วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

กรองอดีต


กรองอดีต
            ทุกคนย่อมมีอดีต แต่มีไม่น้อยที่เฝ้าจดจำ จมอยู่กับสิ่งที่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป บางคนยึดเหนี่ยวเกี่ยวรัดรักษาอดีตไว้จนแน่น แล้วก็เกิดความเจ็บปวดรวดร้าว เป็นรอยแผลลึกที่มิอาจจะเยียวยารักษา ไร้ภูมิและอ่อนแอทางอารมณ์ แต่สำหรับคนที่เข้มแข็งย่อมรู้จักที่จะเลือกเก็บนำเอาส่วนดีสิ่งที่งดงามในร่องรอยของอดีตที่ผ่านมา แน่ล่ะ..สิ่งที่ดีที่งดงามเหล่านั้นอาจจะมีไม่มาก แต่มันกลับสร้างพลังมหาศาล ทำให้ชีวิตเราลุกขึ้นทุกครั้งที่ล้มลง และก้าวเดินอย่างมั่นคง คนที่เป็นเช่นนี้ย่อมเรียนรู้ที่จะเก็บที่จะกรองเลือกให้เหลือสิ่งที่ดีๆมาใช้ในการดำเนินชีวิต ในวันนี้ อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบันทำให้เจ็บปวด กันเลย
สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว มักจะเก็บงำนำอดีตที่เลวร้ายใส่ไว้ในความทรงจำ เน้นย้ำจนเกิดความทุกข์ แล้วก็คาดหวังความสวยงามคงจะเกิดขึ้นในอนาคตโดยมิได้เรียนรู้เรื่องเก่าในวันวาน ก่อให้เกิดความกดดัน ความเครียดก็ถามหา ใช่หรือไม่ สิ่งที่ผ่านมาแล้วและสิ่งที่ยังมาไม่ถึง จะเป็นตัวบั่นทอนพละกำลังส่วนหนึ่งของความสุขชั้นดีเลยทีเดียว
เมื่อพูดถึง อดีต ความทรงจำ ก็ย่อมตามมา ทั้ง 2 สิ่ง คือ เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่ อดีต นั้น คือ เรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดที่เราไม่สามารถจดจำมันได้ทั้งหมดจะมีเพียงบางเรื่องเท่านั้นที่อยู่ใน ความทรงจำ อดีต เราเลือกไม่ได้ แต่สำหรับ ความทรงจำ บางเรื่องเราก็เลือกที่จะจำ แต่ก็มีบางเรื่องที่บันทึกอยู่ในความทรงจำของเราที่ไม่อยากจะจำกลับชอบย้อนมาตอกย้ำให้เจ็บช้ำเป็นประจำ พูดแบบสรุปตัดความ มีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่มีอยู่ในอดีตและมักผุดขึ้นมาในความทรงจำ นั่นคือ ความสุข และความทุกข์ ความสุข นั้น มักเป็น ความทรงจำ ที่เราเลือกจำ แต่ ความทุกข์ นั้นมักเป็น อดีต ที่ชอบแอบเข้ามาใน ความทรงจำ โดยที่เราไม่ได้อนุญาต เป็นความทรงจำที่ไม่อยากจำแต่ก็ต้องจำ เป็นอะไรที่อยากลืมแต่กลับจำและจำแม่นเสียด้วย...
มีผู้เปรียบไว้ว่าหาก ชีวิต เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง อดีต ก็คือ รากที่อยู่ใต้ดิน เปรียบได้กับ รากฝอย ที่มีอยู่มากมายในระดับผิวดิน ความทรงจำ คือ รากแก้ว มันหยั่งลึกลงดินอย่างแน่นหนา ถ้ารากดี รากแข็งแรง ต้นและใบก็ดี แต่ถ้ารากอ่อนแอ เป็นโรค ต้นไม้นั้นก็ไม่เติบโต ไม่แปลกอะไร ที่คนมองโลกในแง่ดี ส่วนใหญ่จะมาจากครอบครัวที่อบอุ่น ชีวิตในวัยเด็กของเขามีความทรงจำที่ดีที่งดงามมากมาย
เป็นความอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงประทานสิ่งนี้มาในชีวิตมนุษย์ กระทั่งนักวิทยาศาสตร์ก็ยังยากที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้ ที่ออสเตรเลียเคยมีการทดลองกับนักศึกษาจำนวน ๑๐๐ คน โดยให้แต่ละคนเลือกความนึกคิดมาหนึ่งเรื่องที่เขาไม่ชอบ แต่มักปรากฏขึ้นในจิตใจ จากนั้นก็ให้นักศึกษาครึ่งหนึ่ง กดข่มความคิดนั้นก่อนนอน ๕ นาที เมื่อตื่นขึ้นมาให้ทุกคนรีบเขียนบันทึกเกี่ยวกับความฝันในคืนนั้นทันที การวิเคราะห์พบว่า นักศึกษากลุ่มหลังนี้ฝันถึงความคิดดังกล่าวมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้กดข่มมัน  การทดลองนี้ยืนยันว่า ยิ่งอยากกำจัดความคิดหรือความทรงจำอย่างใดอย่างหนึ่ง มันยิ่งตามมารบกวนทั้งในยามตื่นและยามหลับ
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? การค้นพบทางด้านประสาทวิทยาอาจให้คำตอบในเรื่องนี้ได้ เมื่อประสบเหตุการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด โกรธแค้น หรือเศร้าโศก ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งไปกระตุ้นให้อามิกดาลา (สมองส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับอารมณ์) สั่งการให้มีการบันทึกความจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น ฮอร์โมนดังกล่าวหลั่งออกมามากเท่าไร ความจำในเรื่องนั้น ๆ ก็จะยิ่งฝังลึกโดยมีอารมณ์ความรู้สึกเข้าไปย้ำ 
อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดจากเหตุการณ์เหล่านั้นจึงเป็นตัวการสำคัญที่ตอกย้ำความทรงจำให้ประทับแน่นมากขึ้น ยิ่งเจ็บปวดมากเท่าไร ก็ยิ่งลืมเลือนได้ยาก แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนี้เท่านั้น ตอนที่หวนระลึกถึงเหตุการณ์นั้นอีก แล้วเราเกิดความรู้สึกเจ็บปวดตามมา แถมยังพยายามจะไปกำจัดมัน ความเครียดที่เกิดจากกระบวนการดังกล่าว ยิ่งทำให้ความทรงจำนั้นฝังลึกมากขึ้น
เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ในอดีตได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงท่าทีหรือความรู้สึกต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ แทนที่จะพยายามปฏิเสธมัน หรือผลักไส กดข่มความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านั้น เราลองหันมายอมรับมันหรือวางใจเป็นกลางกับมัน นั่งนิ่ง ๆ ทำใจให้สงบ แล้วค่อย ๆ นึกถึงเหตุการณ์นั้น เมื่อความรู้สึกเจ็บปวดเกิดขึ้น ก็ให้รับรู้เฉย เปิดใจต้อนรับเสมือนเป็นเพื่อนสนิทของเรา หากอยากร้องไห้ ก็ขอให้ร้องไห้ออกมา หากมีเพื่อนหรือประจักษ์พยานรับรู้ด้วยก็ยิ่งดี การที่เรากล้าเปิดเผยเรื่องราวเหล่านี้ให้เขาฟัง แสดงว่าเราทำใจยอมรับมันได้มากขึ้นแล้ว (คาทอลิกเราจึงมีศีลอภัยบาปไว้เพื่อสิ่งนี้) เมื่อใดก็ตามที่เราวางใจเป็นกลาง สงบ ไม่หวั่นไหวกับเหตุการณ์ในอดีต เหตุการณ์เหล่านั้นก็ไม่อาจโบยตีหรือหลอกหลอนเราได้อีกต่อไป มันอาจจะไม่เลือนรางในเร็ววัน แต่ก็จะรบกวนจิตใจเราน้อยลง ถึงจะมาปรากฏในมโนสำนึกอีก แต่ก็ไร้พิษสง ไม่ทำให้เราเจ็บปวดอีก แต่เดิมที่เคยเป็นเสมือนแผลเรื้อรัง ที่แตะต้องเมื่อไร ก็เจ็บเมื่อนั้น บัดนี้แผลได้สมานสนิท แม้จะเป็นแผลเป็น แต่ก็แตะต้องได้โดยไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป
ความทรงจำที่ผิดหวัง การถูกพลัดพราก การสูญเสียในอดีตนั้น ไม่จำเป็นต้องพ่วงมากับความรู้สึกเจ็บปวด โกรธแค้น เศร้าโศกเสมอไป และมันมิใช่สิ่งเลวร้ายไปเสียหมด แต่ยังสามารถเป็นต้นทุนที่เพิ่มประสบการณ์ชีวิต ทำให้เราเข้มแข็งและมีปัญญามากขึ้น หากว่าเรารู้จักที่จะกรองอดีต อย่าไปจดจำเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วเลย จงลุกขึ้น แบกแคร่กลับบ้าน...

ไม่มีความคิดเห็น: