วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พลังที่มองไม่เห็น


พลังที่มองไม่เห็น
หากไม่สังเกตก็ไม่รู้เลยว่า ในทุกๆเช้าตรงหลังบ้านตึกแถวที่อาศัยอยู่นั้น จะมีนกกระจอกเล็กๆอยู่ฝูงหนึ่ง ต่างส่งเสียงเหมือนกำลังคุยกัน เพราะชีวิตที่เหมือนดังถูกกำหนดด้วยตารางอันตายตัว ตื่นนอนในเวลาเหมือนๆกัน อาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านด้วยความคุ้นชินเป็นประจำย้ำซ้ำเดิมอยู่อย่างนี้มาเนิ่นนาน ทำให้ไม่เคยที่จะหยุดฟังเสียงนกน้อยทักทาย มาวันนี้มีเวลาให้กับชีวิตนิ่งๆเงียบๆไม่รีบไม่ร้อน ทำให้เพลิดเพลินจากเสียงนกที่เหมือนจะคุยกัน บางครั้งถึงขั้นลองใส่จินตนาการว่านกน้อยเหล่านั้นคงกำลังคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ ดีนะที่ไม่ได้ไปนั่งร่วมวงสนทนาภาษานกด้วย ไม่งั้นคนรอบข้างคงเผ่นหนี และหาว่าบ้าไปแล้วเป็นแน่... 
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
จะด้วยความบังเอิญหรือเป็นเพราะเบื้องบนจัดสรรก็ไม่ทราบได้ (แต่ด้วยความเชื่อแล้ว ทุกๆเหตุการณ์ในชีวิตมักถูกร้อยเรียงโดยพระผู้สร้างอย่างเหมาะเจาะเสมอมา) เรื่องนี้ก็เช่นกันในวันที่เพลิดเพลินกับเสียงนกน้อยยามเช้า ตกสายมาก็ได้อ่านนิทานเรื่องที่เกี่ยวกับนกที่ให้บทสอนดีๆเรื่องหนึ่ง ที่สอนให้เราได้เรียนเรื่องพลังที่สร้างโลกสร้างสังคมมาอย่างยาวนาน เป็นพลังที่มองไม่เห็นด้วยตา แต่ถูกสร้างด้วยหัวใจ....
นานแสนนานผ่านมา ณ ป่าไผ่แห่งหนึ่งมีนกกระจาบอยู่ฝูงหนึ่ง อาศัยหากินอยู่เป็นประจำ ต่อมามีพรานป่าผู้หนึ่งเที่ยวเสาะแสวงหาสัตว์ต่างๆ ผ่านมา เห็นฝูงนกจำนวนมาก ก็นึกพอใจในฝูงนกเหล่านั้น จึงได้แอบซุ่มอยู่ ณ ที่ไม่ไกลจากที่ฝูงนกหากิน จัดแจงเตรียม ตาข่าย และเชือกอยู่ เมื่อพร้อมแล้วจึงเหวี่ยงตาข่ายเข้าคลุมฝูงนกทั้งหลาย ได้นกไปเป็นจำนวนมาก เหล่านกกระจาบที่หลุดรอดจากการจับกุม จึงพากันไปปรึกษากับนกกระจาบผู้เป็นหัวหน้า 
นี่พวกเราจักทำอย่างไรดีเล่า นายพรานนั่น จับพวกเราไปมากมายแล้วนะท่านหัวหน้า นกตัวหนึ่งเอ่ยขึ้น  “เอาอย่างนี้ดีไหม หัวหน้านกกระจาบเอ่ยขึ้นหลังจากไตร่ตรองอยู่สักพักใหญ่ “พวกเราทั้งหลายต่อไปนี้ถ้านายพรานมาอีก ขอให้ฟังสัญญาณจากเราให้ดี เมื่อเรากล่าวว่า นายพรานเหวี่ยงตาข่ายแล้ว ขอให้พวกเราร่วมใจกัน พลันบินขึ้นไปในทันที ขอพวกเราจงบินขึ้นไปยังยอดไผ่ เพื่อเอาตาข่ายไปแขวนไว้ แล้วเธอจงมุดลงมาทางด้านล่างของตาข่าย เพียงแค่นี้ นายพรานก็มิอาจจะทำอะไรพวกเธอได้อีกต่อไป
วันต่อมา นายพรานมาซุ่มรอเหล่านกกระจาบอีก เขาซุ่มจ้องคลุมตาข่ายอยู่หลังพุ่มไม้ เมื่อฝูงนกระจาบบินมาจิกกินอาหาร เขาจึงปล่อยสายป่าน ตาข่ายคลุมตัว ฝ่ายหัวหน้านกกระจาบเห็นดังนั้น จึงกล่าวคำสัญญาณ  นายพรานเหวี่ยงตาข่ายแล้ว ขอให้พวกเราร่วมใจกัน พลันบินขึ้นไปในทันที เหล่านกกระจาบเมื่อได้ยินสัญญาณนั้น ก็บินขึ้นไปยังยอดไผ่พร้อมกัน ยกเอาตาข่ายขึ้นไปแขวนไว้ได้ ทำให้นายพรานไม่ได้นกกลับไปสักตัวหนึ่ง และยังต้องเสียเวลาแก้ตาข่ายออกจากยอดไผ่อีกด้วย เป็นอยู่เช่นนี้วันแล้ว วันเล่า
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ข้างฝ่ายนายพรานไม่ย่อท้อ ยังคงจ้องจับนกกระจาบอย่างนี้ ทุกวัน ทุกวัน ด้วยหวังว่า สักวัน เมื่อนกกระจาบขาดความสามัคคี เมื่อนั้นเขาจะได้นกกระจาบทั้งฝูงกลับไปฝากภรรยาเป็นแน่และแล้ววันของนายพรานก็มาถึง นกกระจาบตัวหนึ่งถลาร่อนหมายจะลงมายังพื้นดินหากแต่พลาดไปเหยียบเอาหัวของเพื่อนนกอีกตัวเข้า ทำให้นกตัวนั้นไม่พอใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่านกตัวแรกจะขอโทษอย่างไรก็ไม่ยอม เกิดการทะเลาะกันใหญ่โต หัวหน้านกกระจาบเห็นดังนั้น ก็นึกรู้ว่าวันนี้ หากนายพรานมา พวกนกทั้งหลาย จะไม่ยอมสามัคคีกันอีกเป็นแน่ จึงรวบรวมพรรคพวกที่เชื่อฟังหนีไปยังที่ปลอดภัย แล้วกลับมาเฝ้าสังเกตฝูงนกที่เหลืออยู่ ไม่นานนักนายพรานก็มาซุ่มรอดูเหล่านกกระจาบอีก เขาซุ่มจ้องคลุมตาข่ายอยู่หลังพุ่มไม้ เมื่อฝูงนกระจาบบินมาจิกกินอาหาร เขาจึงปล่อยสายป่าน ตาข่ายคลุมตัว ฝ่ายหัวหน้านกกระจาบเห็นดังนั้น จึงกล่าวคำสัญญาณ นายพรานเหวี่ยงตาข่ายแล้ว ขอให้พวกเราร่วมใจกัน พลันบินขึ้นไปในทันที เหล่านกกระจาบเมื่อได้ยินสัญญาณนั้น ต่างก็เกี่ยงงอนกันไม่มีใครยอมยกตาข่ายขึ้นเมื่อนายพรานเห็นดังนั้น จึงรีบวิ่งเข้ามาคว้าเอานกที่ขาดความสามัคคีนั้นไปได้ทั้งหมด 
ฝ่ายหัวหน้าฝูงนกกระจาบ เมื่อเห็นว่าตนช่วยเหลือเพื่อนผู้ไม่เชื่อฟังเหล่านั้นไม่ได้แล้ว จึงบินกลับไปยังที่ที่ปลอดภัย และใช้ชีวิตอยู่กับเหล่านกกระจาบที่เหลืออย่างมีความสุขตลอดจนสิ้นอายุขัย  (จากเว็บบ้านจอมยุทธ์  baanjomyut.com)
ใช่หรือไม่ เพราะพลังความสามัคคีที่นำความเข้มแข็งมาสู่สังคม มาสู่ชุมชน พลังสามัคคีจะเกิดขึ้นได้นั้นก็ต้องอาศัยพลังแห่งความศรัทธาร่วมกัน ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วนั้นก็จะเกิดพลังแห่งความเชื่อ เมื่อเชื่อแล้วก็ต้องมีพลังแห่งความรักเข้าไปขับเคลื่อนให้ออกมาสู่การปฏิบัติอันงดงาม ในโลกยุคแห่งการรีบเร่ง รวดเร็วและรวบรัด มักจะมองข้ามและมองพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน พลังเหล่านี้เป็นพลังเสริมที่สำคัญ แต่คนทั่วไปใช้เพียงพลังสมอง พลังทางร่างกายเพื่อเข้าสู่สนามแข่งขัน เพียงมุ่งมั่นหมายได้คว้าชัย ไม่นานก็อ่อนล้าอ่อนแรง แห้งเหี่ยวเครียดลงตับลงกระเพาะ กลายเป็นคนซึมเศร้า ไม่ร่าเริงไม่สดชื่น เห็นชีวิตเช่นนี้แล้ว นำมาเปรียบกับนกน้อยช่างเจรจายามเช้า ดูเหมือนว่านกน้อยดูจะมีความสุขมากกว่าเป็นไหนๆ และอีกไม่นานเราจะก้าวเข้าสู่ ปีแห่งความเชื่อ ตามที่สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ได้ทรงประกาศไว้ เราต้องเริ่มคิดทบทวนตัวเราเองว่า พลังแห่งความเชื่อของเรามีมากน้อยแค่ไหน ถ้าขาดหายไปเราก็ต้องเพิ่มเติมลงไป ส่วนใครที่มีพลังความเชื่อและยังรักษาไว้ได้อย่างมั่นคง ก็เปลี่ยนให้เป็นพลังแห่งรักและเมตตา เพราะจะไม่มีประโยชน์อันใดเลยถ้าเชื่อโดยไม่แสดงออก....

ไม่มีความคิดเห็น: