วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

ตามหาสันติภาพสุดขอบฟ้า

ตามหาสันติภาพสุดขอบฟ้า

ทั่วโลกต่างกำลังประสบกับอากาศที่เลวร้ายชนิดว่าไม่เคยมีมาก่อน หลายเมืองหลายประเทศในยุโรปขาวโพลนไปด้วยหิมะที่ตกลงมาจนกระทั่งแทบไม่มีที่ว่างเว้นให้แผ่นดิน ต้นหญ้า ใบไม้ได้หายใจหายคอ ภัยธรรมชาติยังคงตามเล่นงานมนุษย์ยุคเราอย่างไม่หยุดหย่อน ขณะที่กำลังเขียนบทความนี้อยู่ที่ประเทศเฮติก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงทำให้มีผู้เสียชีวิตไปเป็นร้อยเป็นพัน สิ่งที่มนุษย์มีความเห็นร่วมกัน คือ นี่คงเป็นผลกระทบจากภาวะโลกร้อน แต่เกือบทุกคนก็ยังไม่ได้ลงมือทำให้โลกเย็นขึ้นเลย โดยเฉพาะโลกภายในของแต่ละคน ต่างยังคงร้อนรุ่มไปด้วยไฟแห่งความละโมบโลภมากอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

จิตใจที่เย็นลงของมนุษย์เพียงผู้หนึ่ง จะนำผลมาซึ่งความร่มเย็นในทุกอณูผิวของโลกใบนี้ ตั้งแต่เราเกิดก็ได้ยินได้ฟังเรื่องการเรียกร้องหาสันติภาพ โตขึ้นก็ยังร่วมกันตามหาสันติภาพจนสุดหล้าฟ้าเขียว แต่จะมีสักกี่คนที่เร่งสร้างสันติ เร่งสร้างความสงบในจิตใจให้เกิดขึ้น สันติภาพย่อมเกิดขึ้นจากการไม่เห็นแก่ตัว โดยการทำใจของตนเองให้อยู่เหนือความอยากได้ใคร่มี จิตก็จะผ่องใส ใจก็จะบริสุทธิ์ จิตใจก็เยือกเย็นเป็นอิสระ ก่อเกิดสันติสุขภายใน

ใช่หรือไม่ เรามักจะได้ยินอยู่เสมอว่า ทำไม ทำไม โลกนี้จึงขาดแคลนสันติภาพ ?
มีหลายๆเหตุผลที่ทุกคนต่างคิดต่างไตร่ตรอง บ้างก็ว่าสันติภาพต้องเริ่มจากบรรดาผู้นำประเทศที่ยิ่งใหญ่ บ้างก็ว่าการก่อสงคราม โดยการส่งทหารไปรบราฆ่าฟันกัน โดยอาศัยข้ออ้างเพื่อสันติภาพนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้โลกแร้นแค้นสันติสุข หากเราได้พิจารณาดูอย่างละเอียดแล้ว ก็พบว่าสาเหตุที่ทำให้โลกนี้ ขาดแคลนสันติภาพ ก็เพราะเราทุกคนคิดเช่นกันว่า เรายังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังขาดอยู่ จึงพยายามที่จะแสวงหาและไขว่คว้ามาให้ได้ แค่เพียงพอยังไม่พอใจ ต้องแสวงหา สะสมให้มากๆขึ้นไป หาให้แก่ตนเองอย่างไม่รู้จักจบสิ้น

ปากก็เรียกร้องสันติภาพ มือก็ไขว่คว้า สาวได้สาวเอา ตาก็ขยิบ กระเป๋าก็เขยิบให้ผลกำไรโบยบินเข้าใส่ หลายครั้งในชีวิตจริงการสงครามภายในนั้นหนักหนาสาหัส ในวันที่เห็นเงินทองกองและลอยล่องอยู่เต็มหน้า ใจหนึ่งก็อยากร่ำรวยมีทรัพย์สินให้ใช้อย่างเพลิดเพลินมือ ใจหนึ่งก็ยับยั้งชั่งใจว่าเงินตราเหล่านั้นกำลังไล่ล่า ฆ่ากินอุดมการณ์และจิตวิญญาณของมนุษย์ผู้ซึ่งเกิดมาอาศัยโลกเพียงไม่เกินสามหมื่นวันให้หมดสิ้นไป

การจะชนะสงครามภายในได้ เราต้องพยายามที่จะรบด้วยปรีชาญาณ ต้องเร่งทำลายข้าศึก ทำลายความมักมาก ความละโมบ ความหลงให้หมดสิ้นไป สันติภาพอันแท้จริงนี้ ย่อมหมายถึง ความเจริญงอกงามทางจิตวิญญาณ ของมนุษย์

ในปัจจุบัน นับวันเรายิ่งจะห่างไกลจากสันติภาพ เพราะต่างก็มีการส่งเสริม ความเป็นปัจเจก ส่งเสริมความเด่น ดัง โก้หรู เป็นเซเลบ (CELEBRITY) ต้องเป็นไฮโซ ต้องมีสไตล์ชีวิตที่ฟู่ฟ่า หาสาวควงไม่ซ้ำหน้า เปลี่ยนหนุ่มเคียงข้างไม่เว้นวัน สังคมแบบนี้ถือว่าเป็นอุปสรรค เป็นต้นเหตุแห่งวิกฤต ขาดแคลนสันติภาพ ที่ขัดขวางการพัฒนา "สันติภาพ" ให้เกิดขึ้นในโลก และภายในจิตใจของตนเอง

สังคมที่ถูกสร้างขึ้นแบบจอมปลอม และถึงเวลาก็ให้คนเด่นดังเหล่านั้นมาอ้าปากพูดเรื่องการสร้างสันติภาพ ให้ดูดีหน่อยก็จัด อีเวนต์ (EVEN) เขียนป้าย แห่ขบวน สร้างรายได้เข้ากระเป๋าโดยใช้คอนเซปต์ Concept เรื่องสันติภาพ สังคมที่หลอกกันไปลวงกันมา จิตใจผู้คนถูกหล่อหลอมให้กลายเป็นตัวละครโดยผู้มีเงิน มีกิเลศเป็นผู้เขียนบทและกำกับการแสดง คนเล่นก็อินคนดูก็เคลิ้มตาม ทำไปทำมา อันไหนล่ะตัวตนที่แท้จริง

แล้วเราก็ตามหาสันติภาพสุดขอบฟ้ากันอยู่ทุกปี จริงๆแล้วสันติภาพมันอยู่ภายในตัวเรานี่เอง การที่จะรอดจากวิกฤตการณ์ชนิดนี้ได้นั้น อยู่ที่การทำลาย ความเห็นแก่ตัว เราจะต้องมีชีวิตอยู่โดยไม่มีความเห็นแก่ตัว การที่จะสร้างสันติภาพให้แก่โลกนั้น

ในขั้นแรกที่สุดต้องเริ่มจากตัวเรา เรียนรู้จักหนทางชีวิตที่แท้จริงที่เราต้องเป็น ต้องอยู่ ต้องทำอย่างไร หาสันติสุขภายในให้พบ จากนั้นก็ขยายสันติภาพนั้น
ให้คนรอบข้าง โดยการมองเห็นคุณค่าของคนใกล้ตัว สร้างบรรยากาศแห่งความสงบ หยุดการยุยงส่งเสริม ให้ร้ายผู้อื่น หยุดหลอกตัวเองและคนใกล้ตัวว่าไม่มีชั่วมีแต่สิ่งดีงาม โลกมีสองด้านเสมอ หากเราปรับสมดุลได้สันติสุขก็ตามมา จากนั้นแพร่หลายออกไปยังสังคมโดยกว้างขวาง ในวันนั้นในงานเลี้ยงนั้น เป็นแม่พระมิใช่หรือ ที่อาศัยความมีสันติสุขภายในเข้าใจเจ้าของงาน เพียงแค่เอ๋ยปาก พระเยซูเจ้าก็ทรงกระทำอัศจรรย์ ทุกคนในงานจึงเกิดความสุขกันทั่วหน้า เรามาร่วมกันสร้างสันติภาพภายนอกให้เกิดเป็นสันติสุขภายในหัวใจ ของเรากันก่อน ดีกว่าจะไปวิ่งไล่ล่าจนสุดขอบฟ้า อย่างไรเสียก็ไม่มีทางเจอ.....

ไม่มีความคิดเห็น: