ความดีก็มีกาฝาก
นึกอยู่นานเลยทีเดียวว่าต้นไม้ต้นเล็กๆที่เกาะเกี่ยวอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ในพงไพรพนาป่าเขานั้นเขาเรียกว่าอะไร จนกระทั่งคำว่า “กาฝาก” ได้หลุดลอยล่องออกมาจากคลังสมองอันน้อยนิด และที่คิดถึงกาฝากก็เพราะว่าสิ่งที่เล็กๆน้อยๆที่เรียกว่ากาฝากนี้แหละ สามารถโค่นต้นไม้ใหญ่ลงได้ กาฝากมันมาจากการที่นกกาเก็บกินผลไม้ที่มีเมล็ด จากนั้นมันก็ถ่ายเมล็ดเล็กๆนั้นไว้บนต้นไม้ ตามกก กอ กิ่ง ก้าน ของต้นไม้ เมื่ออากาศเหมาะ อาหารพร้อมเมล็ดมันก็เริ่มแตก รากน้อยๆซอกซอนหาน้ำหาอาหาร แหย่ลงไปตามรอยผลิแตกของเปลือกไม้ เมื่อได้ทีมันก็ดูดซับน้ำและอาหารจากท่อธารในต้นไม้ใหญ่นั้นๆ และเติบโตโดยอาศัยคนอื่นตลอดไป ต้นไม้เล็กๆเหล่านั้นจึงถูกเรียกว่า ต้นกาฝาก
พอนำมาเปรียบเทียบกับวิถีชีวิตผู้คน ผู้ใดที่เกาะเกี่ยวผลประโยชน์จากผู้อื่นเพียงเพื่อให้ตัวเองงอกงาม และไม่สามารถที่จะทำได้ดีเทียบเท่ากับผู้ที่เราเกาะเกี่ยวไว้ คนแบบนี้เค้าก็เรียกว่า พวกกาฝากสังคม และสังคมไหนที่มีกาฝากมาก สังคมนั้นก็จะเสื่อมลงๆ หากมองดูแล้วในยุคสมัยของเรา ใช่หรือไม่ กาฝากคงมีเต็มบ้านเต็มเมือง เราถึงพบเห็นความเสื่อมอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง
แม้แต่ในวิถีชีวิตของแต่ละคนที่พยายามเดินไปบนหนทางแห่งความดีงาม ไม่มากก็น้อยย่อมมีกาฝากเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว มันคืออะไร มันคือภารกิจในนามของความดี มีบ่อยครั้งไปที่แฝงเร้นไปด้วยกองกิเลส ทำดีเพราะอยากขึ้นสวรรค์คนเดียวไม่ได้สนใจคนรอบด้าน รอบข้าง หรือหนักสักหน่อยประเภททำดีเอาหน้า ทำดีเพื่อสร้างบารมี ทำดีเพื่อสร้างสถิติและทำดีเพื่ออวดอ้างได้ออกสื่อ
ในนามของการกระทำความดีของหลายคนก็ติดบ่วง ติดหล่มเช่นนี้ เป็นกาฝากที่เริ่มงอกเงยในต้นไม้แห่งความดี และแน่ละ ขึ้นชื่อว่าการทำดีย่อมเป็นสิ่งที่ดีงามและน่าสรรเสริญยกย่อง แต่ถ้าล้ำเส้นแห่งความพอดี ความดีนั้นอาจจะกลายเป็นความโอ้อวดและแสดงความยโสโอหัง แบบไม่อินังขังขอบอะไรทั้งสิ้น
และเราจะทราบได้อย่างไรเล่าว่าในนามของการกระทำดีนั้น เป็นความดีโดยบริสุทธิ์ สิ่งสำคัญก็คือ ในความดีนั้นต้องมีความอ่อนโยน มีความเมตตาอาทรอยู่ด้วยเสมอ หากไร้สิ่งเหล่านี้มันก็แค่การแสดงออกซึ่งความดี ที่มิได้ออกมาจากจิตวิญญาณ หลายครั้งการทำความดีของเรากลายเป็นที่สะดุด เป็นการสร้างรอยด่างในจิตใจของผู้อื่น
ยุคสมัยที่เรามักเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เห็นผู้อื่นเป็นเพียงบริวารหรือตัวสำรอง ทุกคนจึงเห็นแต่ความดีของตัวเอง และละเลยชื่นชมในการกระทำความดีของผู้อื่น ยิ่งทุกวิถีชีวิตของผู้คนยืนอยู่บนผลประโยชน์ด้วยแล้ว คนไหนที่ไม่สามารถสร้างมูลค่า สร้างผลประโยชน์ให้ได้แล้วต่อให้ทำดีแทบตาย ทำดีด้วยหัวใจที่เกินร้อย ก็จะกลายเป็นคนที่ไร้ค่าทันที กลายเป็นส่วนเกินขององค์กร กลายเป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามในสังคม การที่ทุกผู้คนมีวัฒนธรรมทำดีต้องมีสิ่งตอบแทนเยี่ยงนี้มักนำมาซึ่งความล่มสลายทางคุณธรรมและจริยธรรมที่คนรุ่นปู่ ย่า ตา ยาย ปลูกฝังมา
ในดีมีชั่ว ในชั่วมีดี คงเป็นคำที่เหมาะสมสำหรับชีวิตของเราบนเส้นทางแห่งโลกนี้ หลายคนในสังคมวันนี้ทำดีจนเป็นที่ยอมรับ กลายเป็นแรงศรัทธา เป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือ และเมื่อเคลิ้มไปกับศรัทธาของผู้คนจนทำให้หลงตัวเอง ทุกสิ่งที่ทำมานั้นดีหมด ใครจะมาขัด ใครมาบอกกล่าวตักเตือนไม่ได้ การเป็นบุคคลเช่นนี้นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับต้นไม้ใหญ่ที่แผ่ร่มเงาให้สรรพสิ่งทั้งหลายได้พึ่งพา แต่แล้วในต้นไม้นั้นมีกาฝากอยู่เต็มไปหมด ไม่นานต้นไม้นั้นก็ตาย คนเราก็เป็นเช่นนั้นคิดว่าความดีที่เราทำนั้นยิ่งใหญ่ แต่ลืมมองดูและลืมกำจัดกาฝากที่แฝงอยู่ในความดี ในรูปของกิเลสกองเล็กๆ ไม่เคยสำรวจตรวจสอบวงจรแห่งการทำดี ระเริงได้ปลื้มไปกับมัน ไม่นานความดีที่ทำนั้นก็ตายลง ทั้งๆที่ผลของความดีควรจะปรากฏ แต่กลับกลายเป็นความดื้อรั้น กลายเป็นความอยากเด่นอยากดังปรากฏขึ้นมาแทน...
คนเราเกิดมามีสิ่งหนึ่งที่ตามมา คือ มโนธรรม จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับการพยายามฝึกฝน พูดคุยกับมโนธรรม หมั่นสำรวจตรวจสอบทุกการกระทำด้วยมโนธรรมแห่งตน สิ่งที่เป็นความดีงามที่สมบูรณ์นั้น คือ การทำเพื่อผู้อื่น การทำด้วยใจที่ไร้ข้ออ้าง ข้อแม้ ข้อเรียกร้อง และต้องฟังเสียงมโนธรรมก่อนกระทำในทุกกิจการ นั่นแหละเราถึงจะก้าวพ้นและสลัดกาฝากที่แอบแฝงมาในการทำความดีได้ ใช้มโนธรรมนำการทำความดี หาใช่ให้มโนธรรมเป็นเครื่องรองรับการกระทำความดี
พระศาสนจักรมีเวลาให้เราสำรวจตรวจสอบ ไตร่ตรองมโนธรรมของเราในเทศกาลมหาพรต และให้ก้าวออกมาถือธงมโนธรรมนำหน้ากระทำความดีงาม โดยที่ความดีนั้นมุ่งสู่ผู้อื่น ใช้ความดี ความเมตตาอาทร บำบัดจิตใจของเราและรับใช้ ช่วยเหลือผู้อื่น สวรรค์นั้นไม่ใช่ของเราคนเดียว สวรรค์นั้นเป็นสวนสาธารณะของคนทำดีที่ไม่มีกาฝากแอบอิงพิงอยู่ แล้วเราจะก้าวไปถึงพร้อมๆกันได้หรือเปล่า.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น