รักที่จะยิ้ม
ในชีวิตของคนเราไม่มากก็น้อยมักต้องพบเจอภาวะวิกฤติ เกิดเรื่องให้ทุกข์ยากเข็ญใจ ให้ต้องปวดหัว ในช่วงเวลาเดียวกัน ก็มักจะเกิดเรื่องเกิดราวซ้ำๆซ้อนๆ เรื่องนี้ยังไม่ทันสงบเรื่องนั้นก็ผุดขึ้นมา นี่แหละ...กางเขนที่เราต้องเรียนรู้ที่จะแบก เรียนรู้ที่จะอยู่กับความทุกข์นั้น และเข้าใจในความเป็นไปเป็นมาของวงจรชีวิต ใช่หรือไม่ ทุกผู้คนในโลกมีใครบ้างที่สุขตลอดเวลาหรือมีใครบ้างที่ทุกข์ได้ทั้งชีวิต มันก็ต้องมีคละเคล้า เป็นเงาตามติดชีวิตเราไป แต่เราจะอยู่กับทุกข์ จ่อมจมไปกับมันตลอดหรือ การแก้ความทุกข์ก็เป็นความสุขอีกแบบหนึ่งมิใช่หรือ
ในโลกเรานี้กองทุกข์มีมากล้น ความสุขยิ่งไพศาล ชีวิตหนึ่งชีวิต ใยต้องไปวิ่งชนกับกองความทุกข์เล่า ไม่ช้าก็เร็วมันก็วิ่งเข้ามาหาเราเอง
ความทุกข์อีกชนิดหนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับคนบางคน ความทุกข์ที่ถูกกล่าวหา ถูกข่มเหงในนามของการกระทำความดี ถ้าหากข้ามก้าวผ่านไปได้ ความสุขแท้จริงย่อมบังเกิดกับผู้นั้น แต่ในยุคสมัยที่คนยิ้มยาก จะหาใครสักกี่คนที่จะทานทนต่อแรงเสียดสี แรงริษยา แรงอิจฉานินทาเหล่านี้ได้
ความสุขของสังคมจะเกิดขึ้นได้ถ้าเรายังยิ้มให้กันได้อย่างอิสระ ยิ้มอย่างเต็มใจไม่เก้อเขิน ในความกระด้างแข็งแห่งสังคมยุคใหม่ สามารถทำลายลงได้ด้วยความอ่อนโยนแห่งรอยยิ้ม ผลิปากยิ้มดีกว่าเผยอปากเย้ยหยันกัน สันติสุขในสังคมคงเริ่มผลิตดอกออกผล ใช่หรือไม่ ในวันตรุษจีนมักจะมีขบวนแห่สิงโตที่ใหญ่บ้างเล็กบ้างก็ว่ากันไป แต่จะมีอีกสิ่งหนึ่งนำหน้าขบวนสิงโต คือ แป๊ะยิ้ม มองในมุมหนึ่งนี่เป็นปรัชญาที่คนรุ่นก่อนทิ้งให้เราได้ขบคิด เอายิ้มนำหน้าสิงห์ก็จะกลายเป็นสิ่งนำโชค นำความสุขมาให้
มีท่านเจ้าอาวาสในวัดแห่งหนึ่ง ท่านเป็นคุณพ่อที่ยิ้มง่าย และยิ้มได้ทุกสถานการณ์ ผู้คนที่พบเห็นจึงขนานนามคุณพ่อท่านนั้นว่า คุณพ่อยิ้ม ในเวลาที่ลูกวัดมาหาท่านก็จะยิ้มต้อนรับทุกคน ทุกเวลา ทำให้คนที่เข้าหาเต็มไปด้วยความสบายใจไปตามๆกัน และรอยยิ้มของท่าน เป็นรอยยิ้มที่ร่าเริง ไม่มีการเสแสร้งแกล้งทำ มิใช่ยิ้มแบบแหยๆ เป็นยิ้มที่มีรักและเมตตามอบให้ทุกผู้คน
แต่แล้วความทุกข์ก็เข้ามาเยี่ยมเยือนจนได้ เมื่อวันหนึ่ง คณะกรรมการวัดหรือสภาภิบาลวัด เกิดเรื่องที่ถกเถียงกันอย่างรุนแรง เพื่อจัดเตรียมงานฉลองตรุษจีน และไม่สามารถหาข้อสรุป ข้อยุติตกลงกันได้ ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัวเอง และต่างฝ่ายต่างเริ่มแรงร้อนด้วยอารมณ์อยากอยู่เหนือความคิดคนอื่น จนเริ่มจะบานทั้งต้นและปลาย
คุณพ่อยิ้มนั่งฟังอย่างสงบ ครุ่นคิด เวลาผ่านไปครึ่งค่อนวัน เมื่อทุกฝ่ายเห็นคุณพ่อยิ้มยืนขึ้น ทุกคนเริ่มเงียบแล้วฟังว่าท่านจะว่าอย่างไร คุณพ่อยิ้มอย่างเต็มใจ ยิ้มอย่างมีความสุข และเล่าเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง ที่ดูยังไงๆก็ไม่เกี่ยวกับงานนี้เลย คุณพ่อยิ้มเล่าว่า
มีอยู่ครอบครัวหนึ่งมีลูกชายสามคน กำลังนั่งคิดกันว่าจะมอบอะไรให้เป็นของขวัญแก่คุณแม่ของพวกเขา ลูกชายคนโตกล่าวว่า “พี่จะสร้างบ้านหลังใหญ่ให้แม่อยู่” ลูกชายคนรองรีบพูดมาบ้าง “ฉันจะส่งรถเบ็นซ์ป้ายแดงพร้อมคนขับให้แม่” ลูกชายคนเล็กเสนอความคิดที่ประเสริฐสุด “พี่ๆคงจะจำความรู้สึกของคุณแม่เวลาอ่านพระคัมภีร์ และพี่ๆก็รู้ว่าแม่สายตาไม่ดี อ่านหนังสือไม่ค่อยเห็น ดังนั้น ฉันจะส่งนกแก้วซึ่งสามารถท่องพระคัมภีร์ได้ทั้งพระธรรมใหม่และพระธรรมเก่า นกแก้วตัวนี้อยู่ในโบสถ์มา14ปี เพียงแต่บอกชื่อบทนกแก้วตัวนี้ก็สามารถท่องบทนั้นทั้งบทออกมาได้”
ว่าแล้วลูกชายทั้งสามก็ส่งของขวัญไปให้คุณแม่ของพวกเขา ต่อมา แม่ก็ตอบจดหมายลูกๆทั้งสาม แม่บอกลูกคนโตว่า “บ้านที่ลูกสร้างให้มันใหญ่โตเกินไป แม่อยู่แค่ห้องเดียว แต่แม่ต้องทำความสะอาดทั้งหลังเลย” แม่บอกกับลูกคนรองว่า “แม่แก่เกินไปที่จะไปไหนแล้ว แม่อยากอยู่กับบ้าน จึงไม่ค่อยได้ใช้รถเลย”
คุณพ่อยิ้มหยุดถามทุกคนว่าแม่จะชื่นชมลูกคนเล็กหรือไม่ ทุกคนในที่ประชุมตอบเป็นเสียงเดียวกันด้วยความสามัคคีว่า “ใช่ แม่ต้องชื่นชมลูกคนเล็กอย่างมาก”
คุณพ่อยิ้มเล่าต่อไปว่า…..
แม่บอกกับลูกคนเล็กอย่างชื่นชมว่า “ลูกช่างรู้ใจแม่จริงๆว่าแม่ชอบอะไร นกแก้วตัวนั้นทอดอร่อยมาก”
แล้วทุกคนในที่นั้นก็มีอารมณ์ที่เย็นลง และเริ่มที่จะปรึกษาหารือกันอย่างมีไมตรีจิต ท่ามกลางรอยยิ้มที่มอบให้กัน งานที่จัดเตรียมจึงเดินหน้าต่อไปอย่างดี
ในโอกาสวันวาเลนไทน์นี้ อย่าลืมมอบความรักแท้แก่กัน รักที่ไม่มุ่งหวังรักตอบรักที่ไม่มุ่งหวังครอบครอง และขอให้มีความสุขสมหวังในวันตรุษจีน ยิ้มให้กันโลกพลันสดใส ขอเพียงคนยังมีชีวิตอยู่ ก็สมควรยิ้มออก ขอเพียงยังสามารถยิ้มออก ก็สมควรยิ้มให้มากไว้ (โก้วเล้ง)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น