วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่...


สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่...


การมองเห็นถือว่าเป็นด่านแรกในการตีความหมายของสรรพสิ่ง เราจึงมักใช้ด่านแรกนี้ในการตัดสินในหลายเรื่องบนหนทางชีวิต แต่เมื่อพอเรื่องนั้นผ่านการกลั่นกรอง ผ่านด่านมโนสำนกลึกลงยังด่านสุดท้ายที่จิตวิญญาณ ใช่หรือไม่ หลายเรื่องมันไม่ใช่สิ่งที่เราตีความหายจากการมองเห็นเลย การมองด้วยใจจึงมีความสำคัญกว่าการมองด้วยลูกตา มีบ่อยครั้งที่เราเห็นคนที่แต่งตัวดีมีภูมิฐานตามมาตรฐานสากล เราก็ไว้วางใจไปแล้วเกินครึ่ง


ด้วยการใช้เปลือกที่ห่อหุ้มให้ตัวเองดูดี มีราคา จึงมีคนอีกจำนวนไม่น้อยหลงใหลในสิ่งนี้ คิดสร้างความน่าเชื่อถือด้วยเปลือกที่หุ้มห่อ ทำงานไม่เก่งแต่ Present เลิศ ก็ก้าวไกล บรรยายไม่รู้เรื่อง แต่เป็นที่ชื่นชมเพราะแพรวพราวด้วยอุปกรณ์ที่นำมาประกอบ เขียนหนังสือไม่เก่งแต่ชอบสรรหาคำเลิศหรูดูเท่ ชอบทำตัวนำสมัยแต่ไม่เข้าใจกระแสที่โดดลงไปเวียนว่าย ช่างพูดช่างเจรจาด้วยถ้อยคำที่อ่อนหวาน แต่ลับหลังก็เป็นช่างนินทาที่รับจ้างนินทาทั่วราชอาณาจักรปากก็พูดว่า ให้รักคนทั้งโลก ที่ไหนได้เพื่อให้คนทั้งโลกได้มารักและสนับสนุนตัวเอง อวดอ้าง ประชาสัมพันธ์สารพัด งัดเอาข้อดีมาบรรยาย ที่แท้เป็นแค่เปลือกที่ปริแตก...


หลายครั้งเราจึงผิดหวังกับคนที่เราเห็นว่าน่านับถือ น่าเลื่อมใส หลายครั้งก็เกิดอาการงงเมื่อพบความจริงแสนเจ็บปวดที่หลงไปสามิภักดิ์ รักเต็มร้อยแบบถอนตัวไม่ขึ้น เรามักรักแต่คนที่เห็นว่าดูดีมิได้ฟังเสียงภายใน โลกนี้จึงเต็มไปด้วยบาดแผลแห่งความผิดหวัง ในขณะที่สังคมโลกมีคนที่ชอบอวดอ้างสรรพคุณเพิ่มขึ้น ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ทำตัวเล็กๆลีบๆ แต่ทำในสิ่งที่งดงามและยิ่งใหญ่ ที่ผู้คนทั่วไปมักมองผ่านไป มีบ้างบางครั้งที่กลับหยามหยัน หาว่าเป็นบ้า กว่าจะรู้ว่าสิ่งนั้น คือ สุดยอด ผู้คนเหล่านั้นก็ได้แต่ส่งยิ้มอ่อนหวานมาจากเบื้องบน


มีคุณปู่ชาวจีนนามว่า ไป่ ฟาง ลี่ อาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวในกระท่อมเล็ก ๆ ในเมืองเทียนจิน และใช้ชีวิตด้วยรอยยิ้มมาตลอดชีวิต แม้ว่าในวัยเด็กของคุณปู่จะไม่ได้รับการศึกษา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คุณปู่คิดว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่นแต่อย่างใด คุณปู่เลือกที่จะมีชีวิตอยู่แบบพอเพียงแต่ก็มีความสุขไปกับสิ่งรอบข้าง


ในแต่ละวัน คุณปู่จะปั่นสามล้อคู่ใจออกไปคอยรับส่งผู้โดยสารตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถึง 2 ทุ่มทุกวัน เช้ายันค่ำ ชีวิตของคุณปู่ก็จะวนเวียนอยู่กับการรับผู้โดยสารจากที่หนึ่งพาไปส่งที่ปลายทางโดยปลอดภัย รอยยิ้มของคุณปู่ก็ไม่เคยเลือนหายไปจากใบหน้า ราวกับว่าสิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้าคือความสุขที่สุดในชีวิตของคุณปู่ ยิ่งไปกว่านั้น คุณปู่ไม่เคยเกี่ยงเรื่องค่าโดยสาร ไม่เคยตั้งราคาค่าโดยสารเลยสักครั้ง แต่จะให้ผู้โดยสารจ่ายค่าโดยสารตามแต่เห็นสมควร เงินค่าโดยสารที่เก็บได้ในแต่ละวัน คุณปู่ก็เก็บสะสมมาเรื่อย ๆ


วันหนึ่งคุณปู่ได้มองเห็นเด็กชายวัย 6 ขวบคนหนึ่ง กำลังช่วยหญิงสาวคนหนึ่งถือของพะรุงพะรังที่ซื้อมาจากตลาด และหญิงสาวก็ได้ให้ค่าตอบแทนจำนวนหนึ่งแก่เด็กชายคนนั้นไป ซึ่งหลังจากที่เด็กชายได้รับเงินค่าตอบแทน เขาก็มองขึ้นไปบนฟ้าด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ราวจะขอบคุณพระเจ้าสำหรับเงินที่ได้รับมาในมือ ก่อนที่จะเก็บมันลงในกระเป๋าแล้วไปรับจ้างถือของให้คนอื่น ๆ และทุกครั้งที่ได้รับเงิน เขาก็จะมองไปบนฟ้าด้วยรอยยิ้มอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า


จากนั้นไม่นาน คุณปู่เห็นเด็กชายคนดังกล่าวไปคุ้ยขยะ หยิบขนมปังสกปรกชิ้นหนึ่งขึ้นมา แสดงท่าทีดีใจก่อนที่จะกินเข้าไปอย่างมีความสุข คุณปู่รู้สึกสะเทือนใจกับภาพที่เห็นเป็นอย่างมาก จึงเข้าไปชวนเด็กชายคนดังกล่าวมานั่งทานมื้อเที่ยงด้วยกัน แล้วถามเด็กชายคนดังกล่าวว่า ทำไมไม่เอาเงินที่ได้จากการรับจ้างถือของไปซื้อข้าวกินให้อิ่ม คำตอบที่ได้นั้นทำให้คุณปู่ถึงกับอึ้ง จะเอาเงินไปซื้ออาหารให้กับน้อง ๆ ของผม


หลังจากได้รับรู้เรื่องราวสุดสะเทือนใจของเด็กชายแล้ว คุณปู่ก็ได้ขอให้เด็กชายพาไปหาน้องสาวทั้งสองคน ซึ่งทันทีที่คุณปู่ไปถึง ก็รู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองกำลังร้องไห้ออกมา คุณปู่จึงได้พาเด็กทั้งสามไปอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมืองเทียนจิน และบริจาคเงินทั้งหมดที่เขาเก็บสะสมมาตลอดชีวิตให้กับเด็กกำพร้าที่นี่ เพื่อเป็นค่าอหารและทุนการศึกษา และตั้งแต่นั้นมา คุณปู่ก็เริ่มทำงานหนักขึ้น เพื่อหาเงินมาบริจาคให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า คุณปู่มีความสุขมากกับการทุ่มเททั้งหมดของชีวิตเพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้า ขณะที่ตัวเองอยู่อย่างสมถะ ที่อาจจะยากจนในสายตาของใคร ๆ แต่สำหรับคุณปู่แล้ว คุณปู่กลับรู้สึกว่าตัวเองร่ำรวยแล้วที่มีบ้านให้อาศัย มีอาหารให้กินทุกมื้อ และมีเสื้อผ้าใส่ คุณปู่ทำงานตลอด 365 วันไม่เคยหยุด ถ้ามีใครถามคุณปู่ว่าทำไมถึงต้องทำเพื่อเด็ก ๆ ขนาดนี้ คุณปู่จะบอกเสมอว่า ไม่เป็นไรหรอกที่จะลำบาก ขอแค่ให้เด็กยากจนได้มีข้าวกิน และได้รับโอกาสทางการศึกษาเหมือนเด็กคนอื่น ๆ เท่านี้ก็มีความสุขแล้วสำหรับการบริจาคเงินของคุณปู่ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2529 ซึ่งมียอดรวมกว่า 1.7 ล้านบาทนั้น คุณปู่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะร้องขอสิ่งตอบแทนใด ๆ จากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า วันนี้ คุณปู่ไป่ ฟาง ลี่ ได้ล่วงลับไปนานกว่า 5 ปีแล้ว แต่ชื่อของคุณปู่ ยังคงถูกนำไปพูดถึงและบอกต่อนับครั้งไม่ถ้วน


คนปั่นสามล้อจนๆบริจาคเงินทั้งชีวิต 1.7 ล้านบาทให้กับเด็กกำพร้ากับเศรษฐีขับรถหรูดูดีมีสกุลบริจาคเงินให้การกุศลในงานที่ได้ออกโทรทัศน์ 10 ล้านบาท ใครจะได้รับความน่าเชื่อถือมากกว่ากันในสายตาของคนทั่วไป แต่ถ้าถามว่า การให้ของใครยิ่งใหญ่กว่ากัน คำตอบนั้นทุกคนรู้อยู่แก่ใจ.....


ไม่มีความคิดเห็น: