วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เข้าใจความมืด

เข้าใจความมืด
สวัสดีปีใหม่และขอบคุณทุกๆท่านครับ ที่ได้ติดตามงานเขียนในสารวัดเซนต์หลุยส์ ในนามของ “คนข้างวัด” ตลอดมา สำหรับผู้เขียนก็จะพยายามที่จะขีดเขียนข้อคิดที่ดีๆ ถือว่าเป็นการแบ่งปันความคิดเห็นที่มีต่อสังคมบ้าง ที่มีต่อชีวิตบ้าง ที่มีต่อความเชื่อในฐานะคริสตศาสนิกชนคนหนึ่ง และที่สุดหากว่าบทความบทใดทำให้เป็นที่ขัดเคือง เป็นที่ไม่สบอารมณ์ หรือเป็นที่ที่ทำให้เกิดบาปของพี่น้อง ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
ปีใหม่ก้าวผ่านเข้ามา หลายคนก็มีความตั้งใจจะทำสิ่งใหม่ๆสิ่งที่ดีๆตลอดปีที่จะมาถึงนี้ แต่พอวันเวลาผ่านไปได้สักระยะหนึ่ง ชีวิตก็มักวกเวียนกลับไปอยู่ยังจุดยืนเดิมๆ กลับไปเป็นตัวตนเหมือนเดิม ตามอุปนิสัยและความคุ้นชิน หลงลืมความตั้งใจดีในวันขึ้นปีใหม่ไป นั่นก็อาจจะเป็นเพราะว่า เราไปให้ความสำคัญกับวันปีใหม่ที่หมู่มวลมนุษย์ได้ร่วมกันค้นคิดขึ้นมากเกินไป แท้จริงวันคืนก็กลืนกินหายไป แล้วก็กลับมาเหมือนดังเช่นทุกๆวัน ความดีความทราม ความงามความชั่ว ก็ยังอยู่คู่กับโลก คู่กับชีวิตนี้ต่อไป แต่สำหรับคนที่ปรารถนาจะอยู่กับสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้อย่างปลอดภัย เลือกที่จะยืนอยู่ข้างความดี ความงาม ท่ามกลางความทรามความเลวร้าย ก็ต้องหมั่นไถ่ถามตัวเองเสมอๆว่า “แท้จริงแล้วชีวิตนี้คืออะไร มีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใด จะอยู่อย่างสุขหรือปกคลุมไปด้วยทุกข์”
ใช่...ชีวิตเราย่อมมีสองด้าน เฉกเช่นวันเวลาย่อมมีทั้งกลางวันและกลางคืน หลายคนเลือกที่จะชื่นชมกับแสงสว่างยามกลางวันแต่ไม่ยอมเรียนรู้ ทำความเข้าใจกับความมืดยามค่ำคืน รอคอยแต่แสงแรกแห่งวัน เพื่อกลบเกลื่อนปัญหาที่หมักหมม และมีอีกหลายคนจ่อมจมอยู่กับความมืดยามค่ำคืน ซ่อนตัวตนอยู่กับความทุกข์จนไม่อาจจะลุกขึ้นสู้แสงของกลางวัน ในด้านมุมหนึ่งพระเจ้าสร้างกาลเวลา แบ่งแยกกลางวันกับกลางคืน เพื่อแยกความสว่างออกจากความมืด ใช่หรือไม่ พระเจ้าให้ชีวิตเรามีสองด้านและพระองค์ปรารถนาให้เราแยกความสว่างในจิตใจของเรา ออกจากความมืดมนของชีวิตเฉกเช่นเดียวกัน..
สำหรับการดำเนินบนหนทางชีวิตนั้น หาใช่เพียงหวังแต่ว่าจะอยู่อย่างเป็นสุขตลอดกาลได้อย่างไรเล่า เป็นไปได้หรือที่จะไม่มีวันแห่งความทุกข์ยากคืบคลานผ่านเข้ามาในชีวิต สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ว่า เมื่อวันใดวันหนึ่งความมืดแห่งความทุกข์โจมตี เราจะมีมุมมองในการจัดการกับความทุกข์นั้นได้อย่างไรต่างหาก
เมื่อเราจมอยู่ในราตรีกาลแห่งความทุกข์ สิ่งที่ติดตามมาย่อมหนีไม่พ้นความท้อแท้ สิ้นหวัง เจ็บปวดแสนสาหัส กระหน่ำเข้ามากัดกร่อนกินจิตวิญญาณให้แทบสูญสิ้นศรัทธาในการดำรงชีวิตอยู่ ต่อว่าพระเจ้า ต่อว่าโลกนี้ ช่างโหดร้ายเสียเหลือเกิน เสมือนว่าโลกกำลังจะแตกดับลงต่อหน้าต่อตา นี่เป็นความอ่อนแอของความเป็นมนุษย์โดยแท้ เมื่อมีกลางคืนไยเล่าจะไม่มีกลางวัน กลางคืนคือความหวังของวันพรุ่ง
แล้วช่วงเวลาแห่งความปวดร้าวก็จะผ่านไปเมื่อกงล้อของกาลเวลาได้นำพาแสงสว่างมาให้เราเรียนรู้และเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง และอีกครั้งหนึ่ง เป็นเช่นนี้หลายๆรอบในช่วงชีวิตหนึ่ง แล้วเมื่อถึงตอนนั้น เราอาจจะหันกลับมามองบาดแผลในครั้งนั้นด้วยสายตาที่ผิดแผกไปจากเดิม บาดแผลนั้นจะทำให้เรามีภูมิ ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น และบ่อยครั้งเมื่อกาลเวลาผ่านไปเรื่องเหล่านั้นกลับเป็นเรื่องที่ไร้สาระ เพราะขณะนั้นเรามัวแต่จมอยู่ในความมืดมนโดยไม่ได้เรียนรู้และทำความเข้าใจ ละเลยที่จะมีความหวัง ความมืดย่อมมีวันจางหายไป..
แต่ก็มีบางคนที่ไม่ยอมเปิดโอกาสให้ดวงอาทิตย์สาดแสงเข้ามาในใจ ยังคงนั่งจมอยู่ในความมืดมิดชนิดว่ามองไม่เห็นอะไรเลยแม้กระทั่งเปลือกตาตัวเอง เฝ้าแต่ตำหนิต่อว่าถึงความโหดร้ายที่ตนเองได้รับอยู่อย่างไม่สร่างซา ไม่เข้าใจสัจจะแห่งสรรพสิ่งในโลกที่ล้วนเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับสูญ
หนทางชีวิต คือ เส้นทางที่ยังไม่เคยมีการสำรวจ ที่เราอาจพบสิ่งงดงามเกินความบรรยายรอคอยอยู่ตรงหน้าก็เป็นไปได้ หรือไม่ก็ความเลวร้าย ความเจ็บปวดสาหัส เราไม่สามารถคาดเดาเส้นทางข้างหน้าได้ แต่หากเราเชื่อมั่นในหนทางที่เรากำลังเดินอยู่ เราก็สามารถดำเนินชีวิตอยู่กับแสงตะวันได้อย่างเบิกบาน พักผ่อนนอนหลับกลางแสงจันทร์และแสงดาวพรั่งพราวได้อย่างสงบ....
บรรดาโหราจารย์ ผู้เป็นต้นธารของการเข้าใจความมืดยามค่ำคืนได้อย่างดียิ่ง ในคืนอันมืดมิดเพียงรู้จักที่จะแหงนหน้าขึ้นเบื้องบน ความสว่างของดาวดวงเล็กๆก็อาจจะนำพาความหวังอันยิ่งใหญ่มาสู่ชีวิตเราได้ ใช่...เราชื่นชมแสงสว่างยามกลางวัน เพราะมันทำให้เรามองเห็นสรรพสิ่งที่ต้องการ ทำให้เราสร้างสรรค์หนทางชีวิตหาใช่เพียงแต่ฝันหวาน ในขณะเดียวกันความฝันยามกลางคืนก็เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงให้มวลหมู่มนุษย์ได้อยู่อย่างสงบสันติตลอดมามิใช่หรือ ดวงอาทิตย์ทำให้ทุกสิ่งกระจ่างชัด แต่เรายังต้องทำความเข้าใจในส่วนที่มืด ซึ่งยังคงดำรงอยู่กับโลก การก่อกำเนิดพระผู้ไถ่กู้ก็มาจากยามค่ำคืนอันแสนสงบเงียบ พระผู้ไถ่กู้ผู้เป็นแสงสว่างส่องโลกา...โลกนี้ยังมีด้านมืดให้เข้าใจเพื่อนำพามาซึ่งแสงสว่าง ชีวิตเรามีความทุกข์ให้พบเจอ ก็เพื่อเราจะเข้าสู่วันใหม่ด้วยหัวใจอันยิ่งใหญ่ เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ความศรัทธา อย่าสูญสิ้นซึ่งสิ่งเหล่านี้ ...

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เราคนที่เท่าไหร่ที่ได้มาเฝ้าพระกุมาร

เราคนที่เท่าไหร่ที่ได้มาเฝ้าพระกุมาร

ในชีวิตเราการได้เดินทางไปยังที่ไกลๆ ไปยังที่ที่มีชื่อเสียง ได้ไปยังที่ที่ผู้คนปรารถนาอยากจะไปสักครั้งในชีวิตก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว นี่เป็นความฝันอันยิ่งใหญ่ของคนหลายคน แต่ก็มีคนอีกไม่น้อยที่ได้ไปยังสถานที่ตรงนั้นบ่อยๆ จนกระทั่งความศรัทธา ความชื่นชมได้จืดจางหายไป..

หากว่าชีวิตคู่กับการเดินทาง ตราบใดยังมีลมหายใจการเดินทางก็ยังไม่สิ้นสุด จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง แม้มีบ้างบางครั้งบางเวลาบางสถานที่ต้องใช้เวลาอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่พบเห็นเพียงผ่านๆ นั้น กลับได้รับการรื้อฟื้น เพิ่มพูนความเชื่อ ต่อยอดทางปัญญา มีบางที่บางครั้งกลับเพิ่มศรัทธาลงในจิตวิญญาณได้อย่างลึกซึ้ง..

เมืองเบธเลเฮ็ม คือ สถานที่ที่ทำให้รู้รัก ศรัทธาและเชื่อมั่นในความเป็นพระผู้ไถ่ขององค์พระเยซูเจ้าอย่างหมดหัวใจ ไร้ข้อกังขา แม้ว่าจะมีคำถามให้กับตัวเองว่า เราเป็นคนที่เท่าไหร่ที่ได้มาเฝ้าพระองค์.....

นับว่าเป็นครั้งที่สองของชีวิตแล้วที่ได้เดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ แม้จะต่างกาลเวลา ต่างบรรยากาศ แต่...มันคือความศรัทธาและความตื่นเต้นที่ได้มาหาองค์พระผู้ไถ่ยังสถานที่บังเกิดที่เบธเลเฮ็ม ย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว การเข้ามาเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ใช้เวลารอไม่นานนักก็ได้เข้าไปกราบแทบพื้นตรงจุดของการบังเกิด บนดาวสีเงิน แต่สำหรับครั้งนี้เห็นฝูงชนจำนวนมากมายต่างเข้าคิว เข้าแถวรอคอยเวลาของตนที่จะได้บรรจงจูบ ประนมมือกราบไหว้ดาวสีเงิน จุดที่พระองค์ได้ประสูติมา ทุกคนต่างเฝ้ารอด้วยหัวใจพองโตที่จะเข้าไปในซอกปากถ้ำเล็กๆแห่งนี้

เบื้องล่างเป็นวัดน้อยที่พระกุมารบังเกิด (Chapel of the Nativity) สถานที่บังเกิดของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นซอกหินเล็กๆ ทุกคนที่มาถึงที่นี่จะคุกเข่าเข้าไปใต้พระแท่นทีละคน จะสวด จะจูบ จะเคารพด้วยวิธีไหนก็ได้ แต่ต้องกระทำในเวลาอันสั้นๆ เพราะมีคนต่อแถวยาวเหยียด

โยเซฟเดินทางมาถึงเบธเลเฮ็ม เมืองของกษัตริย์ดาวิด เพราะโยเซฟสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์กษัตริย์ดาวิด เพื่อลงทะเบียนพร้อมกับพระนางมารีย์ ซึ่งกำลังมีครรภ์ ขณะที่ทั้งสองถึงที่นี่ ก็ถึงกำหนดคลอดพอดี พระนางคลอดบุตรชายคนแรก เอาผ้าพันกายกุมารนั้นแล้ววางไว้ในรางหญ้า เนื่องจากไม่มีที่ในห้องพักแรมเลย (ลก 2:1-7)

บริเวณที่เรียกว่าถ้ำพระกุมารนี้ มีพื้นเป็นหินอ่อน กว้างประมาณ 3 เมตร ยาว 12 เมตร มีรูปดาวสีเงินเป็นแฉกอยู่ตรงกลาง หรือดาวแห่งเบธเลเฮ็ม อยู่ใต้พระแท่น นับได้ 14 แฉก รอบๆดวงดาวมีอักษรจารึกไว้ว่า ที่นี่ พระเยซูเจ้าได้ทรงบังเกิดจากพระนางพรหมจารีมารีย์ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงการบังเกิดมาของพระเยซูเจ้า ดาวที่ได้นำโหราจารย์ นักปราชญ์จากสารทิศมาเพื่อนมัสการพระกุมารน้อย

เราได้เห็นดาวประจำพระองค์ขึ้นทางทิศตะวันออก และได้มานมัสการพระองค์ ดาวที่เขาเห็นขึ้นอยู่ในประเทศทางทิศตะวันออกนำหน้าเขา ไปจนกระทั่งมาหยุดนิ่งเหนือที่ที่พระกุมารประทับอยู่นั้น โหราจารย์บางท่านจากทิศตะวันออกเดินทางมายังกรุงเยรูซาเล็ม เที่ยวสืบถามว่า กษัตริย์ชาวยิวที่เพิ่งประสูติอยู่ที่ใด พวกเราได้เห็นดาวประจำพระองค์ขึ้น จึงพร้อมใจกันมานมัสการพระองค์..

และเนื่องจากคณะของเราเป็นกลุ่มเล็กๆจำนวนคนไม่มากนักเพียง 12 คน จึงทำให้เราสามารถที่จะเข้าไปกราบนมัสการดาวสีเงินนั้นโดยใช้ทางลัด ไม่ต้องต่อแถวเข้าคิวนาน เมื่อดาวอยู่ตรงหน้า คุกเข่าลงในใจก็ใคร่ครวญถึงการมาถึงของพญาสามองค์ อยากจะอยู่ต่อสักนิดเพื่อใคร่ครวญเรื่องราวเก่าในวันนั้น วันคริสต์มาสครั้งแรก..

แต่แล้วเสียงของคนจัดแถว จัดระเบียบในที่แห่งนั้นเร่งให้เราทำการเคารพดาวอย่างรวดเร็ว ทำให้ ณ เวลานั้นความคิดที่จะใคร่ครวญถูกฉุดกระชากลงอย่างฉับพลันไม่ทันตั้งตัว เมื่อได้ขึ้นมารวมกลุ่มกัน หลายคนยังตื่นเต้นไม่หาย มีบ้างบางคนน้ำคลอๆ ต่างก็แบ่งปันความรู้สึกกัน เมื่อกลับออกมาเรายังเห็นแถวของผู้คนเหยียดยาวเหมือนเดิม

วันนี้ ณ ที่แห่งนี้ มีผู้คนมากมายที่มาจากทั่วโลก ต่างพากันมาเพื่อชมสถานที่ซึ่งพระกุมารบังเกิดมา ในใจของแต่ละคนย่อมมีศรัทธาที่แตกต่างกัน แต่..ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันในความเชื่อของการเสด็จมาของพระผู้ไถ่ ผู้เป็นกษัตริย์แห่งจิตวิญญาณ ในครั้งกระโน้น มีเพียงไม่กี่คนที่ได้มาเฝ้า ที่ได้มายินดีกับการบังเกิดที่เงียบเหงาและโดดเดี่ยวของพระองค์ แต่ก็ได้รับการนมัสการอย่างยิ่งใหญ่จากพญาสามองค์

แต่เดี๋ยวนี้ คนเป็นล้านๆได้มาที่นี่ มาที่แผ่นดินที่เคยได้รองรับพระกายของพระกุมารน้อยจอมราชา กี่ล้านรอยเท้าแล้วที่เดินบนหินอ่อนแห่งนี้ กี่ฝีก้าวที่เหยียบย่ำลงบนบันไดจนสึกกร่อนเป็นรอยลึก แล้ว...รอยเท้าเรา เป็นรอยที่เท่าไหร่ แล้ว...เราเป็นคนที่เท่าไหร่ที่ได้มาเฝ้าพระองค์ มาหาพระองค์ พระกุมารน้อยพระองค์นั้นใช่ว่าจะอยู่ที่สถานที่แห่งนั้นเหมือนเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้วเท่านั้น วันนี้..พระองค์เสด็จมาอยู่ในใจเรา อยู่ในกายเรา นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้เข้ามาหาพระองค์ ไม่สำคัญว่าเราจะเป็นคนที่เท่าไหร่ สำหรับพระองค์แล้วทุกคนสำคัญเหมือนกันหมด ทุกคนเป็นคนแรกของพระองค์เสมอ เพียงแต่เรามักทำตัวเองให้กลายเป็นคนที่ล้านๆๆๆๆๆ ด้วยตัวเราเอง ด้วยบาปของเราเอง แต่พระกุมารน้อยไม่เคยหายไปไหน เงียบๆ แล้วฟังเสียงพระองค์ซิ.....

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันนี้มีที่ว่างหรือเปล่า…

วันนี้มีที่ว่างหรือเปล่า

บางที บางเหตุการณ์บนเส้นทางชีวิตก็มักเกิดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ อย่างไม่ได้คาดฝัน แต่นั่นแหละทุกห้วงเวลาที่ผ่านเข้ามา ย่อมมีแง่มุมข้อคิดให้กับชีวิตได้เสมอ ในขณะที่แสวงบุญยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่นั้น มีช่วงเวลาหนึ่งไปตรงกับวันชาบัทหรือวันสะบาโตของชาวยิว ซึ่งตรงกับเย็นวันศุกร์ถึงเย็นวันเสาร์ เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ พวกเขาถือตามที่หนังสือพระคัมภีร์ปฐมกาลที่กล่าวไว้ว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างโลกแล้วเสร็จในหกวัน วันที่เจ็ดเป็นวันพักผ่อน ชาวยิวจึงถือวันเวลานี้เป็นวันนมัสการขอบพระคุณพระผู้เป็นเจ้า มีการสวดอธิษฐานให้กันและกัน และกฎข้อนี้มีอยู่ในบัญญัติสิบประการที่พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ไว้แก่โมเสส คือ วันพระเจ้าอย่าลืมฉลองให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ ชาวยิวถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด

จากการสังเกตเห็นในตอนบ่ายๆก่อนจะสิ้นสุดวันศุกร์ ก่อนพระอาทิตย์ตกดินซึ่งก็ตกเร็วมาก ประมาณห้าโมงเย็นฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ถนนหนทางรถราเริ่มลดลง ร้านรวงห้างร้านเริ่มปิด แต่มีคนมากมายมาจับจองโรงแรม ผู้คนเกือบทั้งเมืองเตรียมตัวสำหรับวันหยุดพัก ชาวยิวรักษาประเพณีวันชาบัทนี้มาอย่างยาวนานหลายพันปี

แต่ก็แปลก...ชาวยิวหลายคนเป็นคนที่รวยระดับโลกเหมือนกัน ทั้งๆที่พวกเขาไม่ได้ทำงานแบบไม่รู้วันเวลา ทำงานเป็นบ้าเป็นหลังตะเกียกตะกายหาเงินกันเหมือนกับคนในสังคมบ้านเรา หรือว่าแท้จริงแล้ว การจัดระบบระเบียบชีวิตที่ดีต่างหากที่จะนำไปสู่ความสำเร็จทางฐานะการเงิน ใช่หรือไม่ เราตะบี้ตะบันหาเงิน เพื่อมาใช้เป็นค่าดื่มค่ากินและค่ารักษาพยาบาล ค่าเครื่องอำนวยความสะดวกที่มีวันสะดุดบ่อยๆ เราไม่ได้หาเงินเพื่อใช้เงิน ไม่ได้ทำงานเพื่อให้มีเวลาพักผ่อนและใช้เงินเพื่อสุขภาพจิตที่ดีกว่า

เย็นวันเสาร์คณะของเราได้เดินทางมายังเมืองเยรูซาเลม เพื่อวันรุ่งขึ้นจะเดินทางไปยังบ้านเบธเลเฮมสถานที่ประสูติพระผู้ไถ่กู้ เมื่อคณะของเรามาถึงโรงแรมที่พักที่ได้จองไว้ แต่ปรากกฎว่าห้องพักยังไม่ว่าง ยังไม่เรียบร้อย เนื่องจากยังมีชาวยิวอยู่ในห้องพัก ต้องรอให้พวกเขาออกไป จากนั้นพนักงานต้องทำความสะอาดก่อน พวกเราจึงจะได้เข้าพัก ชาวยิวจะไม่ทำอะไรในช่วงวันชาบัทนี้ จึงนิยมมาพักที่โรงแรม แล้วกว่าจะออกจากโรงแรม ก็ต้องหลังหกโมงเย็นของวันเสาร์ไปแล้ว คณะของเรามาถึงโรงแรมก่อนหกโมงเล็กน้อย พวกเราจึงค่อยๆได้ห้องพักทีละห้อง โชคร้ายมาตกที่ผู้เขียนพอดี ต้องนั่งรอเป็นชั่วโมงๆ กว่าจะได้ที่พัก และได้เป็นห้องสุดท้าย เหนื่อยก็เหนื่อย ก็มีหงุดหงิดบ้างตามประสา เดินไปเดินมา เพื่อกดดันพนักงานต้อนรับ แต่เมื่อย้อนหลังนึกดูแล้ว ความลำบากของวันนั้นมันเป็นเรื่องจิ๊บจ้อยมาก เมื่อเทียบกับวันที่นักบุญยอแซฟพาแม่พระมาที่เบธเลเฮมเพื่อทำสำมะโนประชากร

หญิงสาวท้องแก่ เดินทางด้วยลา รอนแรมตามเส้นทางร้อนระอุมาหลายเวลา เมื่อมาถึงที่หมายแต่หาที่พักไม่ได้ หนักหนาสาหัสเสียนี่กระไร..เรานั้นหน่ะรู้อยู่แล้วว่ามีที่พัก แต่พอต้องรอสักหน่อยก็ทำเครียด ทำเป็นหงุดหงิดจะเป็นจะตายให้ได้ หรือว่าหัวใจของเรามันไม่ว่าง จึงทำให้เราไม่เป็นสุข ...

เมื่อประเทศอิสราแอลได้เปิดประเทศให้คนทั่วไปได้มาท่องเที่ยว มาแสวงบุญ กันมากขึ้น ธุรกิจโรงแรมก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ประจวบกับการที่ชาวยิวถือวันชาบัทกันอย่างเคร่งครัด ไม่ทำงาน ไม่ทำอาหาร ไม่จุดไฟ นิยมมาพักและทานอาหารกันที่โรงแรม (พนักงานโรงแรมส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับจึงไม่ได้หยุดเหมือนชาวยิว) นี่จึงกลายเป็นการส่งเสริมธุรกิจโรงแรมให้เจริญเติบโตขึ้น และมีจำนวนมากที่ตั้งอยู่ติดๆกัน โดยเฉพาะที่กรุงเยรูซาเลม...

เช่นกันในวันเวลานั้น ผู้คนจากที่ต่างๆก็เดินทางมุ่งหน้ามายังกรุงเยรูซาเลม เมืองเบธเลเฮมที่ห่างจากเยรูซาเลมราว 5 ไมล์ ก็ย่อมคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ใครมาถึงก่อนก็ได้ที่พักก่อน ใครมีเงินมากก็ได้ที่ดีๆ พระนางมารีย์กับยอแซฟช่างไม้ ย่อมใช้เวลาเดินทางนานกว่าปกติ ย่อมมาถึงเป็นคนหลังๆ ที่พักย่อมหาไม่ได้ ไม่มีที่ว่างพอที่จะพักเพื่อคลอดบุตร แต่ด้วยหัวใจที่ว่างพอสำหรับพระเจ้าของท่านทั้งสอง เหตุการณ์ยิ่งใหญ่ก็ก่อกำเนิดขึ้นอย่างเงียบๆ ท่ามกลางฝูงสัตว์และผู้คนที่มีที่ว่างสำหรับพระเจ้าในค่ำคืนนั้น

ใช่หรือไม่ วันนี้ดวงใจของเราไม่มีที่ว่างสำหรับกันและกัน ปิดกั้น ไม่เปิดรับ ไม่ยอมรับผู้อื่น ใจเราล้มเปี่ยมไปด้วยความเห็นแก่ตัว พร้อมที่จะปิดลั่นกลอนใส่ผู้ที่มาขอความช่วยเหลือ ใจของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยการกอบโกย และเกี่ยวเก็บสะสม จึงไม่มีที่ว่างพอสำหรับการบังเกิดของพระกุมารน้อย เราไม่มีวันเวลาที่จะหยุดพักเพื่อไตร่ตรอง ถากถางที่รกร้างในใจให้ว่างเปล่า เราจึงจมอยู่กับความทุกข์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด หากเรามีเวลาว่างเราก็มีที่ว่างสำหรับผู้อื่นได้เสมอๆ

ปล่อยวางตัวตนแห่งโลกโลภเสียบ้าง ให้จิตวิญญาณได้ร่าเริงหรรษา ให้กายาได้เว้นวรรค ขยายที่ว่างในหัวใจ มองโลกอย่างสดใสแม้ในวันที่ฟ้าครึ้ม ทำไมไยต้องปิดกั้นกระชับพื้นที่ในหัวใจให้แคบ แล้วก็มานั่งอึดอัด ลำบากกายทุรายทุรนใจ จำเป็นแค่ไหนหรือที่จะเอาหัวใจไปผูกติดกับทรัพย์สิน เพราะที่ว่างวันสุดท้ายก็มีได้แค่ตัว แต่หากวันนี้เรามีที่ว่างสำหรับคนอื่น เราก็จะอยู่ในความทรงจำ ในหัวใจของคนอีกหลายคน นี่เป็นการสืบสานงานไถ่กู้ของพระกุมารน้อย แล้วเราก็ได้เกิดมาบนโลกนี้เช่นเดียวกับพระองค์เราจะไม่ทำเช่นนั้นบ้างหรือ ขอที่ว่างๆสำหรับคริสต์มาสปีนี้ด้วยนะครับ...

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ภูเขาแห่งการคาดหวัง

ภูเขาแห่งการคาดหวัง

ก่อนเดินทางไปแสวงบุญยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ถิ่นฐานแห่งความรักยิ่งใหญ่และบ่อเกิดการไถ่กู้ ตั้งใจไว้ว่าจะรำพึงสถานที่ที่สำคัญแล้วผสมผสานกับเรื่องราวแห่งยุคสมัยเพื่อให้เกิดหน่อธรรมลงในจิตใจ โดยเฉพาะการบังเกิดมาของพระผู้ไถ่ และเมื่อยิ่งใกล้ถึงวันคริสต์มาส ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะร่วมกันรำพึงเหตุการณ์เมื่อครั้งกระโน้นกับวันเวลาที่เรามีลมหายใจ โลกใบเดียวกันที่พระบุตรได้ลงมาบังเกิดเพื่อเราทุกคน แล้วเราทุกคนหล่ะ ได้เกิดมาเพื่อใครบ้าง เป็นคำถามแรกที่นำมาไตร่ตรองถึงเสมอๆและบ่อยๆในท่ามกลางความเห็นแก่ตัวของมวลมนุษยชาติ...

ระหว่างที่ต้องเดินทางตามเมืองต่างๆที่พระเยซูเจ้าเคยเสด็จผ่าน เคยประทับ สังเกตว่ารถนำเที่ยวของเราเดี๋ยวก็ขึ้นเขา เดี๋ยวก็ลงเขา และสถานที่สำคัญต่างๆก็มักอยู่บนภูเขา สภาพบ้านเมืองของประเทศอิสราเอลก็มักตั้งอยู่บนภูเขา หลายที่หลายแห่งทำให้ผู้แสวงบุญบางคนถึงกับท้อพูดออกมาว่า พระเยซูเจ้าเดินมาได้อย่างไร สูงขนาดนี้ ไกลก็ไกล แต่นั่นแหละการเดินทางบนภูเขาย่อมเป็นการทดสอบความมุมานะที่เต็มไปด้วยการคาดหวัง

หลังจากที่พระนางมารีย์ได้ทรงครรภ์เดชะพระจิตเจ้าแล้ว เพื่อเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่พระนางได้รับนั้นเป็นความจริง แม้แต่ญาติของแม่พระเองก็ยังตั้งครรภ์ได้แม้ว่าจะอายุมากแล้ว จึงทำให้แม่พระตัดสินใจหลีกตัวปลีกวิเวก เพื่อมีเวลาเตรียมตัว เตรียมความพร้อมกับภารกิจอันยิ่งใหญ่ แม่พระจึงได้เดินทางไปยังบ้านของนางเอลีซาเบธ (แม่ของนักบุญยอห์น บัปติส) ที่ตำบลอาอินการิมอยู่ไม่ไกลจากกรุงเยรูซาเลมมากนัก แต่ห่างจากนาซาแร็ธพอสมควร ตำบลนี้ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา พระวรสารบันทึกไว้ว่า พระนางมารีย์ได้รีบเร่งไปยังเมืองหนึ่ง ณ แถบแคว้นยูเดีย

ในวันที่เดินทางไปยังสถานที่แห่งนั้น รถของเราเข้าไปไม่ถึง ต้องลงเดินขึ้นไปยังวัด และก่อนถึงวัดก็มีบ่อน้ำที่เชื่อว่า แม่พระได้พักที่นี่เพื่อล้างหน้าล้างตาพักให้หายเหนื่อย ก่อนที่จะเดินทางขึ้นไปหานางเอลีซาแบ็ธบนเนินภูเขา แม้แต่เราเดินก็เหนื่อยมิใช่น้อย แล้วแม่พระขณะนั้นกำลังตั้งครรภ์อยู่ เดินทางมาคนเดียว ระยะทางไม่ใช่ใกล้ จะเหนื่อยเพียงใด แต่แม่พระอดทนจนได้พบญาติของพระนางที่พูดเมื่อได้พบหน้าแม่พระว่า บุตรของเธอเป็นผู้มีบุญแล้วเธอก็มีบุญกว่าหญิงใดๆ

ระหว่างการเดินขึ้นไปเยี่ยมวัดแห่งการเสด็จเยี่ยมแห่งนี้ ได้เห็นความจริงของเรามนุษย์บางอย่าง ใช่หรือไม่ เราเกิดมาพร้อมกับความหวัง การคาดหวังถึงจุดหมายปลายทางของความสำเร็จ แต่การที่จะได้มาต้องอาศัยความเพียร ขึ้นภูเขาสูงย่อมคาดหวังถึงยอดภู แต่ระหว่างทางความตั้งใจในสิ่งที่คาดหวังไว้อาจจะลดลงไปบ้าง แต่สำหรับบางคนที่เพียรทน ย่อมรู้ว่าอากาศและภาพที่สวยงามรออยู่บนยอดดอยภูเขานั้น แต่ก็มีไม่น้อยกลัวที่จะก้าวขึ้นสู่ยอดเขา ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความละล้าละลังและหวั่นวิตก บางคนก็กลับแหงนหน้าขึ้นมองดูยอดภูอย่างมาดมั่น ก้าวเท้าออกไปด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข ปราศจากความลังเล ไม่มีคำว่าท้อถอย ไม่รู้จักความล้มเลิก แม้จะมีบ้างบางครั้งบางคราวเจอกับเศษหินที่แหลมคมหรือหนาม กิ่งก้านใบไม้คม กรีดขูดผิวกายให้เจ็บแสบ ผ่านที่เปียกชื้นจนทำให้หกล้ม แต่ก็ยังลุกขึ้นก้าวไปด้วยหัวใจทระนงองอาจ เพื่อความต้องการจะไปให้ถึงซึ่งยอดแห่งขุนเขา และนี่เป็นภาวะแห่งขาขึ้นเขา..

และเมื่อต้องเอื้อนเอ่ยถึงขาลงจากภูเขาสูง ผู้เคยก้าวขึ้นมาอย่างสง่างามอาจจะต้องตกเป็นฝ่ายงกๆเงิ่นๆ ร่างกายจะสู้แรงโน้มถ่วงของโลกไม่ได้ คอยแต่จะหัวทิ่มพุ่งหน้าลอยลงสู่พื้นเบื้องล่างให้ได้ เกิดความหวาดหวั่นในการลงสู่ที่ราบ ตกลงแล้วชีวิตเราแม้จะมีการคาดหวัง แต่ไม่ว่าจะขึ้นหรือลงก็เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น หวาดกลัว อยู่ร่ำไป นี่แหละภูเขาสูงของชีวิตที่จะเดินทางผ่านไปให้ได้...

แล้ว.. ระหว่างขึ้นกับลง สิ่งใดกระทำได้ยากเย็นยิ่งกว่ากัน คำตอบคงจะพอๆกัน ทุกย่างก้าวในชีวิตต้องไม่ประมาทเลินเล่อ หากประมาทเพียงนิดชีวิตอาจหล่นร่วงสู่หุบเหวเบื้องล่างจนไม่มีปัญญาจะไต่กลับมายืนบนหนทางปกติได้ โดยเฉพาะในสังคมที่พร้อมจะผลัก พร้อมจะแกล้งให้เรากลิ้งตกลงสู่หุบเหว แล้วแอบขโมยความหวังของเราไปทำต่ออย่างไม่มีวันละอาย การขึ้นหรือลงต้องพึ่งตัวเอง และหากเพิ่มความงดงามที่หล่นหายไปนั่นคือการได้ประคองเพื่อนร่วมทาง เพื่อนร่วมหวัง เพื่อนร่วมฝันให้ฟันฝ่าเดินไปพร้อมกันด้วยหัวใจมุ่งมั่น แล้วเราก็จะเป็นผู้มีบุญ ในยามล้มลง ร่วงหล่นลงเหวก็จะมีคนเอื้อมมือ โยนเชือกให้เราเหนี่ยวนำตัวเองกลับสู่เส้นทางที่ปลอดภัย

การเดินขึ้นลงภูเขาได้สอนบางสิ่งให้เข้าใจชีวิต แต่ถ้าปล่อยความคิดนั้นหลุดลอยไป เราก็ลืมบทเรียนในวันที่เมื่อเรากลับคืนสู่พื้นราบตามปกติ อาจจะหลงเหลือเพียงช่วงขณะที่ได้พิชิตภูและห้วงเวลาที่ลงมาถึงพื้นราบอย่างปลอดภัย พลางว่าการเดินทางอันยาวนานและแสนเหนื่อยนี้ได้จบสิ้นลงแล้ว แต่..ในชีวิตจริงเราจะต้องพบเจอภูเขาใหญ่ๆกันอีกหลายลูก ชีวิตใช่ว่าจะมีแต่ที่โล่งโปร่งสบายเสมอไป การขึ้นและลงภูเขา ก็คือสิ่งที่เราจะต้องพบเจอเสมอในชีวิตประจำวัน ผู้ที่ผ่านบททดสอบการขึ้นลงภูเขาย่อมไม่กลัวเกรง กล้าที่จะเผชิญและแหงนหน้าสู่ยอดภูอย่างสง่างามและก้าวลงมาอย่างสงบนิ่ง ภูเขาทุกลูกย่อมมีความคาดหวัง และภูเขาชีวิตเราย่อมต้องไม่สูญเสียศรัทธาในความเชื่อต่อพระเจ้าตลอดไป....

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ก้าวข้ามผ่านความปวดร้าว

ก้าวข้ามผ่านความปวดร้าว

เรากำลังก้าวผ่านวันเวลามาจนถึงเดือนสุดท้ายของปีปฏิทินกันอีกปีหนึ่งแล้ว แต่ก็คงไม่ใช่เดือนสุดท้ายของชีวิตเรากระมัง แต่ถ้าเป็นเดือนสุดท้ายปลายชีวิตจริง สิ่งที่ต้องดำรงอยู่ในโลกต่อไปก็คือ สัจธรรมแห่งชีวิตที่มีทั้งทุกข์และสุข มีโศกเศร้าและหัวเราะเริงร่า มีขึ้นมีลง ...ทุกผู้คนไม่มากก็น้อยย่อมพบพานความปวดร้าวและถูกทำร้ายหรืออาจจะเป็นผู้ทำร้ายผู้อื่นทั้งแบบไม่รู้ตัวและอย่างเปิดเผยกันมาบ้าง... แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายทั้งปวงมีจำนวนไม่น้อย ที่บ่มเพาะมาจากเมล็ดพันธุ์แห่งความปวดร้าว เฉกเช่นความปวดร้าวแรกแห่งนาซาแร็ธ...

ภาพกระจกสีภาพนั้นที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ณ วัดบ้านของนักบุญยอแซฟ ภาพนั้นเป็นภาพที่นักบุญยอแซฟกำลังสวมแหวนหมั้นให้แม่พระ เป็นคล้ายดังปฐมบทความปวดร้าวของชายช่างไม้ที่ชื่อ ยอแซฟ แห่งเมืองนาซาแร็ธ เหตุการณ์ต่อจากนั้น คือ ความปวดร้าวที่เข้ามาสู่ท่านยอแซฟอย่างแทบไม่ทันตั้งตัว วันที่หญิงสาวผู้กำลังจะเป็นเจ้าสาว ได้ตั้งครรภ์ ได้รับการปฎิสนธิด้วยฤทธิ์แห่งพระจิตเจ้า ครั้งแรกที่ได้รับรู้ผู้เป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา ย่อมเจ็บปวดและร้าวรานที่สุดในชีวิต แต่สำหรับหนทางของพระเจ้า พระองค์มีวิธีการที่ทำให้ท่านยอแซฟและพระนางมารีย์ก้าวผ่านความปวดร้าวนั้นไปได้ อาศัยพลังแห่งความเชื่อ ความศรัทธาและความสุภาพนอบน้อม และการแจ้งประจักษ์ความจริงทำให้ท่านทั้งสองพร้อมเคียงคู่สู้คำครหาต่างๆนานา จนนำมาสู่การไถ่กู้อันยิ่งใหญ่

ช่าง....แตกต่างกับหนุ่มสาวยุคนี้ที่ใจไร้รัก มิพักต้องพูดถึงความอดทนอดกลั้นในหัวใจ ที่ไม่มีหลงเหลือ มีแต่ความสนุกสนานเป็นที่ตั้ง มีแต่ความเห็นแก่ตัวเป็นสรณะ ทารกเกิดจากความสำส่อนก็ซ่อนเร้นทำลาย ใส่ถุงพลาสติกไปโยนทิ้ง คุณค่าแห่งชีวิตตัวอ่อนๆยังถูกทำลาย สาอะไรกับคุณค่าในตัวตน จิตวิญญาณความเป็นคนก็คงไม่เหลือ เพราะอะไรเล่าชีวิตของผู้คนยุคนี้จึงเต็มไปด้วยความโหดร้าย ก็เพราะเรามักใช้อารมณ์อยู่เหนือสรรพสิ่ง มีเหตุผลเพื่อเอาตัวรอด ไม่ได้เอาความปวดร้าวมาเป็นผลของการเติบโต ไม่เคยเรียนรู้ความเป็นสุภาพบุรุษ และสุภาพสตรี ความเป็นชายจริงหญิงแท้แทบจะสูญพันธุ์

ในโลกนี้แท้จริงแล้วล้วนมีวิถีชีวิตให้เลือกเดินมากมาย เพียงแต่ว่าใครจะเลือกเส้นทางไหน ใช่หรือไม่ ในครั้งแรกเมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งความปวดร้าวได้หยั่งรากลงในจิตใจเรา ก็จะทำให้เราทรมานกับสิ่งที่เกิดขึ้นแทบเป็นแทบตาย และเราจะทำอย่างไรเล่าจึงจะขจัดวันวานอันขมขื่นออกไปจากใจ เพื่อที่จะก้าวต่อไปอย่างเชื่อมั่นในการใช้ชีวิตในวันพรุ่งนี้

คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ยินดีที่มีลูก แต่นั่นอาจจะเพิ่มความปวดร้าวลึก ลงในใจของหลายคนก็ได้ที่ไม่มีเวลาอยู่กับลูก ไม่มีเวลาให้ความอบอุ่น เพราะวุ่นวายกับการคิดว่าจะสร้างฐานะเพื่อเป็นเกราะปกป้องลูกหลายครั้งก็สำนึกเสียใจปวดร้าวที่ปล่อยให้วันเวลาเลยผ่านไป ด้วยเหตุผลพ่อต้องทำงานหนักเพื่ออนาคตของลูก แต่ไม่เคยรู้ความต้องการที่แท้จริงของลูก

มีพ่อคนหนึ่งทำงานอย่างหนักเพื่อว่าจะได้มีเงินทองส่งให้ลูกได้เล่าเรียน แต่แล้วความปวดร้าวอย่างที่สุดก็ได้เข้ามาอย่างจังในชีวิต เมื่อลูกชายตัวน้อยมีการบ้านที่แสนธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาสำหรับคนเป็นพ่อ คุณครูให้เด็กนำรูปถ่ายคู่กับคุณพ่อตอนไปเที่ยวในที่ต่างๆแล้วนำไปเล่าถึงความประทับใจในวันพ่อที่จะมาถึง เมื่อลูกชายได้มาบอก พ่อถึงกับอึ้งที่ตลอดเวลามานี้ไม่มีสักครั้งที่จะพาลูกชายไปเที่ยวและถ่ายภาพเก็บไว้ เขาเศร้าใจยิ่งนัก แต่เพื่อให้ลูกชายมีการบ้านส่งคุณครู เขาจึงนำภาพลูกชายและตัวเขามาตัดต่อประกอบภาพวิวด้วยคอมพิวเตอร์และเขาก็ทำได้อย่างแนบเนียน แต่ความปวดร้าวนั้นก็ยังไม่หมดไป มันยังคงฝังอยู่ในใจเขาอย่างแน่นหนา จึงก่อให้เกิดความทุกข์ เมื่อมีผู้ไถ่ถามเขาก็เล่าให้ฟังถึงความปวดร้าวนั้น เขากล่าวว่า คอมพิวเตอร์ตัดต่อภาพได้ แต่มันไม่สามารถตัดแต่งความสัมพันธ์พ่อลูกได้เลย จากนั้น เขาจึงหยุดทำงานอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง หาเวลาและเติมเต็ม ให้เวลากับลูกชายที่ขาดหายไปเสียนาน เขาได้ใช้ความปวดร้าวมาเป็นยารักษา โดยอาศัยความเชื่อและความรักในครอบครัว เพื่อสร้างความสัมพันธ์พ่อแม่ลูกคงอยู่ต่อไปอย่างมั่นคง

เวลาแห่งความปวดร้าวเป็นเพียงฉากหนึ่งของชีวิตที่ผ่านเข้ามา เพื่อที่จะพิสูจน์ตัวตนของเราว่า กล้าพอไหมที่จะยอมรับผลพวงของความผิดพลาดนั้นด้วยหัวใจที่กล้าหาญ และเราจะต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าไม่มีใครที่สามารถให้เหตุผลนำชีวิตได้ตลอดกาล เพราะในความเป็นปุถุชนคนธรรมดานั้นย่อมหลีกเลี่ยงความพลาดพลั้งในชีวิตไม่พ้น หากการมีชีวิตอยู่ คือ การได้ใช้ชีวิต เราก็ต้องรู้จักประคองตนให้บาดเจ็บน้อยที่สุด ทำร้ายผู้อื่นและตัวเองให้น้อยที่สุด และไม่ว่าเราจะเลือกดำเนินชีวิตอย่างไร ไม่มีทางเลือกใดที่จะไม่ปวดร้าว เป็นธรรมดาที่มนุษย์ทุกคนย่อมต้องเคยตกอยู่ในวังวนแห่งความปวดร้าว แต่การจ่อมจมและดำดิ่งอยู่ในท่ามกลางความปวดร้าวนานเกินไป มากเกินไป โดยปราศจากความเชื่อและความหวัง ก็คือการบั่นทอนตนเอง และบนเส้นทางชีวิตย่อมต้องมีเส้นทางที่ปวดร้าวเกิดขึ้นอีกครั้งและอีกครั้ง แล้วเราจะก้าวข้ามผ่านเวลาแห่งความปวดร้าวนั้นไปได้หรือไม่ อย่างไร จะยอมให้เมล็ดพันธุ์แห่งความปวดร้าวเน่าในตัวเราหรือจะทำให้มันหยั่งรากลึกลงเพื่อให้ลำต้นแห่งชีวิตนี้แข็งแรง แล้วเดินทางต่อไป เราเลือกได้แต่ควรเลือกประเด็นหลังจึงจะงดงามกว่า.