วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

รู้แล้วทำช้าก็ดีกว่า...รู้งี้


รู้แล้วทำช้าก็ดีกว่า...รู้งี้
เพิ่มวงปีชีวิตไปอีกหนึ่งวง ย่างสู่วัยที่เติบใหญ่ใจนิ่งมากขึ้น แต่ในหลายครั้งหลายหนบนทางเดินที่ไม่ราบเรียบของชีวิต มีอันต้องสะดุดล้มลงเนื่องมาจากสาเหตุของความใจร้อนใจเร็ว ไร้ความละเอียดรอบคอบ ก่อให้เกิดผลเสียต่อความรู้สึกของตนเองและผู้คนคุ้นชิน และพอเมื่อเหตุการณ์แย่ๆมันผ่านไป มีเวลามานั่งคิดได้ว่า รู้งี้ ... ไม่ทำอย่างนั้นดีกว่า คำว่า รู้งี้ กลายเป็นโรคหนึ่งของผู้คนทั่วไป ที่มักคิดเร็วทำอะไรเร็วเกินไป ตั้งตนอยู่ในความประมาท ซึ่งแน่นอนไม่มากก็น้อยเราล้วนผ่านการ รู้งี้ มีผู้เขียนสรุปโรคดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า..
อายุ 15 ... สอบเข้าโรงเรียนดีๆไม่ได้  ...  รู้งี้...น่าจะตั้งใจเรียน
อายุ 20 ... เลือกทางเดินชีวิตผิด  ... รู้งี้...น่าจะเลือกคณะที่ชอบ
อายุ 30 ... ถังเเตก  ...  รู้งี้...น่าจะออมเงินไว้บ้าง
อายุ 50 ... ถูก Early Retire ... รู้งี้...น่าจะเสี่ยงลงทุนทำอะไรของตัวเอง
ตาย ...  รู้งี้...รักษาสุขภาพดีกว่า
ยังมีอีกหลายต่อหลายอย่างที่เมื่อเราตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้ว กลับมานั่งพร่ำบ่นว่าไม่น่าทำลงไปเลย ชีวิตไม่มีปุ่ม Undo ที่จะย้อนมาลบล้างและเริ่มใหม่ มีคนพูดกันเล่นๆว่า ชีวิตคนเราทำผิดอยู่สองครั้ง คือ ครั้งแล้ว ครั้งเล่า แต่ใช่หรือไม่ เราก็เริ่มต้นครั้งใหม่ๆได้เสมอ มันไม่สำคัญว่า ชีวิตนี้เราจะพูด รู้งี้  สักกี่ครั้ง มันสำคัญที่ว่า รู้ แล้ว ทำ หรือเปล่า!!! อย่าให้ชีวิตนี้ของเราต้องมีแต่คำว่า รู้งี้ จนลมหายใจสุดท้าย รู้งี้ก็ยังไม่สาย รู้แล้วแก้ไข เดินในแนวทางที่ถูกต้อง ให้เหมาะกับจริตและนิสัยตัวเองก็จะสมหวัง มีสุข
ใช่หรือไม่ ในความสัมพันธ์ที่ขาดหาย และห่างเหิน ก็มาจากการกระทำที่ไม่คิดก่อน แล้ววันนี้ก็มานั่งเสียดาย เสียใจ เพราะการกลัวเสียหน้าในครั้งเก่าก่อนแท้ๆ รู้งี้จะไม่พูดจะไม่ทำให้อีกฝ่ายต้องเจ็บช้ำน้ำใจ รู้งี้จะไม่หลุดปากต่อว่าโดยไร้การตรวจสอบและซักถาม รู้งี้จะพูดจะสอนจะให้คำปรึกษาแบบดีๆไม่ผลีผลามตามอารมณ์ แต่สำหรับเราผู้ที่ทำไปแล้ว กลับมาสำนึกรู้ตัว น้อมรับความผิดคิดสั้นที่เราทำลงไป หัวใจสำคัญประการหนึ่งที่จะนำกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ คือ หัวใจของการให้อภัยกัน อภัยต่อตัวเองผู้ไร้ภูมิแต่อวดดีถือตัว น้อมรับในความบกพร่อง แล้วนั้น คำขอโทษ ก็จะออกมาเพื่อลบรอยความผิด นี่จึงเป็นหนทางเยี่ยวยาคำว่า รู้งี้ ที่ทำไปแล้วได้ บางครั้งเราอาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อยในการแก้ไขข้อผิดพลาด ถึงจะช้าไปบ้างแต่เมื่อมีการกลับใจ การให้อภัยก็จะเกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอน...
เมื่อพูดถึงเรื่อง รู้ เรามีความรู้กันมากขึ้น เพราะด้วยระบบเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้ความรู้ไกลๆตัวมาอยู่ตรงหน้าต่อตา เรามีข้อมูลมากขึ้นในการตัดสินใจตั้งมากมาย แต่เราก็มักข้ามเรื่องความละเอียด และไร้กระบวนการคิด แบบวิเคราะห์จนถึงขั้นสังเคราะห์ออกมาสู่การตัดสินใจเลือกหนทางที่ดีที่สุด และยังมีอคติก้อนใหญ่ที่แอบอ้าง อวดรู้ สู่รู้ นำสู่ความผิดพลาดครั้งใหญ่ นำความล้มเหลวและปราชัยมาให้ชีวิตได้ในที่สุด ความรู้ที่ดีนั้นต้องเป็นความรู้เพื่อเพิ่มพูนคุณธรรม และความงดงามให้บังเกิดขึ้นในจิตใจ อย่าเพียงรู้เพื่ออวดรู้ เพราะบางเรื่องเราทำไปแล้วอาจจะไม่มีสิทธิ์มาคิดว่า รู้งี้ ไม่ทำอย่างนั้นดีกว่า เหมือนอย่างเช่นนักศึกษาคนที่สาม...
มีนักศึกษาชายชาวอเมริกัน 3 คน ที่ได้เดินทางไปเที่ยวที่ประเทศแม็กซิโก  ในคืนหนึ่งทั้ง 3 คน ดื่มเหล้าในบาร์หนักไปหน่อย พอตอนเช้า ก็พบว่าทั้ง 3 คน ติดอยู่ในคุกและโดนตัดสินประหารชีวิตไปเรียบร้อย   แต่ทั้ง 3 คนไม่มีใครจำได้ว่าไปทำอะไรมาบ้าง เนื่องจากเมาจัด เลยเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ทำผิด 
ณ ลานประหาร นักศึกษาคนแรกถูกนำเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ไฟฟ้า เขาก็พูดสั่งเสียออกมาว่า 
ผมเป็นนักศึกษาจาก มหาวิทยาลัยแถบแกรนด์แคนยอน ผมเชื่อในพลังของพระเจ้าและเชื่อว่าพระเจ้าจะเข้าข้างผู้บริสุทธิ์
พอสิ้นเสียงเจ้าหน้าที่ก็สับสวิทช์เก้าอี้ไฟฟ้า ปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่เลยเชื่อว่าพระเจ้าไม่ต้องการให้นักศึกษาคนนี้ตายจึงปล่อยตัวไป 
เสร็จแล้วนักศึกษาคนที่ 2 ก็ถูกนำมานั่งเก้าอี้ไฟฟ้า แต่ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะสับสวิทช์ไฟ นักศึกษาคนที่ 2 ก็กล่าวมาว่า 
ผมเป็นนักศึกษากฎหมายอยู่ที่มหาวิทยาลัยอริโซน่า ผมเชื่อว่ากฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์จะเข้าข้างผู้บริสุทธิ์เสมอ” 
พูดจบเจ้าหน้าที่ก็สับสวิทช์ทันทีปรากฏว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่เชื่อว่ากฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องการให้ชายผู้นี้ตาย ก็เลยยอมปล่อยตัวไป 
หลังจากนั้นพอนักศึกษาคนที่ 3 ถูกนำมานั่งเก้าอี้ไฟฟ้าเขาก็กล่าวว่า 
ผมเป็นนักศึกษาวิศวะไฟฟ้าที่มหาวิทยาลัย (ด้วยจรรยาบรรณของดออกชื่อมหาลัย) และผมจะขอบอกพวกคุณว่า ถ้าพวกคุณไม่ต่อสายไฟ 2 เส้น ที่ขาดอยู่นั้นเข้าด้วยกัน เก้าอี้ไฟฟ้าตัวนี้ก็จะไม่มีวันใช้การได้เลย  
หลังจากนั้นอีก 5 นาที วิญญาณของนักศึกษาคนที่ 3 ก็ไปสู่สุขคติ  แล้วก็รำพึงรำพันกับตัวเองว่า รู้งี้ ไม่อวดรู้ ปากพล่อยบอกความลับไป นึกว่าจะรอดด้วยความรู้ แต่ความรู้กลับเป็นพิษเพราะรู้แบบไม่คิดนี่เอง” 
…. “รู้งี้  เป็นภาษาพูด ที่มาจากคำว่า รู้อย่างนี้....

ไม่มีความคิดเห็น: