วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ธนูดอกนั้น


ธนูดอกนั้น
หลังจากค่ำคืนวันคริสต์มาส อากาศในเมืองหลวงก็ลดลงจนสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็น หลายคนร่างกายปรับตัวไม่ได้ก็เป็นหวัด น้ำมูกไหล สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนจากร้อนไปสู่หนาวแบบพลิกขั้ว จากหน้ามือเป็นหลังมือ คนที่อ่อนแอไร้ภูมิต้านทาน ย่อมเจ็บป่วยง่ายเป็นธรรมดา รักษาร่างกายให้อบอุ่น มอบไออุ่นให้กันและกัน เพื่อว่าเราจะได้ข้ามสู่ปีใหม่อย่างแข็งแรงและเบิกบานไปด้วยกัน ..
เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ทำให้นึกถึงคำฮิตมากๆในขณะนี้ นั่นก็คือคำว่า  จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า  ประโยคสั้นๆที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในสังคมไซเบอร์ โซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ต่างก็นำไปใช้ไปเล่นกันอย่างสนุกสนาน หลายคนคงเคยเห็นเคยได้ยินมาบ้าง แต่ก็ยังงงๆว่ามันคืออะไร มันมาจากไหน ครั้งแรกที่เห็นที่ได้ยินก็คิดว่าคงมาจากบทหนังสักเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อเสาะหาที่มาที่ไป วลีฮิตที่   โดนธนูปักเข่านี้ แท้จริงแล้ว มันเริ่มมาจากในหมู่ผู้เล่นเกมส์ The Elder Scrolls V : Skyrim    ซึ่งผู้เล่นจะต้องผจญภัยและพบปะกับตัวละครต่างๆ มากมาย จนมาถึง NPC หรือตัวละครในเกมตัวหนึ่งที่มีคำพูดว่า  “I used to be an adventurer like you, then I took an arrow in the knee.” ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยประมาณว่า    เมื่อก่อนฉันก็เคยเป็นนักผจญภัยอย่างคุณ จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า เลยต้องมาเป็นยาม(นี่แหละ)
ถึงแม้ว่าประโยคนี้จะถูกนำมาใช้ มาเล่นๆ แบบขำขำ เพื่อประชดประชันเสียดสีในการกระทำที่ได้รับผลลัพธ์แบบสุดขั้ว จากหน้ามือเป็นหลังมือ หรือนำมาล้อเลียนประเภทว่า บบ้าง ะได้งมองไม่เห็นคุณค่าของชีวิตตนเองเราจะมองเห็นคุณค่าของผู้อื่นได้อย่างไรเล่าี่ของตนอย่างดีมิใช่หรือะยาน ละต่โดนเธอยิงธนูปแต่ก่อนฉันเคยรวย ตั้งแต่โดนธนูปักเข่าฉันเลยจนมาจนบัดนี้ หรือ แต่ก่อนฉันนั้นแสนดีแสนน่ารัก แต่โดนเธอยิงธนูปักที่เข่า ฉันเลยกลายเป็นคนเลวในสายตาเธอ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ก็มีสิ่งที่แฝงเร้นอยู่ในประโยคนี้ให้คิดให้พิจารณาถึงชีวิตที่ผ่านมาและกำลังจะแวะเวียนหมุนเปลี่ยนสู่ปีใหม่ได้เช่นกัน เป็นปรัชญาชีวิตเลยก็ว่าได้...
ใช่หรือไม่ ในสังคมที่เจริญด้วยวัตถุและมีเครื่องมือชี้วัดมาตรฐานผู้คนที่ยศถา บรรดาศักดิ์ ที่ตำแหน่งใหญ่โต โดยที่มิได้ใส่ใจในสาระของคนๆนั้น ใครที่ไม่มีตำแหน่งย่อมไม่มีแห่งหน ไม่มีที่ยืนในสังคม ใครที่ไม่มีหน้าที่การงานที่ใหญ่โตย่อมไม่ได้รับเกียรติ ทุกคนจึงจำต้องเป็นนักผจญภัย สู้ท่องไปในยุทธจักรเพื่อประกาศให้ทุกผู้คนยอมรับ เกิดการแก่งแย่งแข่งขันเอาเป็นเอาตาย ทำทุกวิธีการทุกวิถีทางเพื่อไปสู่ตำแหน่งที่ใหญ่กว่า สู่ยศที่มากกว่า โดยมีคำอ้างที่โก้หรูว่านี่คือความทะเยอทะยานและความกระตือรือร้น และแล้วเมื่อวันหนึ่งเกิดพลาดพลังพ่ายแพ้ ถูกธนูปักลงตรงเข่า ไม่สามารถเดินผจญภัยต่อไปได้ ต้องไปทำหน้าที่ที่ต่ำต้อยกว่า ไปอยู่ในฐานะที่ลดลง ก็รับสภาพไม่ได้ แล้วก็ได้แต่เฝ้าพร่ำบ่นโทษธนูดอกนั้นที่มาปักเข่าทำให้เสียสมดุลทำให้เสียหน้า แต่กลับไม่ได้มองเลยว่า แล้วถ้ามันเกิดไปปักที่หัวล่ะ ปักเข้าที่หัวใจหรือจุดตายจุดบอดเข้าล่ะ ชีวิตย่อมหาไม่ ดีเท่าไหร่แล้วมันเพียงปักแค่เข่า...
ใช่หรือไม่ คนเราวันนี้มักไม่ค่อยยอมรับความเป็นจริง การเป็นนายพลแล้วพ่ายแพ้การสงครามในทุกครั้งจะมีประโยชน์อันใดเล่า หากเป็นนายพลที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้ แต่เป็นยามที่ยอดเยี่ยมสามารถปกป้องผู้คนให้รอดปลอดภัยได้ แบบไหนมีคุณค่ามากกว่ากัน นี่ไงที่สังคมบูชายศบูชาคนที่เพียงเปลือกไม่ได้ลงไปถึงสาระของทุกผู้คน ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมีหน้าที่เช่นไร ทุกคนล้วนมีศักดิ์ศรีและความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน การหาตัวเองให้พบ การพบความจริงในชีวิตและวิถีแห่งตน เดินหน้าตามกระแสเรียกที่ได้รับมาอย่างดีที่สุด เป็นการยืนยันถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แท้แล้ว เรายกย่องคนที่หัวโขน เรายกย่องยกมือไหว้คนแค่เปลือกภายนอก เราศรัทธาคนอื่นที่ไหนล่ะ...สังคมเราอยู่ได้ถึงทุกวันนี้มาจากคนเล็กๆ คนธรรมดาๆที่ช่วยกันขับเคลื่อนด้วยการทำตามหน้าที่ของตนอย่างดีตลอดมามิใช่หรือ เช่นนี้แล้วเรายังจะกล้าดูถูกผู้อื่นว่าต่ำต้อยต่ำเตี้ยกว่าเราอีกหรือ เช่นนี้แล้วพระเยซูผู้ไถ่กู้ เหตุไฉนเลือกบังเกิดมาในที่ที่ยากไร้ยากจน หากเรามองคนอื่นที่คำนำหน้า ที่ตำแหน่ง ที่เครื่องแบบสวมใส่เพียงอย่างเดียว เราจะมองพระองค์เยี่ยงไรเล่า....
ในชีวิตของเราแต่ละคนย่อมมีจุดที่พลิกผันกันได้เสมอ แล้วไอ้ธนูดอกนั้นที่มันมาปักที่เข่าเรา อาจจะทำให้เราค้นพบตัวเราก็ได้... ใช่หรือไม่
หากเราไม่เคยพบกับความผิดหวัง แล้วเราจะเห็นค่าของความสำเร็จได้อย่างไร
หากเราไม่พบกับความยากจน แล้วเราจะเห็นคุณค่าของเงินทองที่หาได้หรือ
หากเราไม่พบกับการหลอกลวง เราเลยหรือที่จะรู้จักรักแท้และมิตรภาพที่ถาวร
หากเราไม่เคยพบกับอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิต เราจะมีอะไรเป็นภูมิต้านทานทุกข์ สู้กับปัญหาที่มีอยู่ทุกลมหายใจ..
หากเราไม่เคยพบกับการดูถูก เราจะเห็นค่าของตัวเองได้อย่างไร
แล้วหากว่าเราไม่ศรัทธาในตัวเอง เราจะให้อภัยใครได้เล่า...
ธนูดอกนั้น บางคนอาจจะถูกยิงถูกปักครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็สามารถทนพิษบาดแผลได้และหายกลับมายืนเผชิญหน้าท้าทายสู้กับความทุกข์ยากในชีวิตต่อไปได้ ปีใหม่กำลังจะผ่านเข้ามา วันเวลาจะผ่านไป เราเห็นศักดิ์ศรีและคุณค่าของชีวิตเรามากแค่ไหน หากว่าเรายังมองไม่เห็นคุณค่าของชีวิตตนเองเราจะมองเห็นคุณค่าของผู้อื่นได้อย่างไรเล่า อย่าไปโทษธนูดอกนั้นเลย แต่ต้องขอบคุณมันที่เพียงปักลงบนเข่า มิใช่ปักลงมาที่หัว ไม่เช่นนั้นแล้วชีวิตเราก็จะไม่เหลือวันเวลา ที่จะลุกขึ้นยืนบนความหวังใหม่ในปีใหม่เช่นนี้ได้อีกต่อไป
http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20

วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554

รำพึงถึงองค์กุมารน้อย..


รำพึงถึงองค์กุมารน้อย..กลางความหนาวเย็น
ท่ามกลางความวุ่นวายของเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมีทั้งสุขและทุกข์ มีทั้งรอยยิ้มและรอยโศก มีทั้งที่รู้สาเหตุและไม่ทราบสาเหตุ มีบางเรื่องราวที่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจเราผิดแบบไม่รู้ตัว หรือเราเข้าใจคนอื่นผิดแบบไม่รู้เรื่อง... บางเรื่องราวบางเหตุการณ์เข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัวและเตรียมใจ นำมาซึ่งความเศร้าสะเทือนใจ ยามอยู่โดดเดี่ยวคนเดียวรู้สึกระทดท้อต่อสิ่งที่พบเจอและปะทะใส่ ในชีวิตเราหากคาดหวังและวาดหวังมากเกินไป ถ้าพบทุกข์ก็ทุกข์อย่างหนักยิ่งเป็นธรรมดา และที่แปลกไม่น้อยในเมื่อเราผ่านทั้งสุขและทุกข์ แต่เราก็มักจะจดจำและจมจ่อมอยู่กับความทุกข์เสียเป็นส่วนใหญ่
บางวันที่ถอดหมวก

จึงมีบ่อยครั้งไปที่เราพยายามหลีกหนีจากความเจ็บปวดใจไปพักกายพักใจ ไปอยู่กับธรรมชาติ อยู่กับความธรรมดาเพื่อเยียวยารักษาอาการบาดเจ็บ กลางหุบเขา กลางป่าดงพงไม้ ชายหาดริมทะเล ข้างๆลำธารใสไหลเย็น จึงเป็นที่แสวงหาความสงบสุขทางจิตใจ แม้จะเพียงชั่วครู่ชั่วยาม แต่เอาเข้าจริงมีใครบ้างที่ไม่เคยคิดจะใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่กับต้นไม้ป่าเขา สายลมแสงแดด แม่น้ำลำธาร เพราะเราล้วนมาจากที่เดียวกันของทุกสรรพสิ่งสร้างมิใช่หรือ...
ดอกพู่นายพล

วังน้ำเขียว คือเป้าหมายของการเดินทางสู่ความธรรมดาในครั้งนี้ ท่ามกลางเทือกเขาเขียวที่มีลักษณะเป็นอ่าวกระทะ จึงทำให้บริเวณนี้อากาศดีตลอดทั้งปี บางคนถึงกับขนานนามว่า สวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน จึงทำให้ที่นี่มีคนมุ่งหมายจับจองถือครองความเป็นเจ้าของ เพื่อสร้างที่พักตากอากาศ ทำไปทำมากลายเป็นธุรกิจท่องเที่ยว ที่มีผู้เข้าพักเต็มตลอดทั้งปี แล้วเมื่อความจริงปรากฏ พื้นที่ตรงนี้ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่าสงวน มีคนบุกรุกไปปลูกที่พักรีสอร์ตมากมาย จนต้องมีการฟ้องร้องและรื้อถอนตามที่เป็นข่าว
แต่การไปครั้งนี้ได้ไปพักในบ้านของคนรู้จักท่านหนึ่ง ที่พักถูกปกคลุมด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก มีโอกาสเข้าไปในไร่ในสวนของเจ้าบ้าน ได้กินได้เด็ดผลไม้สดๆจากต้น เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของชีวิตที่แสนธรรมดาท่ามกลางธรรมชาติ และแล้วความเย็นยะเยือกก็กล้ำกรายเข้าแทรกสู่อณูผิวยามค่ำคืน เสียงเพลงเก่าๆรุ่นก่อนๆของเจ้าถิ่น ขับกล่อมบรรเลงเป็นเพื่อนร่วมกับความหนาวเย็น นี่ขนาดที่พักมีผ้าห่มอย่างหนาหลายๆผืนใช้ห่อหุ้มกาย แต่ก็ช่วยให้อบอุ่นขึ้นบ้างในระดับหนึ่ง แล้วในค่ำคืนนั้นเล่า...!!!!!
ยามค่ำวังน้ำเขียว

 ในเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คน เสียงเพลงจากทุกพื้นที่ที่ผู้คนมากหน้าหลายตาได้มีโอกาสกลับมาพบเจอกัน ดูแล้วช่างมีแต่ความครื้นเครง แล้วใครจะรู้ล่ะว่า ยังมีชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งกำลังดิ้นรนเพื่อหาที่พัก หาที่พึ่งให้ทารกคนหนึ่งที่กำลังจะเกิดมา หลายคนมีกองไฟเพื่อไล่ความหนาว ชายหนุ่มมีแต่กองไฟในใจที่รุ่มร้อน เที่ยวหาที่หาทางให้หญิงสาวผู้น่าสงสารได้คลอดลูก หันไปทางไหนก็เต็ม ใช่หรือไม่ เพราะคำสั่งเพื่อให้ทำสำมะโนประชากรนั้น จึงทำให้เมืองทั้งเมืองดูวุ่นวายและเต็มไปด้วยผู้คน ที่สุดแล้ว...เพียงที่เล็กๆพอที่จะซุกกาย เพื่อให้ทารกได้ลืมตาดูโลกได้อย่างปลอดภัย แต่สำหรับมารีย์และยอแซฟที่รู้อยู่เต็มอกว่า นี่คือกุมารน้อยจอมราชา มีที่ประสูติเยี่ยงนี้หรือ ทั้งสองย่อมจะต้องเศร้าใจอย่างยิ่ง แต่โดยอาศัยความเชื่อทั้งสองก็เข้าใจว่าทุกสิ่งอันนั้นคือแผนการอันศักดิ์สิทธิ์ แล้วเราล่ะ...ในชีวิตนี้คิดแบบนั้นบ้างหรือเปล่า หรือใยเฝ้าแต่โทษคนโน้นคนนี้โทษโชคชะตาในความยากลำบาก ไม่มีความมั่นใจในองค์พระเจ้าผู้เป็นเจ้าของชีวิตเราเลยแม้สักนิด...
ทารกน้อยเกิดมาท่ามกลางความหนาวเย็น แต่มีไออุ่นจากพ่อ จากแม่ มีไออุ่นจากลมหายใจของบรรดาสัตว์เลี้ยงในบริเวณนั้น ได้อาศัยไฟฟืนจากผู้ต่ำต้อยคนเลี้ยงสัตว์ที่มาเยือนในค่ำคืนนั้น ชีวิตธรรมดาเกิดมาท่ามกลางธรรมชาติแม้จะเหน็บหนาวแต่อบอุ่นด้วยความจริงใจใสซื่อบริสุทธิ์ ทารกผู้บังเกิดมาเพื่อทุกคนแต่มีเพียงไม่กี่คนที่มาต้อนรับ ความยิ่งใหญ่หาใช่อยู่ที่การต้อนรับอันใหญ่โต หาใช่การจัดงานฉลองเฉลิม แต่ความยิ่งใหญ่ต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำและวันเวลาเสมอ ความหนาวเย็นไม่เป็นอุปสรรคแห่งการไถ่กู้ ความหนาวเย็นกลางทุ่งเลี้ยงสัตว์ไม่ได้ทำให้หัวใจของผู้ร่วมแผนการไถ่กู้ระทดท้อ ความหนาวเย็นทางกายหาทางแก้ไขด้วยฟืนไฟ ความหนาวเย็นทางใจมีแต่เพียงไออุ่นของความรักและความจริงใจที่ส่งผ่านให้กันเท่านั้นที่จะเยียวยารักษาได้
องุ่นสดจากไร่


ทารกน้อยเกิดมาเพื่อทุกคนแต่มีเพียงไม่กี่คนมาหามาเยี่ยมเยือน ทารกน้อยเกิดมาเพื่อทุกคนแต่วันหนึ่งข้างหน้า จะมีสักกี่คนที่จะยืนเคียงข้าง แล้วเราล่ะ...เกิดมาเพื่อใครบ้าง? ยืนเคียงข้างใครบ้าง? จริงใจและจริงจังต่อใครบ้าง? ชีวิตที่เหน็บหนาวเพราะไร้ไออุ่นจากห้วงลึกภายในหรือเปล่า โอ้...ความหนาวในค่ำคืนกลางหุบเขา ได้ช่วยบรรเทาความเศร้าสะเทือนใจ แล้วยิ่งได้รำพึงถึงองค์กุมารน้อย ความทุกข์เราหรือจะเทียบเท่าทุกข์ของค่ำคืนแห่งการบังเกิดมาของพระเยซูคริสตเจ้าได้ แล้วความทุกข์ยากลำบากนั้นวันนี้ได้รับการฉลองเฉลิมอย่างยิ่งใหญ่และหรรษายิ่งนัก เมื่อความทุกข์ผ่านพ้นความสุขก็จะคืนมา ถ้าเรามีใจที่พร้อมจะให้ ให้อภัยแก่ผู้อื่น...ให้อภัยแก่ตัวเอง...
http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หรือทิ้งไว้เพียงแค่ขยะ


หรือทิ้งไว้เพียงแค่ขยะ
น้ำลดตอผุด สำนวนไทยที่ได้ยินมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ แต่ในยุคสมัยของเรา ตอไม้นั้นหายากยิ่ง เพราะถูกตัดถูกโค่นจนกลายเป็นต้นตอหนึ่งของสาเหตุน้ำท่วมเมือง วันนี้พอน้ำลด น้ำแห้งเรากลับเห็นขยะผุดเต็มบ้านเต็มเมืองแทนตอไม้ ภาพกองขยะริมสองข้างทางระหว่างไปเยี่ยมบ้านพี่สาวหลังน้ำลดไปหมาดๆในย่านดอนเมือง ถนนสรงประภาที่เคยกว้างขวางบัดนี้ยังไม่พอสำหรับขยะที่ล้นเหลือ กองเป็นภูเขาเลากา กองยาวเหยียดจวบจนถึงทางเข้าหน้าหมู่บ้าน ทางกรุงเทพฯประกาศว่าจะจัดการขยะให้เสร็จภายใน 24 ชั่วโมง แต่พอเอาเข้าจริงก็เก็บได้ไม่ถึงครึ่ง เพราะตามหมู่บ้านที่รถขยะเข้าไม่ได้ ชาวบ้านก็ขนมากองๆไว้ที่ถนนสรงประภาเพื่อให้ กทม.เก็บไปอีกที (ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว)

ขยะนั้นมีมากมายจริงๆตั้งแต่ถุงพลาสติกเล็กๆ กระดาษ ที่นอนเก่าๆ ตู้ เตียงและเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ต่างๆมากมาย โอ้... เรามีของที่พร้อมจะกลายเป็นขยะมากขนาดนี้เลยหรือ คิดถึงบ้านที่อาศัยของตัวเองที่รอดพ้นจากภาวะน้ำท่วม ของที่วางไว้เฉยๆก็มากมี ของเก่าเก็บก็มากหลาย ของที่พร้อมจะถูกทำลายแต่เจ้าของยังไม่พร้อมจะสูญเสียก็ใช่น้อย สิ่งเหล่านี้มันคือวัตถุภายนอกที่เราต่างสะสมไว้นานปีดีดัก จนบางชิ้นบางสิ่งหลงลืมไปแล้วว่าเคยมีอยู่มีใช้ น้ำมาพาให้เราพบของบางสิ่งที่เหลือใช้ หรือที่จัดหามาแล้วไม่ได้ใช้ กลายเป็นวัตถุเสื่อมค่า นอนนิ่งๆวางไว้ให้เปลืองพื้นที่โลกใบนี้...
น้ำท่วมครั้งนี้อาจจะทำให้หลายคนสูญเสียสิ่งที่สะสมไว้ บางสิ่งอาจจะเสียหาย แต่มองโลกในเชิงปลอบประโลม เหตุการณ์ครั้งนี้ก็อาจจะเป็นการปรับสมดุลในการดำรงชีวิตของผู้คนผู้หลงไปกับวัตถุ ปรับสมดุลในการใช้สิ่งของที่อาจจะมากเกินตัวตามยุคสมัยบริโภคนิยม อาจจะปรับสมดุลทางจิตใจของหลายคนให้คำนึงถึงความไม่เที่ยงแท้ของสรรพสิ่ง และทำให้เข้าใจสรรพสิ่งสร้างที่พระเจ้าทรงมอบให้โลก หาได้มอบให้กับใครคนหนึ่งคนใดเก็บไว้ใช้เพียงลำพัง มองในมุมแห่งความเชื่อแล้ว ใช่หรือไม่ พระเจ้ามิทรงทอดทิ้งเรา พระองค์กำลังสอนเรา และทรงพระเมตตาผ่านทางมนุษย์ด้วยกัน จากที่เคยสุขกับการเก็บสะสมเงินทองก็มารับรู้ถึงการที่มิอาจจะใช้เงินซื้อสิ่งของได้ มิอาจจะใช้เงินเป็นสินบนกับน้ำมิให้ท่วมถึงบ้านช่องของตัวเองได้ สำหรับผู้ทุกข์ยากลำบากอยู่แล้ว ยิ่งดูเหมือนถูกซ้ำเติม แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ นี่ก็เป็นการพิสูจน์ความเข้มแข็งและความมั่นคงของจิตใจ สอนให้เราเป็นผู้ดูแลผู้อื่น แม้ว่ายากไร้แต่หาได้ไร้ค่าเสมอไปไม่ เรามีภูมิที่ต้านแรงเสียดทุกข์ได้อย่างสบาย...
หลังน้ำลดผู้คนเริ่มกลับเข้าสู่บ้านเก่า ได้เห็นสภาพบ้านแบบใหม่ๆในพื้นที่เดิมๆ แผนการปรับปรุง ฟื้นฟู ซ่อมแซม เริ่มก่อเกิด ซึ่งแน่นอนอาจจะคิดเลยไปถึงการป้องกันสำหรับปีต่อๆไปไว้ด้วย อย่างน้อยบทเรียนการรับมือกับน้ำก็มีมากขึ้น การเก็บกวาดขยะคือสิ่งแรกที่ต้องทำ ฉะนั้นแล้วจึงไม่แปลกอะไรที่ขยะในแต่ละชุมชนจึงมีมากเหลือเกิน บ้านแต่ละหลังขยะมีมิใช่น้อย กว่าจะปรับสภาพบ้านใหม่ก็ต้องใช้เวลา มันก็เหมือนกับการจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นก็ต้องใช้เวลา แต่สิ่งแรกที่ต้องทำคือจัดการกับสิ่งเน่าเสีย  ขยะ ในชีวิตก่อน...
เมื่อเห็นกองขยะกองแล้วกองเล่าไหลผ่านเข้ามาในโสตประสาทขณะขับรถ มีหลายสิ่งที่ไหลเข้าพร้อมๆกัน มีคำถามคำถามหนึ่งดังก้องขึ้นในใจว่า แล้วหลังจากชีวิตของเราในโลกนี้ดับสูญไปแล้ว อะไรที่ผุดขึ้นมา ใช่ขยะที่สะสมหมักหมมมานานหรือเปล่า ความไม่ดีในชีวิตที่โถมทับไว้หลายสิบปีหรือไม่ หรือว่า...เป็นสิ่งที่งดงามสดใส ทิ้งไว้ซึ่งคุณงามความดีให้ผู้คนกล่าวถึง นึกแล้วก็เสียวสันหลังว่า เราจะมีสิ่งใดให้คนกล่าวถึง หรือมีสิ่งใดมอบไว้เป็นที่จารึกให้กับผู้เป็นผู้อยู่ภายหลังเราบ้าง
แล้วตอนมีชีวิตล่ะ มิตรภาพที่หล่นหาย เพื่อนพี่น้องมากมีที่จากลากัน เพราะความขัดแย้ง เพราะรอยบาดหมางที่ยากจะประสาน เพราะความเห็นที่แตกต่าง หรือเพราะการถูกทรยศหักหลังโดยไม่ทราบสาเหตุ เราต่างก็ทิ้งขยะแห่งความโกรธเคือง ขัดข้องหมองใจต่อกัน มีคนเคยกล่าวไว้มาก โลกนี้กว้างใหญ่ แต่มิตรภาพนั้นมโหราฬ แต่ว่าขณะนี้ เหลียวไปทางใด เพื่อนแท้สักคนช่างหาได้ยากยิ่ง โลกวันนี้ดูจะแคบลง มิตรภาพหลงหาย หดตัวเหลือน้อย เป็นเพราะเราต่างคนต่างก็คิดว่าเป็นผู้ฉลาดล้ำเหลือ เก่งกาจ ครอบโลกครอบครองชีวิตตัวเองและผู้อื่นได้  เมื่อทุกคนถือครองคติเดียวกัน สังคมเราจึงเต็มไปด้วยการไม่ยอมกัน ไม่มีรักและไร้แล้งการให้อภัย ใช่หรือ... ที่เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพากัน ไม่ต้องอาศัยกันและกัน วันนี้ผู้คนมีจำนวนไม่น้อยต่างดูถูกดูแคลนน้ำใจผู้อื่นโดยใช้มาตรฐานส่วนตัวว่า ทุกคนทำอะไรโดยหวังสิ่งตอบแทนกันทั้งนั้น แต่เราก็ลืมนึกไปว่า เมื่อเราได้รับก็ต้องให้กลับผู้อื่นบ้าง สิ่งตอบแทน คือ ความหวังดี คือความสุขที่ได้มอบให้  โลกใบนี้จึงจะกว้าง มิตรภาพจึงมากมาย หรือว่าเราจะปล่อยให้โลกนี้มีแต่ขยะแห่งความเกลียดชังและแค้นเคือง
พระเยซูเจ้าผู้ทรงบังเกิดมานั้นก็เพื่อมอบความรักและการอภัย แล้วเราที่เกิดมามีชีวิตอยู่ ผ่านไปปีแล้วปีเล่า เก่าไปใหม่กำลังจะมา เราสะสมอะไรไว้ในชีวิต กองขยะเน่าเหม็นหรือคุณงามความดีที่มอบให้กัน เพื่อส่งให้เกิดดอกผลไปจนรุ่นลูกรุ่นหลาน ชีวิตนี้หรือเพียงแค่กองขยะเน่าๆ คงไม่ใช่แน่ๆ ฉะนั้น อย่าทำให้ชีวิตเป็นขยะ แต่จงทำให้ชีวิตมีความดีเกิดขึ้นทุกขณะจะดีกว่า....

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มีชีวิตเพื่อสู้


มีชีวิตเพื่อสู้
ถ้าเป็นในสภาวะปกติเวลาใกล้ๆสิ้นปีแบบนี้ หลายคนคงมีหัวใจที่ฟูฟ่อง ร่าเริง เพื่อเตรียมรับรางวัลแห่งความเหน็ดเหนื่อยมาตลอดปี แต่สำหรับปีนี้ดูเหมือนว่าเป็นปีที่เศร้าของคนหลายๆคนที่ต้องตกอยู่ในสภาพวิกฤต จมอยู่ใต้น้ำนานนับเดือน ทำให้หัวใจท้อแท้สิ้นหวัง ยากที่จะกู้กลับมาใหม่ แต่ว่า ชีวิตของเรานี้มีเพื่อสู้ ดังนั้นวันนี้ขอนำเอาตัวอย่างของคนสู้ชีวิตผู้มีหัวใจร่าเริง เพื่อเป็นกำลังใจให้ทุกคน สู้สู้ยิ้มรับปีใหม่ด้วยกัน...
ชายคนหนึ่งเคยมีชีวิตที่สะดวกสบาย เคยมีบ้านหลังใหญ่โต มีรถหลายคัน บัดนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ธุรกิจที่เคยสร้างกำไรอย่างงามของเขาล้มละลายหมดสิ้น เขาไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว นอกจากลูกสาวตัวเล็กๆ สุดที่รักเพียงคนเดียว  วันหนึ่งลูกสาวของเขากลับมาจากโรงเรียน เธอวิ่งเข้ามาหาพ่อแล้วโอบกอดด้วยความรักใคร่ พ่อของเด็กกอดตอบและฝืนยิ้มให้ลูกสาวอย่างยากเย็น
      “พ่อยิ้มแบบนี้แล้วหน้าของพ่อเหมือนจะร้องไห้ ลูกไม่อยากให้พ่อร้องไห้ เด็กหญิงพูด ผู้เป็นพ่อหัวเราะเยาะกับชะตากรรมของตนเอง ก่อนจะบอกลูกสาวว่า พ่อก็อยากร้องไห้เหมือนกันล่ะลูก” “ร้องไห้ทำไม ไม่เห็นเศร้าอะไร ลูกมีความสุขดีจ้ะพ่อ เด็กหญิงตอบยิ้มๆ ผู้เป็นพ่อแปลกใจ จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อพ่อทำให้ชีวิตลูกลำบากถึงเพียงนี้” “ลูกมีความสุขเพราะลูกมีพ่อ เมื่อก่อนตอนเราร่ำรวยนั้น พ่อไม่เคยอยู่ที่บ้านของเราเลย ตอนนี้เราไม่มีบ้านแล้ว แต่ลูกได้พ่อคืนมา ลูกถึงมีความสุขอย่างไรล่ะจ๊ะ เด็กหญิงตอบอย่างชื่นบาน

       ผู้เป็นพ่อนิ่งไปครู่หนึ่งกับคำตอบของลูกสาว ก่อนจะพูดขึ้นว่า แต่พ่ออยากทำชีวิตของเราให้ดีกว่านี้ พ่ออยากให้ลูกมีอนาคต จะได้เรียนสูงๆ” “พ่อทำได้นี่ ไม่ยากหรอกจ้ะ สำหรับพ่อของลูก เด็กหญิงว่าอย่างไร้เดียงสา พ่อ...ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร พ่อไม่เหลือทุนให้กับธุรกิจใหม่อีกแล้ว พ่อละอายใจเหลือเกิน  ผู้เป็นพ่อคร่ำครวญ
      “มีคุณลุงคนหนึ่งอยู่ข้างๆ โรงเรียนของหนู เขาเป็นคนที่ทำงานเก่งมากแล้วใจดีด้วย เวลาใครไม่สบายใจแล้วไปหาเขา เขาก็จะช่วยให้คนๆ นั้นสบายใจ พ่อลองไปหาเขาสิจ๊ะ เด็กหญิงว่า... เช้าวันรุ่งขึ้น ผู้เป็นพ่อจึงไปบ้านของชายคนดังกล่าว ดูภายนอกก็เป็นบ้านขนาดกะทัดรัดธรรมดาๆ หลังหนึ่งเท่านั้น ขณะนั้นเองมีหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่งเดินมาที่รั้วหน้าบ้านแล้วถามเขาว่าต้องการพบใคร ชายผู้นี้จึงเล่าเรื่องที่ได้รับรู้มาจากลูกสาวของตนให้หญิงคนนั้นฟัง เธอฟังอย่างสงบแล้วยิ้มน้อยๆ เดี๋ยวดิฉันจะเข้าไปบอกสามีของดิฉันให้ ไม่ทราบว่าเขากำลังทำงานอยู่รึเปล่านะค่ะ แล้วเธอก็เดินหายไปในห้องๆ หนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ กันกับห้องรับแขก
       “เชิญคุณเข้าไปหาสามีดิฉันเถอะ เขาอยากคุยกับคุณค่ะชายผู้นี้เดินเก้ๆ กังๆ เข้าไปในห้องของสามีเธอ เขาคาดว่าห้องนั้นน่าจะเป็นห้องทำงาน ที่มีเอกสารทางธุรกิจมากมายวางสุมอยู่ แต่...ไม่ใช่เลย เพราะห้องนี้เป็นเพียงห้องนอนธรรมดาๆ และมีชายพิการคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงเท่านั้น เอ่อ... ชายผู้นี้ไม่รู้จะพูดอะไรดี เขารู้สึกมึนงงกับสถานการณ์ตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่าชายพิการจะเข้าใจอะไรๆ ได้ดีมากทีเดียว เขามองผู้มาเยือนแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนเชื้อเชิญให้ชายคนนั้นนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งวางอยู่ข้างๆ เตียง
ผมได้ข่าวจากลูกสาวว่า... ชายผู้มาเยือนกล่าวอย่างติดๆ ขัดๆ เขาชักไม่แน่ใจ... หลายสิบปีมาแล้ว วันหนึ่งผมตื่นขึ้นมาพบว่าขาของผมแข็งทื่อจนขยับไม่ได้ แม้รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ต่อมาอาการแข็งทื่อก็ลุกลามมาถึงเอว ลำตัว และมือของผม จนในที่สุดผมก็เคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้ ต้องนอนแช่อยู่แต่บนเตียงอย่างที่คุณเห็นนี่แหละชายพิการเริ่มเรื่องด้วยการเล่าถึงสาเหตุแห่งความพิการ
       “หลังจากเป็นแบบนี้ ผมก็ต้องออกจากที่ทำงานเก่า แล้วเริ่มทำงานขายประกัน ชายพิการตอบยิ้มๆ ถึงแม้ผมจะไปไหนมาไหนไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องนอนมองเพดานอย่างเดียวเสียเมื่อไร ถึงผมจะพิการแต่หัวใจผมยังแข็งแรงดี ผมจึงคิดที่จะทำนั่นทำนี่ แม้ว่าตัวเองจะเคลื่อนไหวไม่ได้ พูดจบชายพิการก็หันไปทางโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ หัวเตียง ผมใช้โทรศัพท์นี่คุยติดต่อกับลูกค้า โดยให้ภรรยาช่วยถือหูให้ ซึ่งลูกค้าของผมก็ยินดีที่จะติดต่อกับผมด้วยวิธีนี้ เพราะฉะนั้นอะไร ๆ มันก็เลยง่ายขึ้น
       “ทำไมคุณต้องดิ้นรนตัวเองขนาดนี้ หากคุณเอาแต่นอนก็ไม่มีใครว่าอะไรคุณหรอก ชายผู้มาเยือนว่า ผมยังเชื่อมั่นในสมองของผม คุณคิดว่าคนเรามีชีวิตอยู่ได้เพราะกำลังกายหรือ... เปล่าเลย คนเราอยู่ได้เพราะกำลังใจ แม้จะมีแขนขาที่กำยำล่ำสันเพียงไร แต่ถ้าไร้กำลังใจ แขนขานั้นก็ไร้ความหมาย ผมเป็นอย่างนี้ ใช่ว่าไม่เคยเสียใจ แต่ถ้าเอาแต่เสียใจ ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้น ผมว่าผมสู้ดีกว่า... ชายพิการเหลือบตามองขึ้นไปทางผนังเหนือหัวเตียงของเขา มีกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่อย่างง่ายๆ นั่นคือคติพจน์ในการมีชีวิตอยู่ของผม ข้อแรกคือ อย่าวิตกกังวล และข้อสองคือ ถึงป่วยไข้ก็อย่าหมดกำลังใจ
      “ผมนั้นไม่เคยท้อถอยโดยเหตุที่ใช้มือไม่ได้เลย แน่นอนว่าสิ่งที่ผมเป็นอยู่นี้ทำให้ผมทำงานไม่ได้ และยิ่งลำบากมากในการติดต่อธุรกิจการงาน แต่ถ้าเราสู้ต่อไป และค่อยๆ คิดหาวิธีแก้ไขสิ่งบกพร่องนี้ เราก็จะทำอะไรได้ตามที่ตั้งใจไว้...ถ้าคุณจำต้องเสียอะไรไปและเอาคืนกลับมาไม่ได้ ก็ช่างมันเถอะ แต่อย่ายอมเสียหัวใจที่ร่าเริงเด็ดขาด เพราะหัวใจที่ร่าเริงจะไม่ยอมให้เจ้าของมันล้มเหลวหรอก เชื่อผมสิ ชายผู้พิการกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
แน่นอนว่าชายผู้นี้เดินออกจากบ้านของชายพิการด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยม เขายังคงไม่มีเงินทุนสำหรับเริ่มธุรกิจ แต่มีแรงสู้เพิ่มขึ้นเต็มหัวใจ ชายผู้นี้เชื่อว่าด้วยแรงใจนี้ จะทำให้เขาสามารถสร้างชีวิตใหม่ให้ดีขึ้นได้ ดังที่ชายพิการผู้มีหัวใจร่าเริงได้บอกเอาไว้นั่นเอง (จาก http://www.manager.co.th/Family) แล้วเราๆท่านๆยังจะสู้อยู่หรือเปล่า....

วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คนดีของเรา


คนดีของเรา
ในชีวิตเราเคยคาดหวัง เคยไว้ใจ เชื่อใจ ศรัทธา เคยหวังดีอย่างสัตย์จริงไม่มีจริตให้กับคนๆหนึ่งบ้างไหม? และเราเคยคิดว่าเขาคนนั้นเป็นคนแสนดี เป็นคนที่น่านับถือ เป็นคนที่น่ายกย่องเสียนี่กระไร?.... ทุกคนย่อมตอบเหมือนกันว่า มีและอาจจะมากกว่าหนึ่งคนก็ได้ ต่อมาเมื่อคนๆนั้นที่เราคาดหวังทำให้ผิดหวัง ทำให้หมดความไว้วางใจ ไม่อยู่ข้างเรา ชอบโกหกและหลอกลวงเรา (โดยอาจจะมีเหตุผลที่เราไม่รู้และคนๆนั้นมิอาจจะบอกเราได้) เราจะรู้สึกเช่นไร!!!! คำตอบคือ ผิดหวังและโกรธ เกลียด แค้นเคือง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา และถ้าหากว่าเรามีคนที่เรารักมาก นับถือมาก เทิดทูนอย่างสูงส่ง ถูกใส่ความ ถูกนำไปพูดต่อๆกันในด้านไม่ดี แรกๆก็ไม่เชื่อในข้อมูลข่าวสารนั้น แต่เมื่อเรารับรู้บ่อยๆ ถูกป้อนข้อมูลทุกวัน เราจะเอนเอียง เราจะเริ่มมีข้อสงสัยหรือไม่ ซึ่งก็คงขึ้นอยู่กับว่าคนๆนั้นดีจริงหรือเปล่าด้วย และคนดีแบบไหนกันล่ะคือคนดีจริงของเรา...หลายคนคงเริ่มรำคาญแล้ว ถามอะไรกันนักหนา วกไปวนมา
คำถามต่างๆที่ถามมันเกิดขึ้นจากหนังโฆษณาเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับพ่อที่เป็นคนใบ้อยู่กับลูกสาวสองคนพ่อลูก เลี้ยงดูกันมาตั้งแต่เล็กๆ เมื่อลูกสาวโตเป็นวัยรุ่นเริ่มปีกกล้าขาแกร่ง พ่อที่เคยภาคภูมิใจกลายเป็นปมด้อยเป็นจุดด่างให้เพื่อนฝูงล้อเลียน พ่อลูกกลายเป็นคนที่ไม่สามารถสื่อความหมายพูดคุยกันได้(ทั้งๆที่ตลอดเวลาจะสื่อกันด้วยท่าทาง) ลูกสาวจึงไปคบกับหนุ่มคนหนึ่ง และต่อมาก็ถูกหลอก อกหัก จนคิดฆ่าตัวตายในคืนวันเกิด ในขณะนั้นพ่อผู้เป็นใบ้เตรียมของขวัญไว้ให้ลูกสาว พ่อรอแล้วรอเล่าลูกก็ไม่มา ไปพบอีกทีลูกนอนจมกองเลือด พ่อผู้เป็นใบ้จึงรีบนำส่งโรงพยาบาล ลูกสาวเสียเลือดไปมาก ต้องการเลือดด่วน ผู้เป็นพ่อเข้าไปอธิบายให้หมอฟังด้วยภาษามือ จนหมอเข้าใจว่าเขาต้องการให้เลือดเพื่อช่วยชีวิตลูกสาว เมื่อลูกสาวลืมตาขึ้นมาเห็นคนเป็นพ่อที่เคยเกลียด ที่เคยคิดว่าเป็นผู้ที่ทำให้ชีวิตตกต่ำ ได้เสียสละเลือดช่วยชีวิตตนเอง จึงเอื้อมมือไปจับมือพ่อเพื่อขอโทษ โฆษณาจบด้วยคำพูดที่ลึกซึ้งกินใจว่า อาจจะไม่มีพ่อที่ดีที่สุด แต่มีพ่อที่รักคุณมากที่สุด...
เรื่องนั้นเป็นเรื่องระหว่างพ่อลูก ที่เชื่อมโยงโดยสายเลือด พ่อทุกคนย่อมรักลูกมากที่สุดอยู่แล้ว แต่มองในด้านความสัมพันธ์ของคนทั่วไป ในชีวิตเราย่อมมีคนดีที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็มากมาย แต่น่าเสียดายคนดีๆเหล่านั้นอาจจะผ่านเลยไป โดยที่เรามิได้เก็บเกี่ยวสิ่งดีๆที่เขามอบให้ไว้ในชีวิตเราเลย อาจจะหลงเหลือความดีให้เราระลึกถึง ก็เมื่อวันที่เราไปร่วมในงานศพเขาเพียงเท่านั้น ในยามที่มีลมหายใจเรากลับมองข้ามกันและกัน หรือแม้อาจจะไปตั้งข้อสงสัยว่า เป็นคนดีจริงหรือ หรือไม่ บางครั้งบางคราวเห็นความผิดพลาด ก็เหมารวมว่าไม่ใช่คนดีจริงนี่หว่า.. หรือบางทีสิ่งที่เขาทำดันไม่ถูกจริตถูกใจเรา ก็ว่าไม่เห็นจะดีอย่างที่คิด นั่นเพราะว่าเราแต่ละคนมีมาตรฐาน ยึดมั่นในความคิดจริตติดตัวว่าคนดีต้องเป็นอย่างที่เราคิด มิอาจจะบิดเบี้ยวแม้แต่นิดเดียว เมื่อพิจารณาดูดีๆ แล้วเราหละ ที่เที่ยวตั้งมาตรฐานความดีให้กับผู้อื่น เราเองนะดีแล้วหรือยัง ดีได้ตามมาตรฐาน ตามแนวคิดของเราหรือเปล่า ใช่หรือไม่ การกำหนดขอบเขตให้คนอื่นหน่ะมันง่าย แต่ทีกับตัวเองเรามักละเลยและมีข้ออ้างอยู่เสมอ 
ใช่หรือไม่ บางคนเป็นคนดีจริงๆ เป็นคนเสียสละให้กับทุกคน ก็ยังมิวายต้องมีผู้คนจับผิด ตินิด ตอดหน่อย เพื่อหวังทำลายความดี จนบางครั้งเราก็นั่งงงๆว่า แล้วทำกันไปเพื่ออะไร เช่น ในโลกไซเบอร์วันนี้ที่มีคนรุ่นใหม่ๆเข้าไปโจมตี พ่อหลวง อย่างหยาบคาย และใช้วิธีการที่ฉลาดแต่ใจโฉดหลอกคนให้เข้าไปดูไปติเพื่อเพิ่มยอดจำนวน ให้กลายเป็นที่นิยม เพื่อใช้สถิติตัวเลขไปลบล้างความดีที่พระองค์ท่านทรงกระทำต่อประชาชนคนไทยมาอย่างเหน็ดเหนื่อยและยาวนาน สุดช้ำใจเมื่อมีคนไทยจำนวนไม่น้อยถูกปลูกฝังด้วยชุดข้อมูลเพียงด้านเดียว แล้วก็หลงเชื่อ ความดีมากมีถูกกลบลบหายไปด้วยเรื่องจินตนาการที่ไร้สาระ แล้วคนดีที่ต้องการเป็นอย่างไร มีพ่อคนไหนล่ะที่ไม่รักลูกๆของตัวเอง... 
ในเมื่อเราบอกว่าโลกนี้หาคนดียาก...แต่เรากลับไม่รู้จักรักษาคนดีเอาไว้ ใยยังลอบยังชอบทำร้ายทำลายคนดีๆให้ม้วยมลายหายกันไป และแน่นอนความอดทนของคนดีมักจะได้รับการยอมรับในที่สุด แม้จะต้องทุกข์ระทมข่มขื่น การที่ทำดีแล้วถูกต่อว่า ถูกต่อขาน มันเป็นเรื่องน่าเศร้าของมนุษยโลกเลยก็ว่าได้ แต่คนดีถ้าเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำว่าดีย่อมไม่วอกแวก ยังมั่นคงเสมอ ความดีย่อมแสดงออกด้วยความรักที่ยอมให้วิพากษ์วิจารณ์ ยอมให้ผู้อื่นสนุกปาก เพราะการเป็นคนดีไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีที่สุดของทุกคน เพียงแต่มีหัวใจเปี่ยมพร้อมที่จะรักทุกคนต่างหาก นั่นแหละคือคนดี
มองในด้านหนึ่งกระบวนการที่เราต่างตั้งมาตรฐานไว้ สำหรับกรองคนดีในชีวิตของเรา ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้อื่นระมัดระวังตัวมากขึ้น ไม่ใส่คราบคนดีไปหลอกลวงคนอื่น เพราะยุคสมัยเรานี้ต้องยอมรับเลยว่า เราอยู่ร่วมกันยากขึ้น เพราะการตรวจสอบมีวิธีมากและง่ายขึ้น ทำให้ความไว้วางใจต่อกันน้อยลง จริงใจต่อกันน้อยลง ในชีวิตจริงเรามักมีประสบการณ์ที่ถูกคนดีจอมปลอม หลอกให้หลงหลอกให้เชื่อ หลอกให้นับถือ ค่ามาตรฐานของเรามันเลยกลายเป็นดาบสองคม คมหนึ่งอาจจะเชือดคนที่หากินและสวมใส่ความดีมาฉวยประโยชน์จากเราได้ แต่อีกคมหนึ่งบางทีกลับไปเชือดเชือนผิดที่ผิดคนทำเอาคนดีๆต้องทรมานไปก็มาก คนดีจึงหนีหลบหายไปอยู่เงียบในซอกหลืบเร้นกายในมุมเล็กๆของสังคม ฉะนั้นแล้วคนดีไม่ได้มีง่ายๆ ไม่ได้เป็นง่ายๆ ใช่หรือไม่ เราไม่อาจเป็นคนดีที่สุดได้ แต่เราสามารถเป็นคนรักคนอื่นอย่างที่สุดได้ อย่างหลังนี้แหละที่เรามักหลงลืมกันไป....ก็เลยทำให้คนดีของเราหายไปทีละคนสองคน ...คนดีของเราอยู่ไหนหนอ....
http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20