รักนั้นงดงามเสมอ
เชื่ออย่างสนิทใจเลยว่า มีเพียงไม่กี่สิ่งหรอกที่อยู่คู่กับโลกนี้มาตั้งแต่วันแรกก่อเกิด หนึ่งในนั้นก็คือ ความรัก พระเจ้าเนรมิตโลกด้วยความรัก ความงดงามของความรักจึงมีอยู่เสมอมาจนถึงบัดเดี๋ยวนี้ ถึงแม้ยุคสมัยใหม่นี้ใช้ความรักเพียงแค่เปลือกนอก ความรักจึงถูกเคลือบ ฉาบ ทา แปรรูปให้เป็นวัตถุ ให้เป็นสินค้า ให้เป็นสิ่งเสพสิ่งบันเทิง เป็นไปตามกระแส แต่ยังไงๆความรักก็ยังมีอยู่ในทุกอณูของโลกใบนี้ และความรักนี้เองที่ได้สร้างโลก พัฒนาโลก กล่อมเกลาจิตใจมนุษย์ให้ก้าวย่างสู่เป้าหมายของการหลุดพ้นจากความเห็นแก่ตัว แน่ล่ะ...บางคนอาจจะค้านว่า ความรักมักทำให้คนเห็นแก่ตัวมิใช่หรือ ก็คงไม่เถียงเพราะนั่นอาจจะเป็นเพียงปฐมบทที่ทำให้เรารู้จักตัวเองก่อน การเห็นแก่ตัวนั้น ใช่หรือไม่ คือส่วนย่อยของการรักตัวเอง เพื่อให้เราก้าวข้ามผ่านพ้นไปรักคนอื่น เรารักตัวเราอย่างไร หากรักของเราผ่านพ้นการเห็นแก่ตัว เราก็จะรักคนอื่นแบบไร้เงื่อนปมแห่งการเห็นแก่ได้ รักจึงสอนให้ชีวิตมีความงดงาม และรู้แจ้งความจริง ว่าไม่มีสิ่งใดจะยิ่งใหญ่เท่าความรักได้....
เมื่อพูดถึงความรักแล้ว เหตุการณ์หนึ่งมักเวียนวนขึ้นมาจากความทรงจำเสมอ เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยที่เรียนอยู่มัธยมปลายได้เกิดสนทนาธรรมกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านได้พูดว่า “นี่เธอรู้ไหม ความรักมักทำให้คนตาบอด” ด้วยความที่เป็นคนปากไวก็สวนออกไปทันทีว่า “แต่คนตาบอดก็ยังต้องการความรักมิใช่หรือ” ทุกคนที่อยู่ในห้องเงียบ ที่เงียบไม่ได้หมายความว่าทึ่งในคำพูด แต่ที่เงียบคงคิดว่า “งานเข้าแล้ว” แต่เปล่าเลยผู้ใหญ่ใจดีท่านนั้น ยิ้มแล้วบอกว่า “น่าคิดนะ ไหนลองยกตัวอย่างมาสิ” “อย่างน้อยๆทุกคนเกิดมาย่อมต้องการความรักด้วยกันทั้งนั้น คนที่สูญเสียอวัยวะย่อมต้องการรักมากกว่าคนอื่น” ก็ตอบไปเท่าที่นึกได้ผสมผสานกับความกลัวเล็กน้อยในขณะนั้น แต่ถ้าเป็นวันนี้ก็คงจะเล่าเรื่องๆหนึ่งซึ่งคงจะเป็นคำตอบที่ดีอย่างยิ่งสำหรับวันนั้นก็เป็นไปได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แปลมาจากต่างประเทศ เป็นเรื่องที่งดงามในนามความรักเหลือเกิน ติดตามอ่านกันเลย แล้วจะรู้ว่า คนตาบอดก็ต้องการความรัก ทั้งๆที่รักทำให้คนตาบอด นั้นเป็นอย่างไร ....
มีผู้หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง กำลังมีความสุขอยู่กับชีวิตคู่ อยู่ๆก็มาประสบอุบัติเหตุทำให้ต้องตาบอดทั้งสองข้าง และเธอก็ทุกข์ทรมานกับการสูญเสียการมองเห็นเป็นอย่างยิ่ง คงเป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่จะยอมรับสภาพเช่นนี้ จากที่เคยมองเห็นสรรพสิ่งสวยงาม บัดนี้มีเพียงแต่ความมืดและจินตนาการเท่านั้น หลายครั้งเธอคิดว่า การมีชีวิตอยู่แบบนี้สู้ตายไปมิดีกว่าหรือ นี่เป็นชีวิตที่เลือกไม่ได้ ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน...
แต่สามีเธอก็ได้พยายามปลอบใจ และให้กำลังใจเธอมาโดยตลอด พยายามสอนให้เธอใช้ประสาทสัมผัสที่เหลืออยู่ให้มากขึ้น โชคยังดีเธอยังได้ทำงานประจำไม่ได้อยู่บ้านคนเดียว ที่ทำงานของเธอกับสามีเธอนั้นก็อยู่คนละทาง แต่เขาก็ยังขับรถไปรับและไปส่งเธออยู่เสมอ
เวลาผ่านไปนานปี สามีเธอรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากกับการดูแล รับ-ส่ง เขาจึงให้เธอลองพยายามขึ้นรถเมล์ไปทำงานเอง โดยที่เขาไม่ต้องไปรับไปส่งจะได้ไหม!!!!! (ช่างใจร้ายจริงๆๆๆๆ หลายคนอ่านถึงตรงนี้คงมีมติเหมือนๆกัน อย่าเพิ่งตัดสินอ่านกันต่อเลยครับ) นาทีนั้น.. เธอรู้สึกเหมือนโดดเดี่ยว และน้อยใจสามีเธออย่างที่สุด แต่เธอก็พยายามทำตามที่เขาบอก เธอพยายามที่จะขึ้นรถเมล์เอง พยายามไปทำงานด้วยตัวเอง จนในที่สุดเธอก็สามารถทำได้…
อยู่มาวันหนึ่งก่อนที่เธอจะลงจากรถไปทำงานตามปกติ คนขับรถเมล์ก็พูดกับเธอว่า “ผมช่างอิจฉาคุณผู้หญิงจริงๆครับ” เธอก็เลยถามว่า “อิจฉาฉันด้วยเรื่องอะไร” คนขับรถเมล์บอกว่า .. “ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ผมจะเห็นสุภาพบุรุษท่านหนึ่ง เขาจะขึ้นรถเมล์ตอนเช้ามานั่งตรงเบาะข้างหลังที่คุณนั่งเป็นประจำเฝ้ามองดูคุณด้วยความห่วงใย และตามคุณลงรถไปและเฝ้าดูคุณเดินเข้าไปที่ทำงานอย่างห่วงใย ในทุกๆเย็นเขาก็จะมาเฝ้ารอดูคุณขึ้นรถและคอยดูคุณ จนคุณลงรถ” พอเธอได้ยินดังนั้น เธอก็น้ำตาไหลด้วยความตื้นตัน เพราะตลอดเวลาสามีของเธอไม่เคยทอดทิ้งเธอไปไหน เขายังอยู่เคียงข้างดูแลเธออย่างใกล้ชิด เขาคงเหนื่อยยิ่งกว่าตอนที่เขาต้องคอยมารับมาส่งเธอซะอีก เธอหวนนึกถึงคำพูดที่เขาพูดออกมาบ่อยๆ ว่า“ชีวิตคนไม่แน่นอน อาจตายวันนี้ พรุ่งนี้ ตายได้ทุกเมื่อเลยนะ ดูอย่างคุณสิ เมื่อวานยังมองเห็น วันนี้ คุณกลับมองไม่เห็นแล้ว” เธอคิดน้อยใจเขามาตลอด คิดว่าเขาคงจะเบื่อ รำคาญ คนตาบอดอย่างเธอ แต่.... วันนี้เธอรู้แล้วว่า ที่เขาพยายามให้เธอช่วยเหลือตัวเองได้ เพราะหากว่า วันนี้ พรุ่งนี้ เขาตายไป...เธอจะสามารถไปไหนมาไหน หรือมีชีวิตอยู่เองได้ วันนี้เธอเห็นความรักที่งดงามกว่าตอนที่ตาเธอยังมองเห็นเสียอีก....
เรามาลองทบทวนวันเวลาที่ผ่านมาในชีวิตกันดูดีไหมว่า ความรักที่เกิดขึ้นกับเราในชีวิต ไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่หน มีความงดงามอะไรบ้าง ช่วยให้ชีวิตเราเจริญเติบโต ทำให้จิตวิญญาณเรามีการพัฒนาเยี่ยงไรบ้าง และที่สุด คนที่เรารักที่สุด คนที่อยู่ข้างๆเรา เรายังรักเขาเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า ยังคงมีความงดงามมอบให้กันอยู่หรือไม่ มีการอภัยให้กันทุกครั้งในความพลาดพลั้งหรือเปล่า ที่ใดมีรัก...ที่นั่นย่อมมีทั้งทุกข์และสุข นี่คือความงดงาม ที่ใดมีชีวิต ที่นั่นย่อมมีรัก นี่คือความงดงามของธรรมชาติ และที่ใดมีรัก ที่นั่นมีองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอ เพราะพระองค์คือความงดงาม.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น