วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

จากเขาค้อ…เราจงอย่าท้อ

จากเขาค้อเราจงอย่าท้อ


อยู่ๆคุณยายเจ้าของร้านอาหารที่เคยฝากท้องเป็นประจำตลอดสิบปีที่ผ่านมา ก็บอกว่าต่อไปนี้คงไม่ได้เจอกันที่ร้านอาหารแห่งนี้อีกแล้ว ต้องรบกวนให้ไปฝากท้องมื้อเที่ยงที่ร้านอื่น เพราะว่าตลอดสองปีที่ผ่านมาไม่ค่อยมีคนเข้ามากินเลย ทั้งๆที่ร้านนี้ทำกับข้าวได้อร่อยเลยทีเดียว ปัจจัยหนึ่งก็คือมีร้านอาหารบริเวณนี้เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนคนขายจะมากกว่าคนซื้อ ปัจจัยที่สองข้าวของมันมีราคาแพงขึ้นทุกวัน ทุกคนจึงเข้าสู่หมวดประหยัดรัดเข็มขัด อะไรพอทำกินกันได้ก็ทำกินกันเอง ปัจจัยที่สามเจ้าของร้านอายุอานามเริ่มเข้าสู่วัยชราก็คงต้องมีเวลาหยุดพักเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน สุดท้ายคือรายได้ไม่พอกับรายจ่ายทำไปก็มีแต่ขาดทุน มีแต่เพิ่มทุกข์


ใช่ว่าจะมีแต่คุณยายเจ้าของร้านอาหารประจำแห่งนี้เท่านั้น ที่มีความทุกข์เรื่องเกี่ยวกับรายได้ไม่พอกับรายจ่าย หลายคนต่างก็ต้องทุกข์ร้อนกับเรื่องพรรค์อย่างนี้ ไม่ว่าจะทำงานอาชีพไหน ก็มีแต่เสียงบ่นปนต่อว่ารัฐบาล ซึ่งพูดด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ไม่ว่ายุคใดสมัยใด ผู้คนต่างก็มีความทุกข์เรื่องรายได้ เรื่องข้าวของแพงขึ้นกันทั้งนั้น... แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่เป็นทุกข์เพราะเรื่องอื่น บางคนทำงานหนักไปมากไปก็เหนื่อย ก็เบื่อ ก็ล้า สาอะไรกับคนที่ตกงาน ไม่มีรายได้เป็นประจำ ทำไปทำมาดูเหมือนว่าคนเมืองหลวงน่าจะเป็นคู่ควงกับความทุกข์ลำบากเสียจริงๆ...


ระหว่างวันหยุดสิ้นปี ผู้คนส่วนใหญ่ใช้เป็นเวลาพักผ่อนจากหน้าที่การงานเพื่อให้คลายทุกข์ลงบ้าง แต่ก็มีอีกหลายคนต้องทำภารกิจหน้าที่ในช่วงเวลานั้น และเลือกที่จะพักในยามที่ผู้คนเริ่มต้นกลับสู่สภาวะปกติ สำหรับคนคุ้นชินใกล้ชิดก็เป็นเช่นนั้น เมื่อได้มีเวลาพักผ่อนตอนที่ผู้อื่นเริ่มต้นทำงานจึงออกปากเชิญชวนให้ร่วมขบวนพักผ่อนไปด้วยกัน จากอุปนิสัยส่วนตัวที่ไม่ชอบกินชอบเที่ยวตอนเทศกาลที่มีผู้คนเยอะๆอยู่แล้ว จึงได้จังหวะร่วมก๊วนครั้งนี้ด้วย จุดหมายปลายทางคือ เขาค้อ เพื่อสัมผัสไอหมอกและความหนาวเย็น โดยทิ้งเรื่องเครียดๆค้างๆคาๆไว้เบื้องหลัง


เมื่อมาถึงที่เขาค้อมักจะพบเห็นคำว่า พักเขาค้อหนึ่งคืนอายุยืนหนึ่งปี พวกเราพักสองคืนอายุจะยืนถึงหมื่นปีหรือเปล่าหนอ... เป็นคำที่เพิ่มให้เรามีรอยยิ้มและจิตแจ่มใสขึ้นได้มากเลยทีเดียว แล้วสิ่งที่เราต้องการก็มาเผชิญกับเราเต็มๆนั่นคือ ความหนาวเย็น เราก็พร้อมจะยอมรับมันโดยดุษฎี นอนหนาวกลางหุบเขา น้ำเย็นจนมือแข็ง แต่มันไม่ใช่ความทุกข์ ทั้งๆที่หลายคนเป็นทุกข์เพราะภัยหนาว แต่เรากลับโหยหาตามหามัน ชีวิตเรานี้ก็มีมุมอะไรที่แปลกแยกอยู่มิใช่น้อย ความทุกข์ของอีกคนหนึ่งกลายเป็นความสุขแสวงของอีกคนหนึ่ง


เราร้องไห้เมื่อมีเรื่องเศร้า แล้วเราก็มักปาดน้ำตาเวลาพบเจอเรื่องที่สวยงามด้วยเช่นกัน เราหัวเราะให้กับเรื่องตลกหรือสิ่งที่น่าเกลียด บางทีเราเศร้าเมื่อเจอเรื่องดีๆ เพราะเรารู้ว่ามันจะไม่อยู่กับเราตลอดไป แล้วเมื่อเราเริ่มหัวเราะกับอะไรที่น่าเกลียด ก็เพราะเราเข้าใจว่ามันเป็นแค่เรื่องตลก เป็นประโยคหนึ่งในหนังสือเรื่อง ภาพผ่านกระจกหม่นมัว เขียนโดย โยสไตน์ กอร์ดอร์ และแปลเป็นภาษาไทยโดย วนุศ (หนังสือเล่มนี้ถูกหยิบขึ้นมาบนรถพร้อมกระเป๋าเดินทาง) เป็นประโยคที่เหมาะสมกันเหลือเกินกับสิ่งที่ได้พบเห็นและเป็นอยู่ ณ ที่เขาค้อ


ใช่...น้ำตาแท้จริงแล้วมีได้ทั้งในขณะสุขหรือทุกข์ และไม่มากก็น้อยทุกคนย่อมเคยหลั่งน้ำตาให้กับทั้งสองสิ่งนี้ในชีวิต แต่ใครเล่าจะยอมจมน้ำตาให้กับความทุกข์ตลอดกาล บนหนทางการดำเนินชีวิตของเราย่อมต้องมีบ้างที่ต้องออกไปท้ารบกับความหนาวเหน็บ มีบ้างที่ยอมจำนนกับความร้าวราน ใครเล่าล้มแล้วจะไม่ยอมลุกขึ้น ใช่หรือเปล่า...หากเราต้องการไปเขาค้อย่อมไม่ท้อกับความหนาวเย็นและความยากลำบาก เพื่อเราจะได้มีอายุยืนขึ้น และหากเรากำลังอยู่ในภาวะที่ตรมทุกข์ก็อย่าหมดศรัทธาในความกล้าหาญของตน พยุงทรงกายให้ขึ้นแล้วออกแรงเดินหน้าอีกสักครั้งวิ่งชนเพื่อเข้าหาความสุข ทุกคนทำได้ และต้องทำให้เป็นประจำ อย่าปล่อยให้ความทุกข์ซ้ำซากเข้าไปบากให้ลำต้นชีวิตต้องบิ่นเบี้ยว วันนี้หาเงินไม่ได้ด้วยวิธีนี้ก็เลือกหาวิธีใหม่ๆที่สุจริตทำ เงินทองไม่ใช่ของใครเลย มันมีไว้สำหรับคนที่ขยันและรู้จักเริ่มต้นใหม่เสมอๆ


ยามเหนื่อยล้า ก็พักกายพักใจกันบ้าง ให้เวลากายาผ่อนคลาย จิตใจจะได้สบายโปล่งโล่ง แล้วองค์พระจิตก็จะทำงานในช่วงเวลาเหล่านั้น สิ่งหนึ่งที่ผู้สันทัดกรณีด้านชีวิตให้ข้อเตือนเราเสมอ คือ ชีวิตต้องมีช่วงพักบ้าง อย่าตึงจนเกินไปและอย่าหย่อนจนเกินงาม ยามอยู่บนยอดดอยแห่งขุนเขา เรามองเห็นทุกอย่างยกเว้นเห็นตัวเอง แต่หากเรายืนเงียบอยู่ในที่สงบเราย่อมเห็นความเป็นตัวตนของเราเห็นส่วนลึกของจิตวิญญาณปรารถนา ด้วยเหตุประการเช่นนี้ พระเยซูเจ้าจึงมักมีเวลาที่จะปลีกตัวเองออกสู่ที่เปลี่ยว อยู่เงียบๆนิ่งๆสงบๆ แล้วเมื่อพระองค์คืนสู่ประชาชนคนติดตามพระองค์ก็มักได้รับสิ่งดีๆคำเทศนาที่งดงามเสมอ จนมีการจดบันทึกมาถึงพวกเราวันนี้


มาพักเขาค้อหนึ่งคืนอายุยืนหนึ่งปี มาพักพิงอยู่กับพระองค์จะมั่นคงตลอดกาล เรามีพระองค์เป็นที่พักพิงอยู่เสมอ ใครท้อแท้กับชีวิตอยู่ขณะนี้ก็ลองหยุดพักเสียบ้าง มาหาพระองค์ในธรรมชาติ ในความเงียบ แล้วชีวิตจะมีค่าและยืนยาวยิ่งขึ้น อย่าได้ท้อ ยิ้มสู้ทั้งน้ำตาก็ไม่เห็นเป็นไร แล้ววันหนึ่ง มันจะกลายเป็นน้ำตาแห่งความเปี่ยมสุข.....

ไม่มีความคิดเห็น: