วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

มองความดี...ที่ข้อบกพร่อง

มองความดี...ที่ข้อบกพร่อง

ขอสารภาพตามตรงว่าช่วงที่กำลังเขียนบทความนี้มีความเครียดสูงถึงขั้นสูงมาก เครียดเพราะสถานการณ์บ้านเมือง ที่คาดเดาไม่ออกว่าจะเดินไปสู่จุดไหน เครียดเพราะสับสน คิดมากในคำติฉินนินทาของผู้คน เครียดเพราะบางอย่างในชีวิตไม่ได้เป็นดังหมาย นั่นคงเป็นเพราะด้วยนิสัยส่วนตัวที่มักชอบตั้งเป้าหมายในทุกเรื่อง เรียกง่ายๆว่ามีกิเลสอยู่มากหลายในหนทางชีวิต ใจหนึ่งก็ต้องขอบคุณกิเลส อารมณ์โกรธเคืองโมโห ที่เกิดขึ้น ถ้าหากไม่เคยผ่านสิ่งเหล่านี้เราจะรู้หนทางในการทำความดี ในการปลดปลง และรู้จักไตร่ตรองชีวิตในแต่ละคืนหรือ หากบาปไม่มี บารมีความดีจะเกิดมาได้เยี่ยงไร...

ใช่หรือไม่ ความเครียดของคนเรานอกจากจะเกิดจากตัวเราแล้ว ยังเกิดจากการไปมุ่งหวัง ตั้งความหวังในผู้อื่นอีกด้วย หลายครั้งในชีวิตที่เห็นคนดีๆคนหนึ่ง ผิดพลาดในเรื่องเล็กน้อย เราก็รู้สึกผิดหวัง รู้สึกว่าคนนั้นดีแตก ซ้ำร้ายเรายังตราหน้า ว่ากล่าว โดยที่ไม่ได้มองย้อนกลับไปว่า ความดีที่เขาทำมานั้นมันยิ่งใหญ่และมากมายแค่ไหน เราใช้มาตรฐานตามความรู้สึกชั่ววูบ ใช้มาตรฐานส่วนตัวไปวัดค่าความดีของคนอื่น มาตรฐานที่บางครั้งเอนเอียงเข้าข้างตัวเรา โดยที่ไม่ได้มองความจริงเลยว่า ทุกอย่างในโลกมีสองด้านเสมอ ทุกผู้คนมีดีมีเลว ถ้าไม่มีความเลวเราจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าอะไรคือความดี

คนเราก็มักใช้ความรวดเร็วในสิ่งที่เห็น ที่สัมผัสและก็ตัดสินคนอื่น ไม่ได้ใช้เวลาในการไตร่ตรอง ไม่มีความอดทนในการรับรู้เหตุผลแห่งการกระทำของคนอื่น เราชอบที่จะเห็นคนเลวถูกตัดสินในทันที แต่เมื่อถึงคราวที่เราทำพลาด ก็มักคาดหวังขอเวลาเพื่อพิสูจน์ความจริงในสิ่งที่เรากระทำ เราไม่ค่อยให้เวลาคนอื่น แต่ชอบขอต่อเวลาให้กับตัวเอง ดูถูกเหตุผลคนอื่น แต่ชอบแก้ตัวให้ตัวเองอย่างไร้เหตุผล

สิ่งหนึ่งที่มักควบคู่ไปกับการกระทำความดี คือ การสละตัวเอง ไม่ไปยึดโยงผูกพัน สร้างพันธะในหัวใจให้มากมาย การบรรลุเป้าหมายแห่งความดีไม่ได้ขึ้นกับกาลเวลา ไม่มีค่ามาตรฐานกลางในการกระทำความดี คุณค่าของความดีอยู่ระหว่างในขณะที่กำลังทำความดี

มีเรื่องเล่าว่า มีหนุ่มคนหนึ่ง เขาอยากจะเป็นนักฟันดาบที่เก่งกาจ เขาจึงไปหาอาจารย์สอนฟันดาบให้ช่วยสอนเขาให้เป็นนักฟันดาบ เขาถามอาจารย์ว่าจะใช้เวลาสักกี่ปีจึงจะเรียนจบ อาจารย์ก็ตอบว่า ประมาณ 7 ปี เขาชักรวนเร เพราะว่า 7 ปีมันนานเกินไป ฉะนั้น เขาขอร้องใหม่ว่า เขาจะพยายามให้สุดฝีมือ ทุ่มเทฝึกฝนทั้งกลางวันกลางคืน จะต้องใช้เวลาสักกี่ปี อาจารย์ก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นต้องใช้เวลาสัก 14 ปี ชายหนุ่มก็โอดครวญขึ้นมาว่า พ่อของเขาแก่มากแล้ว จะตายอยู่รอมร่อแล้ว อยากจะแสดงฝีมือฟันดาบให้พ่อได้เห็นเป็นบุญตาก่อนตาย เพื่อที่จะได้สนองคุณของพ่อ จะต้องใช้เวลาสักเท่าไร ท่านอาจารย์ก็บอกว่า ถ้าเช่นนั้นต้อง 21 ปี ยิ่งอ้างเหตุผล เวลาเรียนก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ชายหนุ่มคิดจะจากไปก็ไม่มีใครเก่งเท่าอาจารย์ท่านนี้ จึงจำใจยอมรับ เขาจึงอยู่ไปแบบซังกะตาย ก็มันไม่รู้จะทำอย่างไร

หลายวันต่อมา อาจารย์ก็ใช้ชายหนุ่มคนนี้ ให้ไปเข้าครัว ทำอาหาร ให้ตักน้ำ ผ่าฟืน ถูพื้น ปลูกต้นไม้ ดายหญ้า เขาก็ทำๆไป ปล่อยให้เวลาผ่านไปแต่ละวัน บัดนี้ ใจของเขาไม่ได้อยู่กับการเรียนฟันดาบเสียแล้ว

แต่แล้วจู่ๆในวันหนึ่งอาจารย์ก็ผลุนผลันเข้ามาในครัว พร้อมถือดาบทั้ง 2 มือ ฟันหนุ่มคนนี้ ทั้งๆที่ยังไม่รู้สึกตัว อุตลุดเป็นการใหญ่ เขาก็ต่อสู้ไปตามเรื่องตามราว เพื่อปกป้องตัวเอง หยิบอะไรได้ก็หยิบมาแทนดาบ ปัดป้อง มิให้ถูกคมดาบ สักพักอาจารย์ก็เลิกรา และจากไปอย่างเงียบงัน

วันดีคืนดี อาจารย์ก็เข้ามาใช้วิธีการแบบเดิม จู่โจมโดยที่เขาไม่รู้ตัว ทำอย่างนี้บ่อยๆทำอย่างนี้เรื่อยไป และแล้วเขาก็กลายเป็นนักฟันดาบแบบไม่รู้ตัว จนกระทั่งอาจารย์บอกว่า กลับบ้านได้แล้ว เจ้าจบหลักสูตรแล้ว ต่อมาชายหนุ่มคนนี้ก็กลายเป็นนักฟันดาบลือชื่อ

ถ้าเปรียบเทียบการทำดีเหมือนกับการเรียนฟันดาบของชายหนุ่มผู้นั้น เรามักพะวงกับวันเวลาในการทำดี นั่งนับสถิติ ขีดเขียน ความดีเป็นเล่มเป็นโหล เราก็ไม่สามารถไปถึงซึ่งความดี แต่ถ้าเราใช้ชีวิตไปกับการทำดี เรียนรู้ความดีในความผิดบาปทั้งของตัวเอง และนำบทเรียนของผู้อื่นมาเป็นแบบฝึกหัด ชีวิตเราก็ก้าวสู่เส้นทางแห่งความดี มาตรฐานของความดีอยู่ที่ความพยายามทำดี

และที่สุด เมื่อเรามีบทเรียนแห่งความดีแล้ว สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการทำดีคือการรู้จักให้อภัย เห็นคนที่ก้าวล้ม เราจะก้าวผ่าน เราจะเหยียบย่ำ หรือกระทืบให้จมดิน สิ่งนั้นแหละคือเครื่องวัดใจเราว่า เราเป็นคนดีแค่ไหนเพียงไร และหากว่าวันนี้สังคมไทยเรามีการอภัยนำหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างจะก้าวไป เติบโตไปพร้อมกันอย่างสงบ เรียนรู้สันติในความขัดแย้ง เฉกเช่นเรียนรู้ที่จะทำดีในความบกพร่องส่วนตัว และพร้อมให้อภัยผู้อื่นเท่าๆกับการให้อภัยตัวเองในครั้งที่เรากลับใจ ....

ไม่มีความคิดเห็น: