ก้อนหินก้อนนั้น
ชีวิตของคนเราต่างก็ผ่านวันเวลา ผ่านเรื่องราว ร้าย-เลว-ดี มาแล้วกันด้วยทุกๆคน ทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต หากเราน้อมรับว่านี่แหละคือเครื่องขัดเกลา เครื่องบ่มเพาะให้จิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เชื่อว่าแต่ละคนแต่ละวิถีชีวิตย่อมมีบทเรียนที่แตกต่างกันไป ก็คงคล้ายๆกับก้อนหินที่มีอยู่มากมายหลากหลายชนิดบนพื้นดิน มีทั้งขนาด ที่ถูกกาลเวลา ผ่านลม ผ่านแดด ผ่านฝน ขัดเกลาเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง บางก้อนกลมเกลี้ยง บางก้อนมันวาว บางก้อนก็ยังขรุขระ บางก้อนสีเข้ม บางก้อนซีดจาง
เป็นข้อสังเกตที่ได้มองเห็นก้อนหินก้อนต่างๆที่มาจากกิจกรรมแรกในการค้นหาตัวตน ของผู้เข้าร่วมรับการอบรมในการสร้างเสริมชีวิตให้พบกับความสุข โดยการให้แต่ละคนออกไปหาก้อนหินเพื่อแทนตัวตน และเมื่อแต่ละคนนำกลับมาแล้ว ก็นำมารวมกองอยู่ในที่เดียวกัน ด้วยความรีบเร่งทำให้หลายคนก็จำลักษณะก้อนหินที่หามาไม่ได้ จนกระทั่งให้เริ่มต้นกันใหม่ แล้วให้พินิจพิเคราะห์ให้ดีว่าก้อนหินแทนตัวตนนั้นมีเหลี่ยม มีมุม มีมน มีลักษณะเช่นไร ใช่หรือไม่ คนเรามักมองข้ามการสำรวจตัวตนอยู่บ่อยครั้ง ลืมมองตัวเอง เพราะมัวมองแต่คนอื่น เพราะมองแต่สิ่งแวดล้อมรอบข้าง แล้วก็เกิดความอยาก เกิดความโลภ ปล่อยโอกาสหลุดลอยไปในอากาศ
ที่ประเทศแอฟริกา กลางป่าใหญ่ไพรกว้างแห่งหนึ่ง ยังมีสิงโตผู้หิวโซตัวหนึ่งกำลังเดินหาเหยื่อของมันไปเรื่อยๆ สายตาจับจ้องมองไปข้างหน้าด้วยความหิวโหยอย่างแสนสาหัส และแล้วขณะนั้นเอง มันก็ได้ไปพบกับกระต่ายป่าตัวหนึ่งเข้า
“โอ้โห..ช่างน่ากินเหลือเกินเจ้ากระต่ายน้อยเอ๋ย เนื้อของเจ้าคงนุ่มนิ่มและหวาน จนน้ำลายเราสอรอไม่ไหวแล้ว” มันตั้งท่าแล้ววิ่งตามกวดกระต่ายป่าน้อยตัวนั้นไปจนทัน และเมื่อกระต่ายป่าต้องจนมุม สิงโตหิวโซตัวนั้น ก็จ้องจะจับกินกระต่ายตัวนั้นในทันที
แต่ ! ขณะเดียวกันนั้น ก็ได้มีกวางตัวหนึ่งวิ่งผ่านมาข้างๆ
“อ๊ะ...นั่นมันกวางนี่หว่า ตาเราไม่ฝาดใช่ไหม เจ้ากวางตัวนั้นจะเป็นอาหารมื้อใหญ่ของฉันเลยทีเดียว” สิงโตรำพึง
ดังนั้น มันจึงปล่อยให้กระต่ายหลุดรอดไป แล้วมันเองก็วิ่งกวดตามกวางไปทันที แต่กวางตัวนั้นวิ่งได้เร็วมาก เร็วเสียจนในไม่ช้า มันก็ลับหายไป เมื่อสิงโตเห็นหมดหวังจะตามกวางได้ทัน มันก็ว่า “ฉันจะกลับไปกินเนื้อกระต่าย ดีกว่า”
แต่เมื่อมันกลับมาที่ ๆ ซึ่งเมื่อตะกี้ ที่มันได้ต้อนกระต่ายไปจนมุมนั้น มันได้พบว่า กระต่ายได้หนีหายไปเสียแล้ว
“โธ่เอ๋ย ฉันน่า จะกินกระต่ายเสียก่อนตั้งแต่ตอนที่พบมันครั้งแรก” แล้วเจ้าสิงโตก็คร่ำครวญ “นี่เป็นเพราะฉันโลภมากเกินไป ผลสุดท้ายก็เลยไม่ได้ กินอะไรเลย”
ใช่...ในระหว่างบรรทัดแห่งหนทางชีวิต หลายครั้งเราก็ปล่อยโอกาสหายไปเนื่องจากหวังเกินจริง ตั้งเป้าหมายเกินควร มองไม่เห็นว่าแท้จริงแล้วควรทำอะไรก่อนหลัง ความสับสนของการดำรงชีวิตมักนำมาซึ่งปัญหาไม่รู้จบ และเราหลายคนก็ไม่เคยเรียนรู้ที่จะสู้ปัญหา ไม่เคยเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้น พยายามข้ามไปเพื่อหาเป้าหมายใหม่ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งคิด โดยที่ไม่ได้คิดเลยว่า ทุกเป้าหมายล้วนแฝงไปด้วยปัญหา หากไม่รู้จักใช้โอกาสในการสู้ในการเรียนรู้ปัญหา ก็ไม่มีหนทางไปสู่ความสำเร็จได้สักครั้งในชีวิต
คนที่ไม่รู้จักแก้ปัญหาแท้จริงมองให้ลึกลงไป ก็คือคนที่ไม่รู้จักตัวเองดีพอ หลายคนเข้าขั้นกลัวตัวเอง และละเลย ละทิ้งตัวเอง ปล่อยชีวิตให้เป็นดังก้อนหินที่กลิ้งไปกลิ้งมาอย่างไร้ทิศทาง เป็นได้อย่างเก่งก็เพียงถูกหยิบจับมาปาใส่หัวกันและกัน จากนั้นมันก็ถูกทิ้งขว้าง ถูกดูหมิ่นว่าเป็นเพียงเครื่องมือที่ก่อให้ผู้อื่นเดือดร้อน หากเราเป็นได้แค่เพียงก้อนหินเช่นนี้ ชีวิตเราจะมีคุณค่าอะไร จะมีคุณประโยชน์อะไรต่อคนรอบข้าง ต่อสังคม และต่อส่วนร่วม
แต่สำหรับก้อนหินที่ถูกขัดเกลาจนสวยงาม เมื่อใครเห็น ใครก็ต้องการจะยกย่อง เชิดชู ให้เป็นเครื่องประดับที่สวยงาม ถูกนำมาตั้งโชว์ นำมาเรียงในชั้นวางหรู และยิ่งเมื่อขัดเกลาจนไปถึงขั้นจากหินกลายเป็นเพชรเม็ดงาม ใครๆก็ปรารถนาจะได้อยู่ใกล้ อยากจะได้เป็นเชยชมและสรรเสริญ เฉกเช่นพระนางมารีย์ผู้ฝึกฝนตนเองจนกลายเป็นสตรีที่งดงามจนได้รับพระพรมากกว่าหญิงใดๆ และลูกของพระนางก็ได้รับพระพร จนกลายเป็นผู้กอบกู้โลกที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก
แล้ววันคืนที่ผ่านมาและกำลังจะพ้นผ่านไป เราเป็นก้อนหินก้อนแบบไหนเล่า... กลม มน เกลี้ยงหรือยัง ...ใกล้ที่จะเป็นเพชรงามหรือยัง.. หากยังห่างไกล ก็จงใช้ทุกๆโอกาสที่ผ่านเข้ามา ใช้ทุกเหตุการณ์ ทุกเรื่องราวหล่อหลอมขัดเกลาจิตวิญญาณของเราให้สวยงามและคงอยู่ตลอดไป อย่าปล่อยให้เราเป็นเพียงก้อนหินที่คนเขาโยนลงน้ำอย่างไร้ค่า อย่าปล่อยให้เราเป็นเพียงก้อนหินที่ถูกเหยียบย่ำแล้วเดินผ่านไปอย่างไร้การเหลียวแล เพราะชีวิตเรามีคุณค่าและสวยงามเสมอ โอกาสรอเราอยู่แทบทุกนาทีที่หายใจ หามันให้พบแล้วใช้มันให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินชีวิต...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น