วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ถามหาความเงียบ

ถามหาความเงียบ

ชีวิตในเมืองใหญ่เมืองที่ไม่เคยหลับเต็มไปด้วยสรรพเสียงต่างๆนานา ผ่านเข้าโสตประสาท ผ่านมาแล้วผ่านไป ทะลุหูซ้ายออกหูขวา แต่จะมีสักกี่สรรพสำเนียงที่เป็นสื่อเสียง สื่อสารไปยังสมองกลั่นกรองรับรู้ หัวใจสั่งการให้กระทำกิจการดีๆ สิ่งที่งดงามยามมีลมหายใจ....

จะด้วยเหตุนี้หรือเปล่า ที่ทำให้คนเมืองอย่างเราๆท่านๆไร้สมาธิและความนิ่งสงบในการดำเนินชีวิต มลภาวะทางเสียงที่เกิดจากนวัตกรรมใหม่ๆ จนกระทั่งลดทอนเสียงบรรยากาศเก่าๆให้เลือนหายไป

เสียงฝนกระทบหลังคาสังกะสีไม่มีให้ได้ยินมีแต่เสียงเพลงผ่านลำโพงส่งเสียงดังสนั่นเมือง

เสียงลู่ลมของใบไผ่กลายเป็นเพียงจินตนาการของผู้มีวงปีชีวิตหลายรอบวง มีแต่เสียงกู่ตะโกนก่นด่าฝ่ายตรงข้ามอย่างสะใจ อย่างสาดเสีย เทเสีย

เสียงสายน้ำลำธารถูกกลบเกลื่อนไปด้วยเสียงเครื่องยนต์ เสียงนกกาเสียงหรีดเรไรถูกแทนที่ด้วยเสียง MP3

และเสียงเพรียกแห่งจิตใจอยู่ตรงไหน....

คนเราวันนี้มักเหนื่อยหน่าย เบื่อ เซ็ง และเครียดกันง่าย โกรธกันง่าย โมโหร้าย อารมณ์โหดร้ายมากขึ้น สรรพเสียงอันดังของเมืองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตไม่มีช่องว่างให้ความเงียบบำบัดรักษาจิตใจ ในหนังสือจีนกำลังภายในหลายต่อหลายเรื่องให้ความสำคัญกับความเงียบเพื่อให้ตัวเอกก้าวสู่สุดยอดวิชา หลายคนเมื่อท่องยุทธจักร ยุทธภพต่อกรกับจอมยุทธคนแล้วคนเล่า สุดท้ายก็ต้องหลีกเร้นกาย ปลีกวิเวกเพื่อเพาะบ่ม กำลังกายวิชาให้กล้าแกร่ง เฉกเช่น จอมยุทธในเรื่องฤทธิ์ดาบวงพระจันทร์ พ่อของนางเอกที่เป็นจ้าวยุทธจักร ชื่อเสียงระบือไกล ยังหาเวลาไปสร้างหอน้อยบนยอดเขา ยามต้องการฝึกปรือกำลังมักไต่เขาสูงชันขึ้นไปฟังเสียงฝนบนหอน้อย...

องค์ศาสดาทั้งหลายทั้งปวงค้นพบสัจธรรมในความเงียบด้วยกันทั้งนั้น หรือว่าโลกยุคนี้ยังไม่รู้จักความเงียบที่แท้จริง หรือว่าเราคงได้แต่ถามหาความเงียบกันอยู่ โลกที่ผ่านมาหลายร้อยปีนี้จึงไม่มีผู้บรรลุธรรมในขั้นศาสดาบังเกิดให้เห็น โลกยุคเราไร้ศาสดามาอย่างยาวนาน ไร้ผู้นำทางจิตวิญญาณ ที่มีอยู่บ้างหลายท่านก็พยายามจะช่วยกอบกู้จิตวิญญาณของคนยุคเรา แต่เราไม่เคยมีช่องว่าง ไม่มีเวลาพักครึ่ง ไม่มีห้วงแห่งความเงียบงันครอบครอง เพื่อที่จะฟังท่านเหล่านั้น สุดท้ายท่านผู้บรรลุทั้งหลายก็จากโลกนี้ไปอย่างเงียบงัน

ในความเงียบไม่เคยไร้เสียง แต่เสียงในความเงียบมักสร้างแรงบันดาลใจ มักสร้างกำลังใจให้เราได้เสมอ เมื่อเกิดความเงียบก็เกิดการฟังอย่างใจจดใจจ่อ มีคนเคยให้ข้อสังเกตเอาไว้ว่า ความเงียบในภาษาอังกฤษ คือ SILENT และลองนำตัวอักษรมาเรียงใหม่ก็จะเกิดคำว่า LISTEN ซึ่งแปลว่า ฟัง ใช่หรือไม่ เมื่อเรายังไม่รู้จักความเงียบและจะฟังกันได้เช่นไรเล่า

ปัญหาหลัก ปัญหาใหญ่ของคนสมัยนี้คือขาดการรับฟังกัน หรือไม่ก็ฟังแบบหูทวนลม ฟังแบบขัดแย้ง ฟังแบบโต้เถียงในใจตลอดเวลา สังคมจึงเต็มไปด้วยผู้มีความรู้แต่ไร้ปัญญาในการแก้ปัญหา พอไม่ฟังกัน ต่างคนต่างมีดี ต่างคนต่างอวดเบ่ง อวดเก่ง ผมจบดอกเตอร์ ฉันเป็นอาจารย์ ผมเป็นผู้เชี่ยวชาญ ฉันเป็นนักวิชาการ แล้วใครล่ะเป็นคนฟัง ทุกคนต่างแสดงทัศนะในความคิดของข้าพเจ้ากันหมดอย่างนี้

เราต่างตะเกียกตะกายให้กลายเป็นคนเก่ง เป็นผู้นำความคิดกันหมด ใช่หรือไม่ บางครั้งเราพยายามพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าจริงคิดว่าใช่ หลายครั้งรู้ทั้งรู้ว่ามันไม่จริงแต่กลัวเสียหน้า เสียฟอร์ม พูดไปพูดมาเรายังเชื่อในคำพูดโม้ คำโกหกของตัวเอง สร้างรูปแบบให้กับตัวเอง สร้างอัตลักษณ์ใหม่มาปิดบังความกลวงโบ๋ หากวันใดใจสงบนั่งทบทวนวงจรชีวิตที่ผ่านมา เราจะเห็นว่า หลายครั้งเราก็ขายวิญญาณไปกับการแสดงอวดรู้อวดเก่ง ตราบใดที่เรายังถามหาความเงียบเราก็ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริง ตราบใดที่เราไม่อยู่กับความเงียบเราก็ถอยห่างจากความจริง และตราบใดที่เรายังเงียบไม่เป็นเราก็ยังต้องเหน็ดเหนื่อยต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ความเงียบเกิดได้อย่างไรในสังคมแห่งความหลากหลายของสรรพเสียง จะทำอย่างไรที่จะแยกแยะให้ออกว่า เสียงไหนควรฟังเสียงไหนไม่ควรฟัง คงเป็นคำถามที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ

คำตอบ คือ ต้องรู้จักฟังความเงียบ และในนั้นมีคำตอบ มีพลังให้เราเสมอ สรรพเสียงภายนอกหากจะใช้ให้เป็นเสียงนำสู่ความสงบภายในย่อมเป็นสิ่งประเสริฐ

ความเงียบแท้จริงอยู่ที่ใจ ใครรู้ใจตน คนนั้นฟังเสียงของพระเจ้าได้ไม่ยาก ใยต้องถามหาความเงียบที่แอบซ่อนเร้นอยู่ภายในใจเรา....

ไม่มีความคิดเห็น: