วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

ฤดูกาลน้ำ (ใจ) หลาก


ฤดูกาลน้ำ (ใจ) หลาก
สถานการณ์น้ำท่วมปีนี้มาเร็วกว่าทุกปี โดยปกติน้ำจะมาก ฝนจะหลากอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมซึ่งเป็นเดือนมรสุม แต่ปีนี้ฝนเทลงมา พายุ มรสุม โถมเข้าใส่ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา ทำให้มีปริมาณน้ำมาก จนกระทั่งเขื่อนต่างๆก็มิอาจจะเก็บกักน้ำเอาไว้ได้ ต้องปล่อยออกมา ชนิดที่ว่ามาเท่าไหร่ก็ปล่อยไปเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเขื่อนก็จะพัง ปัญหาคนกับน้ำนับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องเพราะทิศทางน้ำทิศทางฝนเกิดการเปลี่ยนแปลง สำหรับคนริมน้ำย่อมมีวิธีรับรู้ และรู้จักที่จะรับมือกับน้ำ ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ สังเกตจากการอพยพของพวกมดดำ ที่จะขึ้นจากใต้ดินและไต่ไปตามเสาบ้านไปหาที่ทำรังสูงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้นผู้คนริมน้ำก็ต้องเริ่มขนย้ายทรัพย์สินขึ้นไปไว้ที่สูง อพยพสัตว์เลี้ยงไปที่ที่ปลอดภัย เตรียมเรือ เตรียมอุปกรณ์จับปลาหาปลา ..
แต่วันนี้ผู้คนทิ้งขว้างและถอยห่างจากภูมิปัญญาชาวบ้าน ไปนำเอาวิทยาการที่ก้าวล้ำและใช้กันแบบไม่มีการประยุกต์ เราจึงตกหลุมพรางแห่งการอวดรู้ อวดฉลาด คิดแต่จะเอาชนะธรรมชาติโดยมิได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติ เราจึงเห็นคนสมัยใหม่ที่อาศัยอยู่ริมน้ำเป็นจำนวนมาก ไม่มีการเตรียมพร้อม ไม่รู้จักรับมือกับน้ำอย่างไร!!! เพราะเพียงคิดว่าปลูกบ้านริมน้ำไว้เป็นสถานที่พักผ่อนยามวันว่าง มีบ้านสวยตามภูเขาเพื่อเป็นสถานที่ตากอากาศ แต่เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาก็ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นอยู่ร่ำไป...
ยามยืนอยู่ริมเจ้าพระยา ภาพร่องน้ำลึกยามเมื่อฤดูแล้ง ที่ต้องเดินจากตลิ่งลงไปเพื่อได้สัมผัสกับผิวน้ำใส แต่วันนี้น้ำได้มาเยือนถึงขอบฝั่ง เอ่อล้นปริ่มเปี่ยม พร้อมที่จะทะลักทะลุทะลวง จากน้ำที่ใสๆไหลเอื่อยๆ บัดนี้มีแต่ความแรง ไหลเชี่ยวดูเกรี้ยวกราด ไหลแรงอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จากลำน้ำที่สามารถเดินข้ามฝากฝั่ง วันนี้ฝั่งตรงข้ามช่างดูห่างไกลกันเหลือเกิน และถูกกั้นกลางด้วยความบ้าคลั่งแห่งสายน้ำกว้างใหญ่
แม้ว่าฝากฝั่งขอบถนนกั้นน้ำที่ยืนอยู่ น้ำยังไม่ได้ล้นไหลเข้าท่วม แต่บ้านก็จมอยู่ในน้ำที่สูงระดับเข่าคน เพราะฝนที่ตกหนักลงมาท่วมขัง และน้ำที่ซึมผ่านเข้ามาจากท่อน้ำทิ้งตามถนนริมน้ำนั่นเอง เพียงเท่านี้ผู้คนริมน้ำก็มิอาจจะสัญจรไปไหนมาไหนได้สะดวกเหมือนอย่างเคย คนส่วนหนึ่งจึงออกมาปลูกเพิงพัก ตั้งเต้นท์ตามริมถนน ใช้เป็นที่พักที่อาศัยชั่วคราว จากที่เคยอยู่กันแบบตัวใครตัวมัน เมื่อต้องมารวมกันอยู่อย่างนี้ วันว่างที่มีมากขึ้น ทำให้ได้คุยกันเป็นกลุ่มก้อนมากขึ้น มีการร่วมแรงแบ่งปันกันกินกันใช้มากขึ้น สนุกสนานในการร่วมกันจับปลามาทำอาหารแบ่งกันกิน เด็กๆดูจะร่าเริงที่ได้หยุดเรียน พายเรือเล่นน้ำได้ทั้งวัน บางทีธรรมชาติก็ต้องการสอนให้คนเสียสละน้ำใจในฤดูกาลน้ำหลากน้ำท่วมอย่างนี้นี่เอง..
เช่นกันในวันที่ประเทศไทยจมอยู่ใต้น้ำครึ่งค่อนประเทศเช่นนี้ คนไทยก็มิเคยทิ้งกัน ยามเมื่อภัยมาเราก็หันมาร่วมแรงร่วมใจแบ่งปันน้ำใจให้กันและกันโดยมิได้เกี่ยงงอน อีกทั้งสวดภาวนาเพื่อส่งกำลังใจให้ผู้ที่ต้องทุกข์ทนกับภาวะน้ำท่วมขัง ได้บรรเทาใจลง ใช่หรือไม่... คนไทยยังมีน้ำใจล้นหลั่งเสมอ แม้ว่า...เมื่อทุกอย่างคืนสู่สภาพปกติ เราก็จะกลับไปสู่ภาวะตัวใครตัวมัน ลงสู่สนามแข่งขัน ขับเคี่ยวเพื่อให้ได้มาซึ่งเหรียญแห่งความสำเร็จ การที่น้ำท่วมทุกปี และมากขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นฤดูกาลที่จะให้เรามีสำนึกจากการขาดหายซึ่งความมีน้ำใจ ความเอื้ออารีต่อกัน หรือว่าเราไร้แล้งน้ำใจกันมาก จึงต้องชดเชยให้กันและกันด้วยภัยธรรมชาติที่มีมากขึ้น ...
โลกเราอยู่ด้วยกันได้ด้วยอำนาจแห่งการเสียสละ การให้ความช่วยเหลือกัน ถ้าไม่มีการช่วยเหลือ ไม่มีการให้เผื่อแผ่กันชีวิตจะมีความหมายอะไร มนุษย์เราอยู่ร่วมกัน จะอยู่ใกล้อยู่ไกลไม่สำคัญ สำคัญที่น้ำใจที่มีต่อกัน ถ้ามีน้ำใจแล้ว ต่างคนต่างเสียสละกันอย่างในฤดูกาลน้ำหลากเช่นนี้ เราจะได้มีคุณค่า ได้เห็นคุณค่าของกันและกัน ความร่มเย็นเป็นสุขก็บังเกิดขึ้นมนุษย์นั้นมีน้ำใจต่อกันได้มากยิ่งกว่าสัตว์ใดๆในโลกหล้า หรือว่าวันนี้เราจะทำให้ความประเสริฐนี้ด้อยกว่ามดดำเล็กๆที่ช่วยกันขนของหนีน้ำล่ะ...
http://www.facebook.com/photo.php?v=249384448439283
http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20

ไม่มีความคิดเห็น: