วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553

ยุคโลภาภิวัฒน์

ยุคโลภาภิวัฒน์

แสงแดดที่สาดส่องลงมาไร้เมฆหมอกดักกรอง ทำให้อากาศร้อนจนแทบระเบิด อุณหภูมิประเทศเราสูงขึ้นในทุกๆปี นี่ไม่ต้องพูดถึงจิตใจของคนไทยที่มีแต่ความร้อนรุ่ม แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย เป็นค่าย เป็นสี ต่างก็ยึดโยงสิ่งที่เรียกให้โก้หรูว่า อุดมการณ์ กันอย่างเหนียวแน่น แท้จริงสิ่งนั้นมันเป็นโมหะจริต เป็นความโลภ ความจองหอง ความหยิ่ง และการอวดรู้ อวดเก่ง เอาเข้าจริงต่างฝ่ายต่างก็มีผลประโยชน์ให้ยึดครองด้วยกันทั้งนั้น แม้บางฝ่ายบางกลุ่มเป้าประสงค์ดูดี หวังสร้างแนวทางสังคมใหม่ แต่สุดท้ายก็โยงเข้าหาความโลภด้วยกันทั้งนั้น ต่างฝ่ายต่างก็คิดว่าสิ่งที่ทำอยู่คือสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ดีงามโดยไม่เปิดใจรับแนวทางอื่น ไม่มีการฟังฝ่ายที่อยู่ตรงข้าม แม้กระทั่งไม่ยอมฟังกรรมการตัดสิน อย่างนี้ก็ไม่รู้ว่าจะกู่ตะโกนก้องร้องหาความยุติธรรมกันทำไม...

อากาศร้อน สังคมร้อน ใจคนโลภ ควบคุมจิตใจไม่ได้ ขนาดแข่งขันกีฬาฟุตบอลยังยกโขยงต่อยตีกันเรียกว่า ฟุตบอลไทยไปมวยโลก หลายคนไม่เข้าใจว่าสังคมไทยเราเป็นอะไรกันนักหนา เป็นบ้าเป็นบออะไรกันเล่า เราจึงมีแต่เรื่องราวไม่เว้นแต่ละวัน หาความสงบสุขไม่เจอ ดำเนินชีวิตบนความหวาดระแวง ตะแคงหูฟังข่าวลือ สื่อก็ใช่ย่อย กลายเป็นสนามของเรื่องร้ายๆ กลายเป็นตลาดขนาดใหญ่ของการสร้างกระแส จนมีคำพูดที่ว่า วันนี้ข่าวร้ายลงฟรีข่าวดีต้องเสียสตางค์จ้างลง ที่กล่าวมาสรุปอยู่ที่ทุกย่างก้าวของชีวิตเราวันนี้ เดินอยู่บนแผนการตลาดของกันและกัน แต่ละคนก็จ้องจะขายนั่นขายนี่ให้กัน เพียงเพื่อว่ายอดขาย เพียงเพื่อหวังเปอร์เซ็นต์จากการขาย ขนาดมิตรภาพความห่วงใยยังถูกแปรรูปเป็นค่าคอมมิชชั่นเลย

คนเราทุกวันนี้ ต้องเหน็ดเหนื่อยวิ่งวุ่นกับการทำกำไร หนักใจอยู่กับทรัพย์สมบัติมหาศาล จิตใจก็ไม่มีวันสงบ ไม่รู้จักหยุดนิ่ง วิตกกังวลไปร้อยแปดอยู่ตลอดเวลา ชนิดที่ว่า กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ เผาไหม้จนรุ่มร้อนทั้งกายและใจ เมื่อไม่ได้มาโดยง่ายก็หาทางคดโกง และทำให้ดูเนียน ใช้มือข้างหนึ่งหยิบยื่นให้ผู้อื่นแต่มืออีกข้างหนึ่งกอบโกย สะสม เก็บซ่อน และส่วนใหญ่มือที่ใช้กอบโกยมักเป็นมือที่ถนัดเสียด้วย

บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า คนเราจะกอบโกยกันไปถึงไหนหนอ หรือว่าเรายังไม่มีโอกาสอย่างคนเหล่านั้น ถ้าโอกาสนั้นเข้ามา กองเงินมหาศาลโถมเข้าใส่ เราจะทำจิตใจไม่ให้ละโมบโลภมากได้หรือเปล่า ยิ่งในยุคที่เรียกว่าโลภาภิวัฒน์ ที่มีพัฒนาการการคดโกงกินกันอย่างเป็นขบวนการ เป็นระบบ มีขั้นมีตอน เช่นวันนี้แล้ว เมื่อตกในสภาพนั้นเราจะรอดพ้นความโลภได้อย่างไร เราจะยอมเป็นคนโง่ในสายตาของคนทั่วไปแต่เป็นคนฉลาดในดวงเนตรแห่งธรรมะได้หรือไม่ คงต้องขึ้นอยู่กับการขัดเกลามโนธรรม ฝึกฝนความอดทนของจิตสำนึก อบรมจิตใจให้กล้าแกร่ง

สิ่งหนึ่งในยุคโลภาภิวัฒน์ที่มักได้ยินได้ฟังกันบ่อยๆก็คือ คนที่คดโกงไม่เห็นเขาจะได้รับผลบาปกรรมนั้นเลย เวลาที่เกิดภัยพิบัติ แผ่นดินไหว พายุถล่ม ตึกทลายบ้านเมืองพังพินาศ มีผู้คนล้มตายจำนวนมาก แต่ยังไม่เคยเห็นคนที่คดโกงชาติโกงเมือง คนร่ำรวยเพราะการทุจริตอยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้นเลย จนกลายเป็นว่าไม่ต้องกลัวบาปกลัวกรรม มีโอกาสโกงได้ก็โกงไป ทำดีได้ดีหามีไม่ ทำชั่วได้ตังค์คืออนิจจังของวันนี้...

แต่สำหรับผู้ที่ยังมีใจอ่อนโยน ไม่ตายด้านชาชินกับกระแสโลภครองเมือง เราต้องคิดว่าไม่ช้าก็เร็วชีวิตคนเราก็ต้องล้มตัวลงนอนอย่างนิรันดร์ สิ่งที่กระสันเสพมาเก็บ สะสมจะเอาไปได้หรือ สิ่งที่เหลือทิ้งไว้ให้เป็นอมตะเป็นที่จดจำ เป็นความทรงจำอันงดงาม คืออะไรเล่า หาใช่ ความดี ความงาม ในระหว่างทางของชีวิตที่เราได้สร้างไว้หรือ เรามันก็แค่หิ่งห้อยที่มีแสงประกายพอตัวอย่ามัวไปอวดเบ่งรัศมีเทียบเท่าแสงจันทร์เลย ให้คนชื่นชมแสงแห่งเรา หาใช่การโอ้อวดแสงนั้นให้คนอื่นได้เห็น ให้แสงแห่งเรานำทางผู้อื่นโดยไม่ต้องชี้นำให้ผู้อื่นเดิน...

ความโลภเกิดจากความเกินพอดี คนโลภคือคนไม่เคยมีอะไรเพียงพอในชีวิต ลองหยุดการแสวงหาไขว่คว้า เลิกวุ่นวาย ชีวิตเราก็จะพบอิสระมากขึ้น และหากว่าเป็นสิ่งที่ยากยิ่งที่จะหยุด ก็ลองละเว้น ลดโลภในบางเรื่องลงบ้าง ค่อยๆลดความเห็นแก่ตัว มองไปยังคนอื่นบ้าง มองออกไปให้พ้นปลายจมูกของเรา ลองทำตัวให้เป็นอิสระแบบนกในอากาศ บินไปเห็นโลกกว้างที่สวยงาม โดยไม่ไปยึดติดกับสิ่งใด บินไปอย่างสบายอารมณ์แม้ในวันที่ร้อนอบอ้าว เพราะความอิสระคือสายลมที่ฉ่ำเย็นในจิตใจ สิ่งนี้ต่างหากที่เราควรแสวงหา แต่เราถูกมายาในรูปเงินตราและอำนาจเข้าครอบงำ โดยมีความโลภเป็นสื่อนำไป เราหลงทางกันไกลแล้ว หันหลังเดินทางกลับเพื่อสร้างสังคมให้เข้มแข็งให้หลุดพ้นจากยุคโลภาภิวัฒน์สู่ยุคสุขโสภาภิวัฒน์กันเถิดพี่น้อง....

1 ความคิดเห็น:

Oil..ยังไงก็ออย กล่าวว่า...

เพิ่งเคยเข้ามาครั้งแรกคะ...อ่านแล้วรู้สึกดีจัง..
ขอติดตามด้วยคนนะคะ