วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

บางครั้งบางคำบางคน

บางครั้งบางคำบางคน
ปีนี้น้ำมากจริงๆ สงสัยที่บ้านเกิดริมเจ้าพระยาคงจะไม่รอด ท่วมแน่ๆ แม้ว่าจะมีความพยายามต่อสู้ด้วยการนำทรายมาใส่กระสอบเอาไปวางไว้บนถนนเพื่อกั้นน้ำไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น ก็มิอาจจะรับมือกับระดับน้ำที่สูงขึ้นเรื่อยๆได้ ณ เวลานี้น้ำได้ท่วมไปแล้วค่อนประเทศ แม้ว่าหลายคนพยายามคิดค้นหาวิธีที่จะป้องกัน แต่อย่างไรเสียเราก็มิอาจจะคาดคะเนความมาก-น้อย ของน้ำในแต่ละปีได้เลย นอกเสียจากว่าจะเตรียมรับมือและอยู่กับมันอย่างไรในภาวะน้ำท่วม คนริมน้ำย่อมเข้าใจถึงความเป็นจริงในข้อนี้ได้ดี แน่ล่ะความเดือดร้อนย่อมมี ความทุกข์ย่อมมากับสายน้ำ แต่ชีวิตมนุษย์มิอาจที่จะหลีกหนีน้ำได้ เฉกเช่นเดียวกัน...คนก็ย่อมมิอาจจะหลีกเลี่ยงการพบปะ การมีปฏิสัมพันธ์กับคนด้วยกันได้ ทั้งๆที่หลายครั้งในความสัมพันธ์นั้นนำมาซึ่งความปวดร้าวและทุกข์ทรมานใจ แต่เราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้...
ก็มีสักครั้งในชีวิตนี้ที่อยู่ๆความรู้สึกผิดในสิ่งที่ตัวเองเคยกระทำลงไป วนเวียนเข้ามาในห้วงสำนึก หากย้อนเวลากลับไปได้ เราคงจะไม่ทำสิ่งนั้นลงไป หากชีวิตมีแป้นเพื่อUndo(ยกเลิก) เราคงกดไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เรื่องที่พบเจอกันอยู่บ่อยๆ นั่นคือคำพูดที่หลุดออกจากปาก บางครั้งมันกลายเป็นดาบ เป็นหนามแหลมที่ทิ่มแทงใส่ผู้อื่น ในขณะที่เราคิดว่าคำที่พูดไปนั้นเต็มด้วยเจตนาที่ดี หรือพูดไปเพื่อชี้แจงแถลงเหตุผล แต่เป็นด้วยลีลาของคำพูดนั้นอาจจะไม่ตรงกับจริตของคนฟังคนรับสาร จึงเกิดการตีความหมายที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด และแน่นอนสิ่งที่ใคร.. ลองได้คิดก่อนไปแล้ว ก็ยากยิ่งที่จะรับสิ่งใหม่ที่ได้รับการชี้แจงในภายหลัง ลองได้เข้าใจผิด ย่อมมิอาจจะรับฟังเหตุผลใดๆทั้งสิ้น เหตุผลนั้นจะกลายเป็นข้อแก้ตัว ข้ออ้างไปในทันที หลายครั้งหลายหนเราก็มักเจอกับสิ่งเหล่านี้ในระหว่างทางแห่งการอยู่ร่วมกัน..
แน่นอน..ก็ในเมื่อคนเรามีพื้นฐานในชีวิตที่แตกต่างกัน บางคนเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่มีอะไรก็ต้องพูดกันตรงๆ ย่อมเป็นคนแบบขวานผ่าซาก บางคนเกิดมาในสภาพที่หลีกเลี่ยงการปะทะทุกรูปแบบ ย่อมเป็นคนอ่อนโยน บางคนเกิดมาภายใต้คำพูดที่อ่อนหวานรื่นหู แต่บางคนเกิดมาอยู่ในสภาพที่เต็มไปด้วยคำพูดที่หยาบกร้าน ปลูกฝังจนกลายเป็นจริตติดตัว และแล้ววันหนึ่ง เวลาหนึ่ง เมื่อต้องออกไปอยู่ในที่ที่มีสภาพต่างไปจากเดิม บางครั้งบางคนทนรับไม่ได้กับสภาพสังคมที่เต็มไปด้วยคำพูดที่กระทบกระแทกใส่กัน จนรู้สึกสะเทือนใจ มีบ้างบางคนรู้สึกคันหู เมื่อต้องไปอยู่กับคนที่พูดจาประชดประชันประจบสอพลอตลอดเวลา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ กาลเทศะ และการน้อมรับในความแตกต่าง นี่เป็นเรื่องยากยิ่งในสังคมที่เหมือนถูกผีความเห็นแก่ตัวสิงอยู่ เรามักไม่ยอมกัน อะไรขัดหูอะไรขัดใจเป็นได้เรื่อง ก็เกิดการทะเลาะขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นโกรธเคืองกัน ไม่มองหน้าจ้องตากันเหมือนแต่ก่อน กลายเป็นบาดแผลที่แฝงฝังไว้ในใจตลอดกาล
ในฐานะคนต้นสารคนต้นเรื่อง ก็ต้องคิดก่อนพูดอยู่เสมอ และต้องใส่ใจเขาคนที่ฟังว่าจะคิดเป็นอื่นไปหรือไม่ ฟังแล้วจะเหมือนถูกต่อว่า ถึงขั้นเป็นการด่าทอ อย่าได้นำมาตรฐานส่วนตัวไปใช้กับผู้อื่น สิ่งที่เราพูดเราย่อมคิดว่าถูกต้องเสมอ แต่สิ่งนี้อาจจะไม่ถูกใจ อาจจะกลายเป็นเจตนาร้ายไปในที่สุด และนำมาซึ่งความไม่เข้าใจกัน ใช่หรือไม่รอยร้าวแห่งมิตรภาพก็เกิดจากสิ่งเหล่านี้บ่อยๆ เพื่อนเตือนเพื่อนกลายเป็นเพื่อนต่อว่าเพื่อนไปเสีย ความสัมพันธ์ขาดลงเพราะสิ่งที่ต้องการถ่ายทอด ต้องการสื่อความหมายมันคล้ายๆการต่อว่าหรือการประชดประชันเสียดสี เป็นการตัดหน้า ความรักร้าวระหว่างกันก็เกิดขึ้นเพราะความเข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายหนึ่งกำลังหมดรัก หมดห่วงใย เพราะในคำพูดนั้นมันแสดงออกมาให้เห็น โบราณท่านจึงบอกไว้ว่า คำพูดเพียงคำเดียวถึงกับฆ่าคนได้ ฉะนั้นแล้วสิ่งที่พูดออกไปมิอาจจะเรียกกลับมาได้ หากพูดแล้วจะก่อให้เกิดเรื่องก็ควรนิ่งเสียจะดีกว่า และต้องพยายามที่จะเข้าใจ รับรู้ความรู้สึกของคนอื่นด้วย
ใช่หรือไม่ บางคนมิอาจจะรับฟังอะไรที่ตรงๆได้ บางคนที่มีอคติในทางที่ไม่ดีต่อเราอยู่แล้ว ต่อให้พูดดีอย่างไรก็กลายเป็นเรื่องแย่ได้เสมอ ฉะนั้นแล้ว ในชีวิตหนึ่งไม่จำเป็นต้องพูดทุกความรู้สึกก็ได้ และถ้าจะพูดเพื่อตักเตือนต้องยืนอยู่บนความเหมาะสม จังหวะ เวลา และต้องพร้อมยอมรับว่า คนเราสมัยนี้เข้าใจอะไรกันยากยิ่งขึ้น คนเราสื่อสารกันผิดพลาดมากขึ้นทั้งๆที่โลกเต็มไปด้วยเครื่องมือสื่อสาร คนเราบ่นกันมากขึ้นแสดงคำพูดเพื่อแสดงจริตตนมากขึ้น แต่ไม่ค่อยยอมรับฟังผู้อื่นและตรงนี้แหละที่จะไปกระทบกระทั่งกัน
การที่คนอื่นไม่เข้าใจเหตุผลเราก็มิใช่ว่าเขาจะเป็นฝ่ายผิด ความถูก-ผิด ความยุติธรรมที่แท้จริงหาได้อยู่ที่ต้องมีคนถูกคนผิด สิ่งถูกสิ่งผิดมันเป็นจริตที่เราคิดกันขึ้นมาเอง สำหรับพระเจ้าแล้ว ความยุติธรรมอยู่ที่ทุกคนเป็นลูกของพระองค์เหมือนกัน บางครั้งพลาด บางคำพลั้งเผลอ ทำให้บางคนบาดเจ็บ พระองค์ก็ต้องการให้มีการขอโทษ รู้จักให้อภัยกัน สิ่งนี้คือความยุติธรรมที่พระองค์ฝังไว้ในเราทุกคน สุดแล้วแต่ใครจะค้นพบก่อนกัน ใครเจอก่อนก็พบหนทางสวรรค์ ใครยังไม่เจอย่อมมีนรกที่ผุดขึ้นในใจหลังจากคำบางคำที่หลุดออกไปทำร้ายผู้อื่น ...หลังจากคำขอโทษ หลังจากการอภัย ความงดงาม ความสุขใจก็บังเกิดขึ้น มันก็เหมือนกับตอนที่เมื่อน้ำลดเข้าสู่ภาวะปกติความสมบูรณ์ของธรรมชาติก็จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ชีวิตก็เป็นเช่นนั้นแล....
http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20

ไม่มีความคิดเห็น: