วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554
วันที่แสงทองส่องทั่วฟ้า
วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554
ความดีไม่มีวันตาย
วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554
น้ำตา...ไชโย
น้ำตา..ไชโย
ใครบ้างเกิดมาไม่เคยร้องไห้ ใช่หรือไม่ ตอนเกิดมาเราทุกคนย่อมร้องไห้ ท่ามกลางความยินดีของผู้คนรอบข้าง (อาจมีบ้างบางคนที่ร้องไห้พร้อมๆกับผู้ให้กำเนิดที่ระทดท้อต่อโชคชะตา) และเมื่อเดินทางถึงจุดหนึ่งที่มีขวากหนามเกี่ยวตำ ทิ่มแทงจนเจ็บปวด ไม่แปลกอะไรเลยที่เราจะรักษาอาการบาดเจ็บด้วยน้ำใสที่หยาดหยดมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ไม่ว่าจะเป็นหญิงชาย เรื่องนี้หาได้เป็นสิทธิของผู้ใด เพราะน้ำตาหาใช่ของเพศใดเพศหนึ่ง น้ำตาเป็นดั่งสายฝน เป็นดั่งพายุที่กระหน่ำเข้ามา เมื่อพัดผ่านพ้นไปท้องฟ้าก็จะเริ่มสดใส การได้ร้องไห้บ้างอาจจะทำให้เรื่องร้ายๆกลับกลายเป็นดี ร้องไห้บ้างเพื่อให้กำลังใจของตนเองได้กล้าแกร่งแข็งแรงขึ้น แต่ละคนล้วนมีสายฝน ฤดูกาลทุกข์เป็นของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น เราไม่ใช่คนที่โชคร้ายที่สุดเพียงคนเดียวในโลกนี้ แต่ก็อีกนั่นแหละ เราก็ไม่ควรที่จะจมอยู่กับน้ำตาและฤดูเศร้าสร้อย วันแห่งความทุกข์ตลอดไป ล้มแล้วลุกขึ้นสู้ คือศักดิ์ศรีของความเป็นคน...
ในขณะที่เราร้องไห้อาจจะมีคนสมหวัง อาจจะมีคนดีใจ ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา แต่ท้ายที่สุดคนที่ทำให้เราร้องไห้ เขาหรือเธอ ย่อมต้องมีความเจ็บปวด เกิดบาดแผลในใจขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย แต่โลกนี้ก็แปลก!!! ยังมีผู้คนอีกส่วนหนึ่งรู้สึกเจ็บปวดในขณะที่ได้รับการสรรเสริญยกย่องจากผู้อื่น เพราะเขารู้ว่าสิ่งนี้ไม่จีรังยั่งยืน... ในชีวิตของเราย่อมมีบ้างที่อยู่กลางเสียงไชโย กลางกลุ่มคำสรรเสริญเยินยอ ท่ามกลางความชื่นชมยินดีของผู้คน จนบางครั้งน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มก็ไหลออกมา แต่นั่น...ก็เป็นน้ำตาแห่งความซาบซึ้งถึงสิ่งที่ได้รับจากผู้อื่น เป็นรางวัลที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้ในการมองเห็นคุณค่าของเรา ณ ห้วงเวลาหนึ่ง แต่เชื่อหรือไม่ ในโลกนี้มีบางมุมช่างโหดร้าย หลายครั้งเราพบเห็นคนจัดงานแสดงความชื่นชมยินดีเพียงเพื่อกลบเกลื่อนความประสงค์ร้ายที่มีต่อกัน แสร้งทำว่าปลาบปลื้มแต่อีกด้านหนึ่งในมุมมืด ด้านสลัวอันน่ากลัวมีแต่ความปลิ้นปล้อน ต่อหน้าทำเป็นแย้มยิ้ม ลับหลังพร้อมจะทิ่มแทงให้ล้มตายกันไปข้าง..
ในโลกที่หลากหลาย เราไม่รู้ถึงจิตใจของผู้คนเพราะเป็นสิ่งที่ยากแท้หยั่งถึง จิตใจคนอ่อนไหวเยี่ยงสายลม ถูกชักจูง นำพา ก็แกว่งไปแกว่งมา ใครเลยจะเป็นที่ชื่นชมของผู้คนได้ตลอดกาล ใครเลยจะรอดพ้นจากการถูกทรยศหักหลัง ใครเลยจะไม่เคยถูกว่าร้ายกล่าวเท็จ ใครเลยไม่เคยถูกทำร้ายและใครเลยไม่เคยที่จะทำร้ายผู้อื่นด้วยอคติ และทัศนะส่วนตัว และหากเรารู้ว่าในท่ามกลางเสียงชื่นชมไชโยที่มีต่อเรานั้น อีกไม่นานอาจจะแปรเปลี่ยนไป เราจะทำตัวเยี่ยงไรในงานการฉลองต้อนรับเรานั้น เราจะเจ็บปวดแค่ไหนที่รู้ว่า คนที่ยิ้มแย้ม มอบดอกไม้ให้เราในวันนี้ วันหน้ากำลังหยิบยื่นความผิด หยิบยื่นหอกหนามให้เราสวมใส่ ย่อมเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส อาจจะมีน้ำตาที่ไหลออกมากลางเสียงไชโย อาจจะร้องไห้ด้วยความระทมขมขื่น..
ภาพเช่นนี้เกิดขึ้นในวันที่พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาแล็ม ท่ามกลางเสียงไชโย ท่ามกลางการต้อนรับเยี่ยงวีรชนคนสาธารณะ ทั้งๆที่พระองค์รู้อยู่แล้วว่าสาธารณะชนคนส่วนใหญ่อีกไม่กี่วันจะเปลี่ยนเสียงร้องไชโยเป็นเสียงสาปแช่ง แล้วตะโกนว่า เอาไปฆ่า เอาไปตรึงกางเขน สาหัสไหม!!! คงเป็นความเจ็บปวดอย่างที่สุดสำหรับมนุษย์คนหนึ่ง แต่พระองค์ทรงเอาชนะความเป็นคนอ่อนแอด้วยพระพักตร์ที่สง่างาม ความนิ่งเงียบและความไว้วางใจต่อพระบิดาเจ้าเป็นการกำหราบความอ่อนแอภายใน การเดินสู่ทางกางเขน ย่อมเริ่มต้นด้วยความชื่นชมยินดีกระนั้นหรือ...
แล้วในเหตุการณ์ครั้งนั้น มีอีกผู้หนึ่งที่รับรู้ตลอดมาว่า เส้นทางที่ลูกชายเลือกเดินนั้นคือความเจ็บปวดที่รออยู่ข้างหน้า พระนางมารีย์หาได้ยินดีต่อการต้อนรับอันยิ่งใหญ่เยี่ยงกษัตริย์ที่ผู้คนมอบให้กับลูกชายสุดที่รัก พระนางรับรู้อยู่แล้วความทุกข์ครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น พระนางรู้อยู่เต็มอกว่าลูกชายกำลังเดินสู่ความตายอย่างเดียวดาย แม้วันนี้ผู้คนล้นเมืองกำลังเบียดเสียดมาร้องไชโย โห่ร้องเพลงอย่างเอิกเกริก น้ำตาของพระนางรินหลั่งออกมาครั้นเมื่อสบตากับลูกชาย เป็นดั่งกระบี่ที่พุ่งแทงดวงใจของพระนาง พระนางมารีย์ยอดหญิงแกร่ง หลบปาดน้ำตา หลายคนคงรู้สึกว่าพระนางคงจะภาคภูมิใจในตัวลูกชายจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ มันหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ พายุลูกสุดท้ายกำลังจะโถมใส่พระนาง ในโลกนี้คงไม่มีผู้ใดจะเจ็บปวดเท่ากับพระแม่มารีย์อีกแล้ว ใช่หรือไม่ พระนางคือบุคคลที่มีคุณต่อมวลมนุษยโลกอย่ามิต้องสงสัย...
ย้อนกลับมาในชีวิตของเราบ้าง หากว่าเราไม่ต้องการจะให้ใครเจ็บปวด ไม่ต้องการจะให้ใครร้องไห้ เราต้องเป็นผู้ให้อย่างจริงใจ หยุดสร้างมายาให้โลกใบนี้ และเรียนรู้ถึงความไม่แน่นอนของจิตใจผู้คน เรียนรู้ที่จะทำให้จิตใจเรามั่นคง เรียนรู้ที่จะไม่ลอบทำร้ายกัน รู้จักแสดงความยินดีกันอย่างจริงใจ ยกย่องให้เกียรติกัน ไม่เป็นผู้ทรยศหักหลัง ซื่อสัตย์ต่อกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง โลกขาดแคลนคนที่มอบน้ำใสใจจริงต่อกันมาอย่างยาวนานแล้ว วันนี้เรามาร่วมกันระลึกถึงการที่ฝูงชนมาแสดงความยินดีต่อพระเยซูเจ้า ก็จงระลึกว่า เราจะไม่เป็นดั่งฝูงชนเหล่านั้นที่หยิบยื่นน้ำตาท่ามกลางเสียงไชโยให้กับผู้ใด เพราะโลกนี้เจ็บปวดมามากพอแล้ว และสุดท้าย วันที่เราไร้ลมหายใจ วันที่เราล้มตัวลงนอนอย่างถาวร ก็ขอให้เป็นการนอนด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าวันนั้นจะมีเสียงร้องไห้ต่อการจากไปของเรา แต่นั่นมันเป็นน้ำตาแห่งความชื่นชมยินดีโดยแท้ นี่แหละความท้าทายของเราทุกคน ทุกคนที่เคยหลั่งน้ำตาราดรดโลกนี้....
วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554
เหนือเมฆ
วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554
หนาวนอกร้อนใน
หนาวนอกร้อนใน
และแล้วคนเมืองกรุงที่ห่างหายจากอากาศหนาวเย็นยามฤดูเหมันต์ ก็ต้องหันกลับไปรื้อค้นเสื้อกันหนาวที่นอนอุตุอยู่ในชั้นล่างสุด อยู่ลึกสุดของตู้เสื้อผ้าออกมาสวมใส่ เพราะใครจะไปคิดว่าปลายเดือนมีนาที่กำลังเข้าสู่ฤดูร้อน จะต้องมาพบเจอกับอากาศที่หนาวเย็นได้ใจขนาดนี้ ร้อนๆอยู่ดีๆวันรุ่งขึ้นหนาวจับใจ แม้แต่กรมพยากรณ์อากาศยังคาดมิถึง ซึ่งปกติก็คาดได้แม่นยำอยู่แล้ว แต่แม่นยำในระยะกระชั้นชิดเสียเป็นส่วนใหญ่
ช่วงเวลาสัปดาห์ที่ผ่านมาวิถีชีวิตนำพาให้ต้องเดินทางไปต่างจังหวัด นำประสบการณ์ไปถ่ายทอด ไปก่อความคิด ไปก่อกำลังใจให้กับเด็กๆ เพื่อให้รู้จักเรียนรู้มุมมองของชีวิต ที่ต่างด้านต่างมุมบ้าง ในสังคมของเราเด็กมักถูกอัดแน่นด้วยวิชาการ ชีวิตมีแต่เรียนมีแต่เรียน โดยมีข้ออ้างของผู้ใหญ่บางคน ที่พยายามให้เด็กไปเรียนพิเศษ วิชาชีวิตในมิติอื่นถูกลืมเลือน เมื่อเด็กๆได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน โดยไม่ต้องมีขีดจำกัดของการเรียนมาเป็นตัวเร่ง สารแห่งวัยของพวกเขาก็หลั่งล้น ความกระตือรือร้นถูกนำมาใช้ ผสมกับอากาศหนาวเย็นที่ช่วยเพิ่มบรรยากาศ ความสนุกแห่งวัยบรรลุ ความสุขปรากฏบนใบหน้า
ใช่หรือไม่ ช่วงเวลาปิดภาคเรียนผู้ปกครองก็ต้องหากิจกรรมให้เด็กๆได้ทำโดยมีกลุ่มหนึ่งชอบส่งลูกๆไปสัมผัสกับอากาศเย็นที่เมืองนอกเมืองนา กลับมาก็มาเล่ามาคุยให้เพื่อนๆเพลิดเพลินเจริญปาก เพื่อนๆก็พากันฝันว่าอากาศหนาวในต่างแดนเป็นเยี่ยงไรหนอ!!!! แต่ธรรมชาติก็ยุติธรรมเสมอ จึงจัดสรรอากาศที่เย็นฉ่ำให้เด็กๆเยาวชนวัดของเรากลุ่มหนึ่งได้มีโอกาสสัมผัสความหนาวเย็นโดยไม่ต้องลำเข็ญเดินทางไปยังต่างแดน แถมยังได้ประสบการณ์การอยู่กับตัวเอง การอยู่กับผู้อื่นในบริบทของสังคมไทย ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เรียนรู้ธรรมชาติสิ่งรอบๆตัวที่ได้สั่งสอนบทเรียนในชีวิตของพวกเขาอีกด้วย....
แต่สำหรับคนทั่วไป อากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกขั้ว ความกลัวของคนก็เริ่มมีให้เห็น แม้จะหนาวข้างนอกแต่ภายในกลับรุ่มร้อน หวาดวิตกว่าโลกใกล้แล้วหรือ วิตกว่าคำทำนายอายุขัยของโลกจะเป็นจริงขึ้นมา ดูจากเหตุการณ์ภัยพิบัติเกิดบ่อยครั้งมากขึ้น มีบ้างบางคนบอกว่าอย่าได้วิตกไปเลย อากาศที่เปลี่ยนแปลงอยู่นี้หาได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวในที่ต่างๆทั่วโลกไม่ แต่ด้วยความเชื่อส่วนตัว(ย้ำเป็นความคิดเห็นส่วนตัวไม่ได้อิงแอบแนบวิชาการใดๆ) โลกใบนี้ผืนแผ่นดินมันก็เป็นผืนเดียวแผ่นเดียวกันใช่ไหม? ที่หนึ่งขยับเขยื้อนเคลื่อนที่ ที่เหลือย่อมสะเทือนเลื่อนลั่นไปด้วย และในเมื่อทุกสรรพสิ่งเกี่ยวโยงยึดเชื่อมกันทั่วทั้งพิภพ เมื่อแผ่นดินเกิดการเปลี่ยนแปลง น้ำ ทะเล สายลม แสงแดด สรรพชีวิตย่อมเปลี่ยนแปร สิ่งเหล่านี้กำลังส่งสัญญาณมาหาเรา ในเมื่อทุกสรรพสิ่งกำลังเคลื่อนตัวสู่หมวดการปรับสมดุล แล้วคนเรายังไม่คิดจะปรับตัวให้สอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติอีกหรอกหรือ ตามวัฏจักรของโลกสิ่งใดไม่ปรับตัวสิ่งนั้นย่อมดับสูญ พระเป็นเจ้า พระผู้สร้างสูงสุดทรงให้อิสระกับเรามนุษย์ในความคิด ในการตีความหมายในทุกสิ่งสร้าง เพื่ออยู่รวมกันอย่างเอกภาพ แต่มนุษย์เรากลับใช้อิสระและความประเสริฐเอาเปรียบ เหยียบย่ำสรรพสิ่งมาอย่างยาวนาน เราขุดแร่ธาตุ น้ำมัน มาเผาผลาญวันละหลายล้านลิตร พออยากอยู่กับธรรมชาติก็กลับไปข่มขืนธรรมชาติ ไปปรับไปตัดไปดัดไปคัด เอาธรรมชาติมาเป็นวัสดุสิ่งปลูกสร้าง เมื่อเราไปขืนธรรมชาติอย่างหนักหน่วง คราเมื่อจำต้องคืนสู่ที่ทาง ธรรมชาติจึงเกิดความรุนแรงอย่างหนักหนาสาหัส
สายลมหนาวครั้งนี้อาจจะเป็นสายลมแห่งการเตือนเราให้กลับมาสู่การเรียนรู้สู่ความเป็นหนึ่งเดียว อย่าเที่ยวไปโทษกันและกัน เราทุกคนมีส่วนรับผิดชอบต่อการทำลายระบบในธรรมชาติด้วยกันทั้งนั้น และเราต้องไม่มีความกลัวแต่ต้องมีความไว้วางใจมากขึ้นและมากขึ้น ใครเล่าจะอาจหาญสู้ธรรมะได้ ธรรมะถึงเวลาจัดสรร เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อให้เดินไปด้วยกัน หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดขัดขืนฝืนครรลองแห่งธรรมชาติ ความรุนแรง การทำลายก็จะบังเกิดขึ้น
ใช่หรือไม่ ครั้นเมื่อความร้อนขึ้นสู่ระดับ ไม่ช้าไม่นานสายฝนก็ล่วงหล่น เมื่อครั้นสายฝนพายุกระหน่ำ จากนั้นท้องฟ้าพลันงดงาม ยามนี้หัวใจของผู้คนมีแต่ความร้อนรุ่มสุมอยู่ภายใน เป็นร้อนในทางอารมณ์ เป็นร้อนทางความคิดริษยา เป็นความร้อนในทางกิเลส ความโลภและความไม่รู้จักพอ หลงตัวเอง ความเห็นแก่ตัว อากาศหนาวๆภายนอกกำลังบอกเราว่า หยุด ลด ละ พัก เว้นวรรค และกลับใจสู่ทางธรรมนำความดี ที่เต็มไปด้วยไออุ่นหนุนส่งให้กันและกัน เพื่อให้ชีวามีสุขชีวิตแจ่มใส สร้างโลกใบเก่าให้เป็นโลกที่สะอาดสะอ้าน เพียงแค่เราอยู่ร่วมกันโดยไม่เบียดเบียนกันก็เพียงพอ
ชีวิตก็เหมือนฤดูกาล มีฤดูร้อนที่แผดเผา แต่เราก็ไม่ถึงกับแห้งตาย และไม่นานฤดูกาลก็เปลี่ยนเป็นฝนที่เย็นฉ่ำลงมา หล่อเลี้ยงสิ่งที่แห้งแล้งกลับมีชีวิตชีวาให้ชุ่มชื่น ความจริงของโลกกลม ๆ ใบนี้ ไม่ใช่ต้องทุกข์หรือสุขตลอดกาล ทุกข์หรือสุขผลัดเปลี่ยนกันมาและหมุนเวียนกันไป หากอยากเป็นคนที่มีความสุขนาน ๆ มีความทุกข์สั้นๆ ให้ความสุขกับคนอื่นบ้างแล้วความทุกข์ของเราก็จะคลายลง ความอิ่มใจ ความปีติจะมาเยือน เปลี่ยนความรุ่มร้อนภายในเป็นเครื่องทำความอุ่นให้กับผู้หนาวเหน็บบ้าง แล้วฤดูกาลแห่งรัก สันติก็จะปรากฏขึ้น เป็นแสงแดดอันอบอุ่นชวนให้เราเข้าใกล้กับความสงบตลอดกาล....