ชีวิตของเราประเมินเป็นราคาได้ไหม!!! เป็นคำถามที่เกิดขึ้นเมื่อมองผ่านเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคม สังคมแห่งความเกลียดชังที่กำลังก่อตัวในความขัดแย้งระหว่างความรวยกับความจน สังคมที่มองว่าบางกลุ่มมีโอกาสแต่บางกลุ่มไร้โอกาส คนเราต่างก็อยากได้อยากมีกันอยู่ด้วยกันทุกคน แต่ก็คงหนีไม่พ้นสัจธรรมของโลกนี้ ใช่หรือไม่ หากไม่มีคนจนไฉนเลยจะรู้ว่าใครรวย คนที่มีโอกาสมากกว่าได้สร้างหนทางให้คนน้อยโอกาสกว่าได้เดินไป นี่แหละที่เราเรียกว่า “การพัฒนา” ถ้าไม่มีคนเสียสละ โลกจะรู้จักค่าของการแบ่งปันได้อย่างไร
วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553
ราคาแห่งชีวิต
วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553
เจ้าชีวิต
ชีวิตของคนเรานี่ก็แปลกดี วันหนึ่งเราเคยถูกใครบางคนมาบงการให้ดำเนินชีวิตตามแบบแปลนที่เขาวางไว้ และมาวันหนึ่งเราก็อาจจะกลายเป็นนักออกแบบชั้นยอดที่สร้างแบบ วางแปลน บงการให้ผู้อื่นมามีวิถีชีวิตแบบที่เราต้องการ เดินไปบนทางที่ขีดกำหนดให้เดิน คิดไปคิดมานี่ก็เป็นความเห็นแก่ตัวบนความหวังดีนี่เอง ...
วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553
มองความดี...ที่ข้อบกพร่อง
มองความดี...ที่ข้อบกพร่อง
ขอสารภาพตามตรงว่าช่วงที่กำลังเขียนบทความนี้มีความเครียดสูงถึงขั้นสูงมาก เครียดเพราะสถานการณ์บ้านเมือง ที่คาดเดาไม่ออกว่าจะเดินไปสู่จุดไหน เครียดเพราะสับสน คิดมากในคำติฉินนินทาของผู้คน เครียดเพราะบางอย่างในชีวิตไม่ได้เป็นดังหมาย นั่นคงเป็นเพราะด้วยนิสัยส่วนตัวที่มักชอบตั้งเป้าหมายในทุกเรื่อง เรียกง่ายๆว่ามีกิเลสอยู่มากหลายในหนทางชีวิต ใจหนึ่งก็ต้องขอบคุณกิเลส อารมณ์โกรธเคืองโมโห ที่เกิดขึ้น ถ้าหากไม่เคยผ่านสิ่งเหล่านี้เราจะรู้หนทางในการทำความดี ในการปลดปลง และรู้จักไตร่ตรองชีวิตในแต่ละคืนหรือ หากบาปไม่มี บารมีความดีจะเกิดมาได้เยี่ยงไร...
ใช่หรือไม่ ความเครียดของคนเรานอกจากจะเกิดจากตัวเราแล้ว ยังเกิดจากการไปมุ่งหวัง ตั้งความหวังในผู้อื่นอีกด้วย หลายครั้งในชีวิตที่เห็นคนดีๆคนหนึ่ง ผิดพลาดในเรื่องเล็กน้อย เราก็รู้สึกผิดหวัง รู้สึกว่าคนนั้นดีแตก ซ้ำร้ายเรายังตราหน้า ว่ากล่าว โดยที่ไม่ได้มองย้อนกลับไปว่า ความดีที่เขาทำมานั้นมันยิ่งใหญ่และมากมายแค่ไหน เราใช้มาตรฐานตามความรู้สึกชั่ววูบ ใช้มาตรฐานส่วนตัวไปวัดค่าความดีของคนอื่น มาตรฐานที่บางครั้งเอนเอียงเข้าข้างตัวเรา โดยที่ไม่ได้มองความจริงเลยว่า ทุกอย่างในโลกมีสองด้านเสมอ ทุกผู้คนมีดีมีเลว ถ้าไม่มีความเลวเราจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าอะไรคือความดี
คนเราก็มักใช้ความรวดเร็วในสิ่งที่เห็น ที่สัมผัสและก็ตัดสินคนอื่น ไม่ได้ใช้เวลาในการไตร่ตรอง ไม่มีความอดทนในการรับรู้เหตุผลแห่งการกระทำของคนอื่น เราชอบที่จะเห็นคนเลวถูกตัดสินในทันที แต่เมื่อถึงคราวที่เราทำพลาด ก็มักคาดหวังขอเวลาเพื่อพิสูจน์ความจริงในสิ่งที่เรากระทำ เราไม่ค่อยให้เวลาคนอื่น แต่ชอบขอต่อเวลาให้กับตัวเอง ดูถูกเหตุผลคนอื่น แต่ชอบแก้ตัวให้ตัวเองอย่างไร้เหตุผล
สิ่งหนึ่งที่มักควบคู่ไปกับการกระทำความดี คือ การสละตัวเอง ไม่ไปยึดโยงผูกพัน สร้างพันธะในหัวใจให้มากมาย การบรรลุเป้าหมายแห่งความดีไม่ได้ขึ้นกับกาลเวลา ไม่มีค่ามาตรฐานกลางในการกระทำความดี คุณค่าของความดีอยู่ระหว่างในขณะที่กำลังทำความดี
มีเรื่องเล่าว่า มีหนุ่มคนหนึ่ง เขาอยากจะเป็นนักฟันดาบที่เก่งกาจ เขาจึงไปหาอาจารย์สอนฟันดาบให้ช่วยสอนเขาให้เป็นนักฟันดาบ เขาถามอาจารย์ว่าจะใช้เวลาสักกี่ปีจึงจะเรียนจบ อาจารย์ก็ตอบว่า “ประมาณ 7 ปี” เขาชักรวนเร เพราะว่า 7 ปีมันนานเกินไป ฉะนั้น เขาขอร้องใหม่ว่า เขาจะพยายามให้สุดฝีมือ ทุ่มเทฝึกฝนทั้งกลางวันกลางคืน จะต้องใช้เวลาสักกี่ปี อาจารย์ก็บอกว่า “ถ้าอย่างนั้นต้องใช้เวลาสัก 14 ปี” ชายหนุ่มก็โอดครวญขึ้นมาว่า พ่อของเขาแก่มากแล้ว จะตายอยู่รอมร่อแล้ว อยากจะแสดงฝีมือฟันดาบให้พ่อได้เห็นเป็นบุญตาก่อนตาย เพื่อที่จะได้สนองคุณของพ่อ จะต้องใช้เวลาสักเท่าไร ท่านอาจารย์ก็บอกว่า “ถ้าเช่นนั้นต้อง 21 ปี” ยิ่งอ้างเหตุผล เวลาเรียนก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ชายหนุ่มคิดจะจากไปก็ไม่มีใครเก่งเท่าอาจารย์ท่านนี้ จึงจำใจยอมรับ เขาจึงอยู่ไปแบบซังกะตาย ก็มันไม่รู้จะทำอย่างไร
หลายวันต่อมา อาจารย์ก็ใช้ชายหนุ่มคนนี้ ให้ไปเข้าครัว ทำอาหาร ให้ตักน้ำ ผ่าฟืน ถูพื้น ปลูกต้นไม้ ดายหญ้า เขาก็ทำๆไป ปล่อยให้เวลาผ่านไปแต่ละวัน บัดนี้ ใจของเขาไม่ได้อยู่กับการเรียนฟันดาบเสียแล้ว
แต่แล้วจู่ๆในวันหนึ่งอาจารย์ก็ผลุนผลันเข้ามาในครัว พร้อมถือดาบทั้ง 2 มือ ฟันหนุ่มคนนี้ ทั้งๆที่ยังไม่รู้สึกตัว อุตลุดเป็นการใหญ่ เขาก็ต่อสู้ไปตามเรื่องตามราว เพื่อปกป้องตัวเอง หยิบอะไรได้ก็หยิบมาแทนดาบ ปัดป้อง มิให้ถูกคมดาบ สักพักอาจารย์ก็เลิกรา และจากไปอย่างเงียบงัน
วันดีคืนดี อาจารย์ก็เข้ามาใช้วิธีการแบบเดิม จู่โจมโดยที่เขาไม่รู้ตัว ทำอย่างนี้บ่อยๆทำอย่างนี้เรื่อยไป และแล้วเขาก็กลายเป็นนักฟันดาบแบบไม่รู้ตัว จนกระทั่งอาจารย์บอกว่า “กลับบ้านได้แล้ว เจ้าจบหลักสูตรแล้ว” ต่อมาชายหนุ่มคนนี้ก็กลายเป็นนักฟันดาบลือชื่อ…
ถ้าเปรียบเทียบการทำดีเหมือนกับการเรียนฟันดาบของชายหนุ่มผู้นั้น เรามักพะวงกับวันเวลาในการทำดี นั่งนับสถิติ ขีดเขียน ความดีเป็นเล่มเป็นโหล เราก็ไม่สามารถไปถึงซึ่งความดี แต่ถ้าเราใช้ชีวิตไปกับการทำดี เรียนรู้ความดีในความผิดบาปทั้งของตัวเอง และนำบทเรียนของผู้อื่นมาเป็นแบบฝึกหัด ชีวิตเราก็ก้าวสู่เส้นทางแห่งความดี มาตรฐานของความดีอยู่ที่ความพยายามทำดี
และที่สุด เมื่อเรามีบทเรียนแห่งความดีแล้ว สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการทำดีคือการรู้จักให้อภัย เห็นคนที่ก้าวล้ม เราจะก้าวผ่าน เราจะเหยียบย่ำ หรือกระทืบให้จมดิน สิ่งนั้นแหละคือเครื่องวัดใจเราว่า เราเป็นคนดีแค่ไหนเพียงไร และหากว่าวันนี้สังคมไทยเรามีการอภัยนำหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างจะก้าวไป เติบโตไปพร้อมกันอย่างสงบ เรียนรู้สันติในความขัดแย้ง เฉกเช่นเรียนรู้ที่จะทำดีในความบกพร่องส่วนตัว และพร้อมให้อภัยผู้อื่นเท่าๆกับการให้อภัยตัวเองในครั้งที่เรากลับใจ ....
วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553
ยุคโลภาภิวัฒน์
ยุคโลภาภิวัฒน์
แสงแดดที่สาดส่องลงมาไร้เมฆหมอกดักกรอง ทำให้อากาศร้อนจนแทบระเบิด อุณหภูมิประเทศเราสูงขึ้นในทุกๆปี นี่ไม่ต้องพูดถึงจิตใจของคนไทยที่มีแต่ความร้อนรุ่ม แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย เป็นค่าย เป็นสี ต่างก็ยึดโยงสิ่งที่เรียกให้โก้หรูว่า “อุดมการณ์” กันอย่างเหนียวแน่น แท้จริงสิ่งนั้นมันเป็นโมหะจริต เป็นความโลภ ความจองหอง ความหยิ่ง และการอวดรู้ อวดเก่ง เอาเข้าจริงต่างฝ่ายต่างก็มีผลประโยชน์ให้ยึดครองด้วยกันทั้งนั้น แม้บางฝ่ายบางกลุ่มเป้าประสงค์ดูดี หวังสร้างแนวทางสังคมใหม่ แต่สุดท้ายก็โยงเข้าหาความโลภด้วยกันทั้งนั้น ต่างฝ่ายต่างก็คิดว่าสิ่งที่ทำอยู่คือสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ดีงามโดยไม่เปิดใจรับแนวทางอื่น ไม่มีการฟังฝ่ายที่อยู่ตรงข้าม แม้กระทั่งไม่ยอมฟังกรรมการตัดสิน อย่างนี้ก็ไม่รู้ว่าจะกู่ตะโกนก้องร้องหาความยุติธรรมกันทำไม...
อากาศร้อน สังคมร้อน ใจคนโลภ ควบคุมจิตใจไม่ได้ ขนาดแข่งขันกีฬาฟุตบอลยังยกโขยงต่อยตีกันเรียกว่า ฟุตบอลไทยไปมวยโลก หลายคนไม่เข้าใจว่าสังคมไทยเราเป็นอะไรกันนักหนา เป็นบ้าเป็นบออะไรกันเล่า เราจึงมีแต่เรื่องราวไม่เว้นแต่ละวัน หาความสงบสุขไม่เจอ ดำเนินชีวิตบนความหวาดระแวง ตะแคงหูฟังข่าวลือ สื่อก็ใช่ย่อย กลายเป็นสนามของเรื่องร้ายๆ กลายเป็นตลาดขนาดใหญ่ของการสร้างกระแส จนมีคำพูดที่ว่า วันนี้ข่าวร้ายลงฟรีข่าวดีต้องเสียสตางค์จ้างลง ที่กล่าวมาสรุปอยู่ที่ทุกย่างก้าวของชีวิตเราวันนี้ เดินอยู่บนแผนการตลาดของกันและกัน แต่ละคนก็จ้องจะขายนั่นขายนี่ให้กัน เพียงเพื่อว่ายอดขาย เพียงเพื่อหวังเปอร์เซ็นต์จากการขาย ขนาดมิตรภาพความห่วงใยยังถูกแปรรูปเป็นค่าคอมมิชชั่นเลย
คนเราทุกวันนี้ ต้องเหน็ดเหนื่อยวิ่งวุ่นกับการทำกำไร หนักใจอยู่กับทรัพย์สมบัติมหาศาล จิตใจก็ไม่มีวันสงบ ไม่รู้จักหยุดนิ่ง วิตกกังวลไปร้อยแปดอยู่ตลอดเวลา ชนิดที่ว่า กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ เผาไหม้จนรุ่มร้อนทั้งกายและใจ เมื่อไม่ได้มาโดยง่ายก็หาทางคดโกง และทำให้ดูเนียน ใช้มือข้างหนึ่งหยิบยื่นให้ผู้อื่นแต่มืออีกข้างหนึ่งกอบโกย สะสม เก็บซ่อน และส่วนใหญ่มือที่ใช้กอบโกยมักเป็นมือที่ถนัดเสียด้วย
บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า คนเราจะกอบโกยกันไปถึงไหนหนอ หรือว่าเรายังไม่มีโอกาสอย่างคนเหล่านั้น ถ้าโอกาสนั้นเข้ามา กองเงินมหาศาลโถมเข้าใส่ เราจะทำจิตใจไม่ให้ละโมบโลภมากได้หรือเปล่า ยิ่งในยุคที่เรียกว่าโลภาภิวัฒน์ ที่มีพัฒนาการการคดโกงกินกันอย่างเป็นขบวนการ เป็นระบบ มีขั้นมีตอน เช่นวันนี้แล้ว เมื่อตกในสภาพนั้นเราจะรอดพ้นความโลภได้อย่างไร เราจะยอมเป็นคนโง่ในสายตาของคนทั่วไปแต่เป็นคนฉลาดในดวงเนตรแห่งธรรมะได้หรือไม่ คงต้องขึ้นอยู่กับการขัดเกลามโนธรรม ฝึกฝนความอดทนของจิตสำนึก อบรมจิตใจให้กล้าแกร่ง
สิ่งหนึ่งในยุคโลภาภิวัฒน์ที่มักได้ยินได้ฟังกันบ่อยๆก็คือ คนที่คดโกงไม่เห็นเขาจะได้รับผลบาปกรรมนั้นเลย เวลาที่เกิดภัยพิบัติ แผ่นดินไหว พายุถล่ม ตึกทลายบ้านเมืองพังพินาศ มีผู้คนล้มตายจำนวนมาก แต่ยังไม่เคยเห็นคนที่คดโกงชาติโกงเมือง คนร่ำรวยเพราะการทุจริตอยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้นเลย จนกลายเป็นว่าไม่ต้องกลัวบาปกลัวกรรม มีโอกาสโกงได้ก็โกงไป ทำดีได้ดีหามีไม่ ทำชั่วได้ตังค์คืออนิจจังของวันนี้...
แต่สำหรับผู้ที่ยังมีใจอ่อนโยน ไม่ตายด้านชาชินกับกระแสโลภครองเมือง เราต้องคิดว่าไม่ช้าก็เร็วชีวิตคนเราก็ต้องล้มตัวลงนอนอย่างนิรันดร์ สิ่งที่กระสันเสพมาเก็บ สะสมจะเอาไปได้หรือ สิ่งที่เหลือทิ้งไว้ให้เป็นอมตะเป็นที่จดจำ เป็นความทรงจำอันงดงาม คืออะไรเล่า หาใช่ ความดี ความงาม ในระหว่างทางของชีวิตที่เราได้สร้างไว้หรือ เรามันก็แค่หิ่งห้อยที่มีแสงประกายพอตัวอย่ามัวไปอวดเบ่งรัศมีเทียบเท่าแสงจันทร์เลย ให้คนชื่นชมแสงแห่งเรา หาใช่การโอ้อวดแสงนั้นให้คนอื่นได้เห็น ให้แสงแห่งเรานำทางผู้อื่นโดยไม่ต้องชี้นำให้ผู้อื่นเดิน...
ความโลภเกิดจากความเกินพอดี คนโลภคือคนไม่เคยมีอะไรเพียงพอในชีวิต ลองหยุดการแสวงหาไขว่คว้า เลิกวุ่นวาย ชีวิตเราก็จะพบอิสระมากขึ้น และหากว่าเป็นสิ่งที่ยากยิ่งที่จะหยุด ก็ลองละเว้น ลดโลภในบางเรื่องลงบ้าง ค่อยๆลดความเห็นแก่ตัว มองไปยังคนอื่นบ้าง มองออกไปให้พ้นปลายจมูกของเรา ลองทำตัวให้เป็นอิสระแบบนกในอากาศ บินไปเห็นโลกกว้างที่สวยงาม โดยไม่ไปยึดติดกับสิ่งใด บินไปอย่างสบายอารมณ์แม้ในวันที่ร้อนอบอ้าว เพราะความอิสระคือสายลมที่ฉ่ำเย็นในจิตใจ สิ่งนี้ต่างหากที่เราควรแสวงหา แต่เราถูกมายาในรูปเงินตราและอำนาจเข้าครอบงำ โดยมีความโลภเป็นสื่อนำไป เราหลงทางกันไกลแล้ว หันหลังเดินทางกลับเพื่อสร้างสังคมให้เข้มแข็งให้หลุดพ้นจากยุคโลภาภิวัฒน์สู่ยุคสุขโสภาภิวัฒน์กันเถิดพี่น้อง....
วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553
ขั้นเทพ
ขั้นเทพ
ในแต่ละยุคแต่ละสมัย ก็จะมีคนคิดประดิษฐ์ถ้อยคำขึ้นมาใช้กันอยู่เสมอๆ คำหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยมใช้กันอย่างมาก เป็นการยกย่องคนเก่ง คงเริ่มมาจากวงการกีฬา คนไหนเล่นเก่งก็จะถูกเรียกว่า เล่นได้ขั้นเทพ จากที่เคยเรียกว่าเซียน และคำนี้ก็กลายเป็นคำฮิตติดปาก ใครที่เก่ง ชำนาญการ ก็จะถูกเรียกเป็นขั้นเทพ (ที่ไม่ใช่เทพ โพธิ์งาม)
ในขณะที่กำลังเตรียมตัวไปบรรยายพิเศษในหัวข้อนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลก ยิ่งได้อ่านข้อมูล ยิ่งทำให้รู้ว่าปัญญาของมนุษย์นี้สุดยอด คิดอะไรแต่ละอย่างถึงขั้นเทพทั้งนั้น ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า จากการวิเคราะห์เทคโนโลยีในห้องปฏิบัติการ ประกอบกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน โลกของเราจะมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ 5 สิ่ง ด้วยกัน นั่นคือ
1.โมเดลคณิตศาสตร์ ช่วยโลกรับมือโรคระบาด
ประชากรส่วนใหญ่ของโลกอาศัยอยู่ในเขตเมืองมากกว่าชนบท ส่งผลให้เมืองใหญ่กลายเป็นแหล่งเพาะและแพร่กระจายเชื้อโรคได้ง่าย ฉะนั้นจะต้องมีระบบป้องกันและการสื่อสารด้านสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับชาวเมือง รวมทั้งมี อินเทอร์เน็ตเพื่อสุขภาพ ที่จะเป็นเครื่องมือเชื่อมโยงข้อมูลทางการแพทย์ระหว่างชุมชน โรงพยาบาล หน่วยงานภาครัฐ ได้อย่างทั่วถึง
2. รถพลังไฟฟ้า
ทุกวันนี้เริ่มมีรถยนต์ไฮบริดจ์ออกมาวิ่งตามท้องถนนบ้างแล้ว (แม้จะมีบางยี่ห้อกำลังถูกร้องเรียนเรื่องความปลอดภัยอยู่) เนื่องจากเป็นนวัตกรรมใหม่ รถยนต์ไฮบริดจ์จึงยังมีราคาแพง คาดการณ์กันว่า ในอนาคตอันใกล้นี้รถยนต์ไฮบริดจ์ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงจะมีราคาถูกลง ยังคาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า พลังงานทดแทนอื่นๆ ก็จะถูกนำมาใช้ผลิตไฟฟ้าเพื่อขับเคลื่อนรถยนต์ด้วยเช่นกัน พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่รองรับระบบขนส่งมวลชนที่ใช้พลังงานไฟฟ้าก็จะได้รับการพัฒนาให้ก้าวล้ำและแพร่หลายมากขึ้น
3. อาคารอัจฉริยะ ตอบสนองทุกความต้องการของชีวิตคนเมือง
ตึกสูงระฟ้าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองใหญ่ และมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนมากขึ้นในทุกปี ผู้คนในเมืองส่วนใหญ่ก็มีแนวโน้มใช้ชีวิตอยู่ในอาคารสูงกันมากขึ้น ในอนาคตอันใกล้นี้เทคโนโลยีเซ็นเซอร์จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในอาคาร เพื่อเชื่อมโยงระบบต่างๆ ภายในอาคาร ทั้งระบบไฟฟ้า น้ำประปา อุณหภูมิ โทรคมนาคม และระบบรักษาความปลอดภัย โดยจะเชื่อมโยงกันและบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงาน และยังตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที
4. เทคโนโลยีอัจฉริยะช่วยป้องกันปัญหาอาชญากรรมในเมือง
ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีขั้นสูงจะช่วยลดปัญหาอาชญากรรมในเมืองให้น้อยลงได้ และเพิ่มความปลอดภัยให้กับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้ดียิ่งขึ้น ด้วยระบบวิเคราะห์ข้อมูลอาชญากรรมจากสถิติและแนวโน้มเพื่อคาดการณ์ล่วงหน้า
5.ระบบจัดการน้ำอย่างชาญฉลาดบรรเทาปัญหาน้ำขาดแคลน
ความต้องการน้ำของมนุษย์จะเพิ่มขึ้นอีก 6 เท่าในอีก 50 ปีข้างหน้า ปัญหาขาดแคลนน้ำนั้นเป็นภัยคุกคามประชาชนแล้วหลายพื้นที่ โดยมีประชากรถึง 1 ใน 5 ของโลก เข้าไม่ถึงน้ำดื่มที่สะอาดและปลอดภัย นักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามพัฒนาระบบอัจฉริยะที่ช่วยบริหารจัดการน้ำในเขตเมือง เพื่อลดการสิ้นเปลืองและสูญเสียน้ำโดยเปล่าประโยชน์ ด้วยระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับการรั่วไหลของท่อประปาและซ่อมแซมตัวเองได้โดยอัตโนมัติ รวมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีกรองน้ำที่สามารถเปลี่ยนน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด
นี่เป็นเพียงข้อมูลโดยคร่าวๆ จะเห็นว่ามนุษย์พยายามพัฒนาเทคโนโลยีเข้าสู่ขั้นเทพ พยายามจะให้มนุษย์อยู่อย่างเทพ ยิ่งได้อ่านและนั่งพิเคราะห์ดู แท้จริงแล้ว เราทุกคนมีภาพวาดอยู่ในจินตนาการตลอดเวลาว่า เราอยากเป็นเทวดากันทั้งนั้น คิดอยากมีปีกบินอย่างเทวดาก็คิดค้นทำเครื่องบิน คิดว่าสักวันหนึ่งเราจะอิ่มทิพย์ไม่ต้องตระเตรียมให้เสียเวลา ก็มีคนคิดค้นอาหารเสริม คิดอยากอยู่เหนือกาลเวลา มีการย่นระยะเวลา เทคโนโลยีระบบสื่อสารแบบไร้พรมแดนก็ตามมา และยังมีการคิดค้นทดลองเพื่อจะได้กลับไปสู่จุดกำเนิดของโลก (ซึ่งกำลังทดลองกันอยู่ภายใต้องค์กรที่ชื่อว่า CERN) ขั้นเทพจริงๆ
ทั้งหลายทั้งปวงแล้วเรากำลังก้าวสู่ขั้นเทพ แต่เป็นเทพเพียงแต่การพัฒนา แต่ไม่เคยจะวัฒนาขึ้นเลยทางด้านจิตใจ เราพยายามก้าวล้ำสู่อัจฉริยะ แต่ธรรมะในโลกกลับจางหายลงไปทุกวันๆ ยิ่งก้าวยิ่งไกล ยิ่งไกลยิ่งห่างหรือเปล่าจิตวิญญาณผู้คน และสำหรับเราจะดีไม่น้อย ถ้าเราจะค่อยๆพัฒนา และวัฒนาจิตวิญญาณแห่งคริสตชนไปจนถึงขั้นเทพ โลกนี้คงรื่นรมย์ น่าอภิรมย์ เป็นสวรรค์บนแผ่นดิน ที่ไม่ต้องรบกวนเบื้องบน ส่งพระบุตรสุดที่รักลงมารับโทษแทนเราอีกรอบ....