วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ในเวลาที่เฝ้าดูและรอคอย


ในเวลาที่เฝ้าดูและรอคอย
ก่อนอื่นเลยต้องขอขอบคุณมิตรรักแฟนประจำคอลัมน์ ที่ได้อ่านงานเขียนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แล้วพบข้อผิดพลาดบางประการ แล้วมาแจ้งให้ทราบ ทั้งๆที่ขึ้นต้นด้วยเรื่องดาวศุกร์แต่จบท้ายเป็นดาวอังคาร.......ขอน้อมรับความผิดพลาดในความพลั้งเผลอโดยมิมีข้อแก้ตัวในครั้งนี้ด้วยครับ...
เคยสังเกตไหมว่าในชีวิตของเรานั้น มีเวลา มีจังหวะ ในทุกการเคลื่อนไหวมีเหตุผลประกอบบอกให้รู้ หรือแม้กระทั่งมีการส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้า แต่บ่อยครั้งเราละเลยมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไป ซึ่งเราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า สัญญาณแห่งกาลเวลา...
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
“สัญญาณแห่งกาลเวลา”นี้ หมายถึงอะไร บางคนคิดว่าคงเป็นเหตุการณ์ใหญ่ๆที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันนี้ เช่น การล่มสลายของเศรษฐกิจ (ขณะนี้เกิดขึ้นในประเทศทางยุโรป โดยเฉพาะกรีซและสเปน) การก่อการร้าย สงครามกลางเมือง อุบัติภัยของพายุ สึนามิ น้ำท่วมใหญ่ แผ่นดินไหว หรือ ภาวะโลกร้อน โรคระบาด หรืออาจจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในพระศาสนาจักร นี่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสัญญาณแห่งกาลเวลา  แต่ในความเป็นปัจเจก สัญญาณแห่งกาลเวลาของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางครั้งเราก็พบเจอมรสุมพายุร้ายพัดกระหน่ำเข้ามาในชีวิต เราต้องเฝ้าดูและรอคอยเวลาเพื่อให้สิ่งหนักๆผ่านไปด้วยความหวัง แต่ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะใจร้อน คิดเองเออเอง ตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่าง ขัดแย้งกับเครื่องหมาย สิ่งที่จะนำเราให้เข้าใจสัญญาณแห่งกาลเวลาได้นั้นเราต้องอาศัยความอดทนและความศรัทธาเป็นแกนหลัก
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ใช่หรือไม่...ในเวลาที่เราเฝ้าดูและรอคอยอะไรบางอย่างนั้น มันช่างทรมาน มันน่ารำคาญ หงุดหงิดใจที่ไม่เป็นดังหวัง จากประสบการณ์ของแต่ละคนที่ผ่านมาไม่มากก็น้อย มักถูกเข้าใจผิด ถูกผู้อื่นกล่าวหาให้ร้ายเสียหาย เราก็อยากจะอธิบายอย่างยิ่ง อยากจะแก้ตัวแก้ต่าง แต่บ่อยครั้งยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง ยิ่งแก้ยิ่งเหมือนสุมฟืนใส่กองไฟ การนิ่งเงียบและอาศัยความเพียรทน เพื่อพิสูจน์ความจริง ใช้ความซื่อสัตย์ในความดี ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลากว่าความจริงจะเปิดเผยออกมา อาจจะเจ็บปวดบ้างบางครั้งในระหว่างทางที่เฝ้าดูและรอคอย สิ่งสำคัญคือการเชื่อมั่นในองค์แห่งความดี เชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งความจริง เวลาของเรากับเวลาของพระเจ้าไม่เหมือนกันและพระองค์ย่อมมีเวลาให้เราพิสูจน์ความจริง ความดีงามได้เสมอ 
ในขณะเดียวกัน บ่อยครั้งเรามักจะเข้าใจผู้อื่นผิดๆ โดยใช้เพียงการได้ยินมา ได้รับข้อมูลฝ่ายเดียวเยอะกว่า และก็ตีความ ตีราคาค่าคนอื่นแบบผิดๆ พร้อมปิดประตูที่จะยอมรับฟังคำอธิบาย การที่เราตัดสินใจที่จะตัดสินคนๆหนึ่งว่า ผิด ถูก ประการใดนั้น ก่อนอื่นต้องทบทวนและวอนขอปรีชาญาณจากพระเจ้าเสมอ ต้องใช้มโนสำนึกและการวิเคราะห์ ไตร่ตรองถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างลึกซึ้ง อย่าใช้เพียงเชื่อเพราะได้ยิน อย่าเชื่อเพราะได้เห็น อย่าเชื่อเพราะเสียงเล่าลือเล่าอ้าง อย่าเชื่อเพราะอ่านข้อมูลข่าวสาร เพราะเอาเข้าจริง ข่าวสารเหล่านั้นกว่าจะถึงมือเราก็ต้องผ่านการแก้ไขแล้วแก้ไขอีกหลายต่อหลายรอบ อย่าเชื่อเพราะมีคนบอกต่อๆกันมา และอย่าเชื่อเพราะคนส่วนใหญ่เขาเชื่อกัน สิ่งเหล่านี้เป็นอันตรายต่อจิตวิญญาณของเราอย่างมาก เป็นเชื้อราเชื้อโรคร้ายสกัดกั้นไม่ให้เมล็ดพันธุ์แห่งความดีงามได้เติบโตในจิตวิญญาณของเรา
ในยุคสมัยใหม่ การไหลบ่าของข้อมูลมีมากมายจนกลายเป็นขยะก็มากล้น แต่คนก็กลับเลือกรับแบบง่ายดายไร้การไตร่ตรอง แล้วก็คิดเองว่าสิ่งที่ได้รับนั้นคือความจริงแท้ ที่เมื่อมีไว้ครอบครองแล้วจะสร้างความภูมิฐานได้เป็นอย่างดียิ่ง หารู้ไม่ว่า สิ่งนี้มันกลายเป็นกำแพงที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สูงจนกั้นไม่ให้สิ่งสวยงามไหลเข้ามา ยิ่งโลกในอนาคตถ้าเรายังดำเนินชีวิตบนเส้นทางของการเสพติดข่าวสารแบบเลือกข้างเลือกเชื่อด้วยแล้ว ยิ่งเป็นอันตราย เพราะนั่นหมายความว่าเรากำลังถูกปีศาจที่คอยอาศัยจังหวะที่เราหลงลืม ที่เราหย่อนยานและขาดความอดทน ช่วงที่เราไม่รอบคอบเข้าครอบครองนิสัยใจคอเราให้กลายเป็นคนที่ปฏิเสธความจริงเพียงเพื่อรักษาหน้า
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ในช่วงเวลาที่เราเฝ้าดูและรอคอยนั้น เป็นช่วงเวลาที่จะทำให้ความจริงคลี่คลายออกมา เมื่อถึงจังหวะ ถึงเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเข้าที่เข้าทาง จังหวะนั้นเราจะพบกับความสุขอย่างแท้จริง เหมือนยกภูเขาออกจากอก เบาเหมือนปุยนุ่น สิ่งที่จะทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ได้ต้องผ่านทางการให้อภัยกัน สนทนากันแบบมิตรสหาย เปิดใจเปิดปากคุยกัน เป็นการปรับเคลื่อนความเข้าใจให้ตรงกัน และหย่อนเมล็ดพันธุ์แห่งความจริง ใส่ปุ๋ยแห่งความรัก ลดน้ำใจลงไป ไม่นานต้นกล้าแห่งความจริงก็จะผลิบาน มันน่าเสียดายหากว่าเราปล่อยให้วันเวลาแห่งความเข้าใจผิดเดินทางไปสู่ความเกลียดชัง น่าเสียดายถ้าวันเวลาที่เดินผ่านไปมีแต่ความหักหลังชิงชังกัน โลกนี้ คนเรานั้น เกิดมาจากความรักด้วยกันทั้ง ทำไมปล่อยให้ความเกลียดโกรธจากความเข้าใจผิดเข้าครอบงำ ทั้งๆที่เรามีเวลาในโลกนี้เพื่อกันและกัน   
หมั่นสวดอธิษฐานวอนขอความปรีชาฉลาดให้สามารถอ่าน สัญญาณแห่งกาลเวลาในยุคสมัยของเรา เพื่อว่าเราจะได้ตีความหมายแห่งกาลเวลาได้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับโลกที่อยู่รอบตัวเรา ทั้งในฐานะบุคคลและในฐานะที่เป็นสมาชิกของโลกนี้และขอความกล้าหาญ ความอดทน เพื่อต้นกล้าน้อยๆจะค่อยๆเติบโตขึ้นบนหนทางที่จะรับใช้พระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง เรามิอาจจะหลีกหนีเวลาแห่งการขัดแย้งในชีวิตได้ เช่นเดียวกัน เราก็มีเวลาเพียงพอที่จะสร้างความรัก ความสามัคคี ให้เกิดขึ้นในชีวิตมิใช่หรือ....

ไม่มีความคิดเห็น: