนังสือสวดภาวนาในครอบครัวคริสตชนมาเพื่อให้พี่น้องได้นำไปสวดร่วมกัน  ด้วยการจำหน่ายในราคาที่ถูก อยู่ๆก็มีสัตบุรุษคนหนึ่งจ่ายเงินค่าหนังสือบทภาวนานี้ทั้งหมด แล้วให้นำมาแจกฟรีในอาทิตย์นั้น โดยไม่ปรารถนาจะออกชื่อเสียงเรียงนาม คนที่ได้หนังสือไปก็คงสวดภาวนาร่วมกับครอบครัวอย่างมีความสุข ผลบุญจากการสวดภาวนาด้วยหนังสือเล่มนี้ ได้สร้างสันติสุขเกิดขึ้นในทันที
การทำบุญนั้นไม่ว่าจะทำมากทำน้อยผลของบุญ ย่อมนำความสุขมาสู่ผู้คนได้เหมือนกัน เราวัดแรงบุญเป็นมาตวัดตามมาตรฐานทางจำนวนนับไม่ได้ ผลลัพธ์ที่แท้จริงคือ ความสุขและความอิ่มเอมต่างหากที่เราสามารถรับรู้ได้ หลายคนบ่นว่า โลกนี้อยู่ยากขึ้นทุกวัน ก็ลองส่งความดีต่อๆกันไปดูสักครั้ง โลกนี้จะได้น่าอยู่ขึ้นอีกนานแสนนาน ให้แรงบุญหนุนโลกนี้ดีกว่าให้แรงแค้นฉุดโลกให้ทรุดลงไปมากกว่านี้ว่าไหมครับ พี่น้อง...

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความเป็นหนึ่งเดียวที่แท้จริง


ความเป็นหนึ่งเดียวที่แท้จริง
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องไกลตัวไปสักหน่อย หลายคนจึงไม่ค่อยให้ความสนใจในข่าวพายุเฮอริเคนที่ถล่มในหลายรัฐของประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ทั้งๆที่เป็นพายุที่รุนแรงมากที่สุด การติดตามข่าวเรื่องนี้จึงไม่ค่อยได้รับการกล่าวถึงมากนัก เพราะสู้กระแสละคร แรงเงา เงียบ สงสัยไม่ช็อต แก่ ใจดี สปอร์ต กทม และข่าวดาราหมั้นกับเศรษฐีไม่ได้ มีหลายคนถึงกับพูดในเชิงลบว่า ดีแล้ว ก็ประเทศนี้ใช้ทรัพยากรมากเกินไปเอาเปรียบชาติอื่น ธรรมชาติย่อมเอาคืนอย่างสาสม ถ้าเรามองด้วยหัวใจเป็นธรรม ด้วยหัวใจแห่งความรัก ปลดเปลื้องเรื่องอคติออกไป เราจะเห็นว่าผู้คนอีกเรือนล้านกำลังตกทุกข์ได้ยาก ไร้ที่อาศัย ไม่มีไฟฟ้าใช้ เราจะมัวแต่ไร้สาระกับเรื่องไม่เป็นเรื่องได้อย่างไรกัน!!! สิ่งที่เราจะทำได้ดีที่สุดก็คือ สวดภาวนาให้กับพวกเขา เพราะด้วยแรงภาวนา คือ ความเป็นหนึ่งเดียวที่แท้จริงเป็นพลังรวมหมู่ของมวลมนุษย์ เพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติได้
จากการติดตามข่าวที่ รอยเตอร์/เอเอฟพี รายงานว่า แซนดี้ คือพายุเฮอริเคน ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ สร้างความเสียหายในหลายพื้นที่ ทั่วทั้งแนวชายฝั่งด้านตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะมหานครนิวยอร์ก และมลรัฐนิวเจอร์ซีย์ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและอีกมากกว่า 1 ล้านคนต้องถูกอพยพออกนอกพื้นที่ ยังไม่นับรวมประชากรอีกเกือบ 6 ล้านคนต้องใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมิดจากปัญหาไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้าง
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ซูเปอร์สตอร์มขนาดใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อนนี้นำพาฝนตกหนัก และกระแสลมแรงเข้าถล่มพื้นที่ชายฝั่งทะเลทางตะวันออก ที่มีประชากรอยู่อย่างหนาแน่น ทำให้เกิดน้ำท่วมในย่านโลเวอร์แมนฮัตตัน การคมนาคมขนส่งเป็นอัมพาต และยังทำให้ประชากรหลายล้านคนขาดกระแสไฟฟ้าใช้ อิทธิพลของแซนดี้จะทำให้เกิดหิมะตกหนักภายในประเทศ โดยคาดว่าเวสต์เวอร์จิเนียอาจมีหิมะตกหนา 2-3 ฟุตทีเดียว 
ล่าสุดหลังพายุเฮอริเคนพัดถล่มด้านตะวันออกของสหรัฐ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 45 ราย แหล่งธุรกิจของโลก อย่างนิวยอร์ค ได้รับความเสียหายยับเยิน สร้างความเสียหายที่ประเมินอย่างคร่าวๆ ไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นรองจากเหตุวินาศกรรม 9/11 เท่านั้น 
คนทั่วโลกต่างร่วมจิตร่วมใจสวดภาวนาขอให้ประเทศสหรัฐฯผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้ด้วยดี ยามทุกข์ยากเรามักจะเห็นความเป็นหนึ่งเดียวเกิดขึ้น หรือว่านี่เป็นการให้บทเรียนจากเบื้องบน ใช่หรือไม่ ในสภาวการณ์ปกติ การเรียกร้องความเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นยากมาก เพราะต่างคนต่างก็มีอคติติดตัว มีความคิดเป็นของตัวเองที่บุคคลอื่นห้ามรุกล้ำ มีโลกพื้นที่ให้ครอบครองอย่างแน่นหนา สังคมใหม่แห่งวัตถุและทุนนิยมได้ปลูกฝังเอาไว้จนกลายเป็นนิสัยของหมู่มวลมนุษย์ พอมีคนเรียกร้องให้เกิดความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว เราก็มักตั้งคำถามว่า คนนั้นเป็นคนอย่างไรมีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือเปล่า ทั้งๆที่เราทุกคนก็ทราบดีอยู่แล้วว่าทุกคนมีดีมีเลวในหนทางชีวิตด้วยกันทั้งนั้น นั่นเป็นเพราะเราอยู่ในยุคที่หลงใหลตัวเอง ดูแคลนคนอื่นไปเสียทุกครั้งหรือเปล่า ความเป็นหนึ่งในโลกจึงเป็นเพียงวาทะกรรมหรือไม่ก็กลายเป็นการจัดงานเพียงให้เห็นเปลือก ความเป็นหนึ่งเดียวจึงเป็นเรื่องลมๆแล้งๆไป
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
แต่โลกมักจัดสมดุลให้เกิดขึ้นเสมอ ใช่หรือไม่ ยิ่งเราหลงตัวตนกันมาก สร้างส่วนตัวครอบพื้นที่ยึดครองกันมากเท่าไหร่ ภัยธรรมชาติย่อมเกิดขึ้นบ่อยครั้งและเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้น่าจะทำให้เราหยุดคิดและหันมาทบทวนตัวเรา เพื่อมุ่งสู่โลกที่เป็นสาธารณะมากขึ้น เราอยู่ในพื้นที่ของเรา ในโลกส่วนตัวของเราได้ ในขณะเดียวกันเราก็สามารถสร้างความเป็นหนึ่งเดียวที่แท้จริงให้เกิดขึ้นมาได้ นั่นคือ การสวดภาวนาให้กันและกัน ชีวิตภาวนาควรเป็นสิ่งที่คู่กับชีวิตคริสตชน เพียงแค่ภาวนาให้คนอื่นวันละนิด ความมืดมิดของสังคมก็จะค่อยๆจางหายไป
หนึ่งเดียวแรกที่เราจะได้รับจากการภาวนา คือ ความเป็นหนึ่งเดียวของร่างกายและจิตใจของเรา ร่วมกันเป็นหนึ่งยกถวายแด่พระเจ้า มีบทความหนึ่งที่ได้กล่าวถึงชีวิตภาวนาของพระคริสตเจ้าไว้ได้ดียิ่ง เมื่อไม่กี่ปีมานี้  ข้าพเจ้า (พระคาร์ดินัล รัทซิงเกอร์ : สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ) อ่านประวัติของคุณพ่อที่ดีองค์หนึ่งของศตวรรษของเรา  ท่านคือ  คุณพ่อ Don Didimo  เจ้าอาวาสวัด Bassano del Grappa  ในบทเขียนของคุณพ่อ  เต็มไปด้วยคำแนะนำที่ดีๆ มากมาย  ซึ่งเป็นผลจากชีวิตแห่งการภาวนาและการรำพึง  คุณพ่อ Don Didimo กล่าวเปรียบเทียบสำหรับพวกเราว่า  พระเยซูเจ้าประกาศข่าวดี ตอนกลางวัน แต่ตอนกลางคืนพระองค์ทรงอธิษฐานภาวนา  วิธีการทั้งหลายจะว่างเปล่าถ้าหากขาดรากฐาน  แห่งการภาวนา  คำพูดต่างๆ ของคำประกาศของเรา  ต้องชุ่มฉ่ำด้วยชีวิตแห่งการภาวนาของเรา (รำพึงพระคัมภีร์ โดย คุณพอลแมรี่ สุวิช)
และวิถีคริสตชนในวันนี้ ยุคนี้ของเราปฏิบัติเช่นพระองค์ได้หรือเปล่า กลางวันทำงาน กลางคืนเราภาวนา หรือว่าทุกค่ำคืนอยู่หน้าจอทีวี นั่งจิ้มแป้นแชทคุยออนไลน์ หรือนั่งล้อมวงร่ำสุรา นั่งนินทาผู้คน ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากสำหรับวิถีชีวิตปัจจุบันกับการภาวนา แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับการที่จะเริ่มต้น แล้วเราจะรู้ว่าความเป็นหนึ่งเดียวที่แท้จริงเกิดขึ้นได้ด้วยแรงภาวนา...