วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

รู้เห็นเป็นดี


รู้เห็นเป็นดี
ในวิถีชีวิตตามปกติ ย่อมหลีกหนีไม่พ้นการถูกจับจ้องมองและการที่เราก็เป็นผู้จ้องมองดูผู้อื่น ข้อสำคัญคือเราจะใส่ใจเรื่องอะไรมากว่ากัน...??? ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะเป็นทุกข์ตรงที่คนอื่นจ้องมองเราอย่างไรมากกว่า กลัวว่าสิ่งที่เราทำ เราเป็นนั้น คนอื่นจะมองเราอย่างไร สิ่งนี้จึงเป็นผลต่อการมองโลกและมองตัวเองด้วยสายตาของคนอื่นตลอดเวลา เข้าใจง่ายๆคือเราต้องพยายามเดินไปในทางที่ผู้อื่นคาดหวังเสมอ และถ้ามีคนคาดหวังสักสิบคน ร้อยคน แล้วอะไรคือตัวตนของเราล่ะ ใช่หรือไม่ ในความเป็นจริงของชีวิตว่าทั้งเราเองและผู้อื่นก็มักจะมองในส่วนที่แย่ๆของกันและกันเสมอ แล้วก็พยายามทำให้เรื่องแย่ๆกลายเป็นสิ่งทำร้ายทำลายกัน แต่ด้วยการฝึกฝนคุณธรรม การหมั่นเพียรก่อความดี มองหาให้เห็นสิ่งดีจากตัวเรา จากคนอื่น จากโลกแวดล้อมตัวเรา จึงเป็นหนทางพาเราอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข ..
จุดดำบนกระดาษขาว
มีวัวตัวหนึ่งสีขาวทั้งตัว แต่มีสีดำติดอยู่ตรงปลายหางนิดหนึ่ง และมีควายอีกตัวมีสีดำทั้งตัว ทั้งสองตัวนี้ต่างก็อยู่ในคอกเดียวกันและเป็นเพื่อนรักกันมานาน  วันหนึ่งควายพูดกับวัวว่า
 “นี่ เพื่อนวัวจ๋า ฉันมีเรื่องอยากบอกเธอมานานแล้วล่ะ แต่กลัวเธอจะว่าเอา วัวบอกควายว่า มีอะไรหรือควาย เราเป็นเพื่อนกันนะ เพราะฉะนั้นพูดมาได้เลยจ๊ะ ควายจึงโล่งใจ และพูดขึ้นว่า นี่แน่ะวัว ตัวเธอน่ะมีสีขาวสวยงามมากจริงๆนะ สวยกว่าวัวทุกตัวที่ฉันเคยเห็นเลยล่ะ เสียอยู่หน่อยหนึ่งเท่านั้นเอง อะไรหรือ วัวถาม  “ก็ปลายหางของเธอน่ะ ดำปี๋เลย ดูแล้วไม่สวย เธอไม่น่าจะมีสีดำตรงนั้นเลยนะ วัวบอกควายว่า ก็จะให้ทำอย่างไรล่ะจ๊ะ  สีดำตรงนั้นมันติดตัวฉันมาตั้งแต่เกิดแล้วนี่นา ก็นั่นน่ะสิ ไม่รู้จะมีมาทำไมนะ ทำให้เธอเป็นวัวที่มีตำหนิ ไม่สวยเลยล่ะ
ควายยังแสดงความคิดเห็นต่อ ส่วนวัวไม่ได้พูดอะไรอีก มันก้มลงเล็มหญ้า หลังจากวันนั้นควายก็ยกเอาเรื่องปลายหางสีดำของวัวขึ้นมาพูดทุกวัน
สีดำตรงปลายหางเธอนี่ไม่สวยเลยนะ” “ดูกี่ทีๆ ก็เหมือนมีรอยตำหนิล่ะ” “ถ้าเธอไม่มีรอยดำตรงปลายหาง เธอต้องสวยกว่านี้แน่ สีดำนั้นดำมากเลยนะ เธอไม่น่ามีมันเลย
ในที่สุดวัวก็ทนไม่ไหว พูดกับควายว่า พอที ทำไมเธอต้องมามองแต่จุดดำของฉัน ไม่สังเกตบ้างหรือไงว่า เธอน่ะดำหมดทั้งตัวเลย  (ชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา)
คนเราก็มักเป็นอย่างนี้ ชอบมองเห็นแต่ข้อผิดพลาดของคนอื่นมากกว่าจุดดีๆ หรือสิ่งดี ๆ และไม่ค่อยย้อนมองดูตัวเองอีกด้วย จึงไม่รู้ว่าตัวเองก็มีส่วนที่ผิดพลาดตั้งมากมาย ไม่มีใครดีพร้อมไปเสียทุกเรื่องหรอก ต่างก็มีจุดบกพร่องและเรื่องไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ อยู่ในตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่ตัวเรา
จุดดำเล็กๆบนพื้นขาว
อีกประการหนึ่ง การฟังคนอื่นมากไปแล้วนำมาคิดตามคำพูดเหล่านั้น บางครั้งบางหนมันก็ทำให้เราเกิดปมด้อยในสิ่งเล็กๆที่มีในชีวิต คนเราก็แปลก...อะไรที่สร้างทุกข์ก็มักนำมาใส่ตัว และก็ตรมทุกข์จมอยู่ในทุกข์ทุกวันเวลา ส่วนสิ่งดีๆสิ่งงดงามในชีวิตก็มองข้ามไป ในขณะเดียวกันเราในฐานะเป็นผู้ที่มองผู้อื่น เรามองแบบไหน มองแบบใส่ร้ายป้ายสีหรือมองหาสิ่งงดงามในชีวิตของผู้คน มองหาสิ่งที่สร้างสรรค์สวรรค์บนแผ่นดิน หรือมองเพื่อจัดไฟนรกให้ลุกโชนในหัวใจผู้อื่น โดยปกติธรรมดาคนเราก็รู้เห็นเป็นอยู่ในด้านแย่ของตัวเองอยู่แล้ว ยิ่งถ้าถูกตอกย้ำซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ใส่ลงไป แล้วใครเล่าจะมีชีวิตที่งดงามเดินดินอยู่ได้ แต่ถ้าเรารู้เห็นมองผู้อื่นด้วยหัวใจเปิดกว้าง หาสิ่งที่ดีงามในผู้อื่น นั่นเป็นการสร้างโลกให้สดใสถึงสองต่อเลยมิใช่หรือ  หนึ่งเราสุขใจที่พูด มอง สิ่งที่ดีๆ สองสร้างกำลังใจสิ่งดีให้เกิดขึ้นกับผู้อื่น ลองอ่านเรื่องนี้อีกสักเรื่อง แล้วเราจะเข้าใจว่า รู้เห็นเป็นเรานั้นต้องทำอย่างไร...
มีศิลปินอยู่คนหนึ่ง ใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้น เขาต้องใช้บ้านพักตัวเองเพื่อเป็นที่สร้างงานศิลป์ จึงเริ่มก่อกำแพง ทั้งๆที่เขาไม่เคยทำเลยในชีวิต การก่อกำแพงที่มองว่า แค่เอาอิฐวางเอาปูนใส่นั้น แท้จริงแล้ว มันเป็นเรื่องยากพอสมควร เพราะว่าจะทำอย่างไรให้มันตรงเท่ากันหมด เมื่อเขาก่อกำแพงเสร็จ ก็เห็นว่าตรงกลางของกำแพง มีอิฐอยู่ 2 ก้อนที่ไม่ตรง มันนูนออกมาจากอิฐก้อนอื่น ครั้นจะรื้อก็ไม่ได้ เพราะค่าใช้จ่ายมันแพง
ทุกครั้งที่มีผู้คนมาเยี่ยมชมงานศิลป์เขาก็จะรู้สึกอับอาย ที่มีคนจ้องไปที่อิฐสองก้อนนั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง มีชายชราคนหนึ่งมาที่บ้านหลังนี้ แล้วมองไปที่กำแพงนั้น ชายชราพูดว่า..
กำแพงนี้สวยงามมาก” เขาถามกลับไปด้วยความตกใจว่า ลืมใส่แว่นมาหรือเปล่า คุณไม่เห็นหรือว่ามันมีอิฐสองก้อนที่วางไม่ดีจนกำแพงนี้ ดูไม่ดี
ชายชราบอกว่า... ใช่ ผมเห็นอิฐที่วางไม่ดีสองก้อนนั้น แต่ผมก็เห็นด้วยว่ามีอิฐอีก 998 ก้อนก่อไว้ได้อย่างสวยงาม เป็นระเบียบงดงาม”  นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆปีที่ศิลปินคนนั้นมองเห็นอิฐก้อนอื่นๆบนกำแพง นอกเหนือจากสองก้อนที่เป็นปัญหา ตาที่เคยมืดบอดต่อสิ่งอื่นทั้งหมด บัดนี้มองเห็นอิฐดีๆแล้ว  
อย่าปล่อยให้การเห็นสิ่งไม่ดีในตัวเรา ในตัวผู้อื่น เป็นอคติตัดลอนความงดงามแห่งความรัก ความสัมพันธ์ต่อกัน มันน่าเศร้าจริงๆ ที่หลายครั้งหลายหนเราได้ลงมือทำลายกัน ด้วยการ รู้เห็นเป็นเลว ไปหมด แต่ถ้าเรา รู้เห็นเป็นดี ความงดงามก็จะบังเกิดขึ้นในจิตใจเราทุกคนตลอดไป...

ไม่มีความคิดเห็น: