วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

ให้ไม่ยาก แต่ไม่อยากให้

ให้ไม่ยาก แต่ไม่อยากให้

เคยสังเกตไหมว่าในโลกปัจจุบันทุกวันนี้ ชีวิตส่วนตัวของเราถูกคุกคาม ถูกบั่นทอนลงไปด้วยเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ ที่ทุกคนเสพติดจนไม่สามารถจะถอนถอยห่างจากมันได้ ถ้ากล่าวในด้านดี นี่เป็นยุคที่ทุกคนสามารถจะเชื่อมโยงความสัมพันธ์กันได้ เป็นยุคที่แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แลกเปลี่ยนทุกข์-สุข กันได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว และเป็นอีกหนทางที่จะนำความรัก ความดีงาม จากพระธรรม คำสอน เผยแผ่ออกไปให้กว้างไกล แต่เอาเข้าจริงการณ์กลับเป็นเช่นนั้นไม่ เครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่คล้ายจะเป็นเชื้อร้ายค่อยๆ กัดกร่อนจิตวิญญาณของคนในสังคม สิทธิความเป็นส่วนตัวถูกกัดกินจนแหว่งวิ่น หลายคนโดยไม่รู้ตัวมิอาจทนความโดดเดี่ยวอ้างว้างจะต้องเชื่อมต่อสื่อสารกับใครสักคนตลอดเวลา ผู้ถูกเชื้อร้ายกัดกินล้วนกลายเป็นเหยื่อโดยเต็มใจและไม่รู้ตัว

คนสมัยนี้โหยหาอะไรกัน คนเราวันนี้ต้องการสิ่งใดกัน และทำไมในหัวใจจึงเปี่ยมล้นไปด้วยความเหงา อาจเป็นเพราะเราแต่ละคนไม่เคยคิดออกจากตัวเอง มีแต่เรียกร้องขอความเห็นใจ โหยหาความเข้าใจจากคนอื่น การให้ การสร้างความสุข ด้วยการมอบความเมตตา ให้ความอาทร ให้กำลังใจมันหายไปจากสังคมไทยอย่างน่าใจหาย ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงไม่มากก็น้อยมาจากการที่เราขาดความใส่ใจกัน แม้แต่คนใกล้ตัว คนรอบข้าง เห็นกันเป็นเพียงสิ่งเคยชิน เป็นคนคุ้นเคย ก็เลยปฏิบัติต่อกันแบบเดิมๆ ไม่ได้เพิ่มเติมความห่วงหาอาทรต่อกัน เป็นไปได้ไหมถ้าเราจะลองเรียกรักให้กลับมาโดยไม่ต้องเรียกร้อง ทำแบบง่ายๆด้วยการสร้างสุข สร้างรอยยิ้ม สร้างวันที่ดีคืนที่งดงามให้แก่กันและกัน

มีชาย 2 คน ป่วยหนักทั้งคู่ และบังเอิญมาอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน ในห้องเดียวกัน ชายคนแรกจะต้องลุกขึ้นนั่งบนเตียงวันละ 1 ชั่วโมง ในทุกๆบ่าย เพื่อให้ของเหลวไม่ท่วมปอด ในขณะที่ชายคนที่สองจะต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา ชายคนแรก ได้นอนติดหน้าต่างซึ่งมีอยู่บานเดียวในห้องนั้น

ทั้งสองคนใช้เวลาส่วนใหญ่พูดคุยกันในเกือบทุกเรื่อง ทั้งเรื่องครอบครัว ภรรยา บ้าน ที่ทำงาน ตอนไปเกณฑ์ทหาร เวลาไปเที่ยวพักร้อน ในช่วงเวลา 1 ชั่วโมงของทุกๆ บ่ายนั้น เมื่อชายคนแรกได้ลุกขึ้นนั่งนั้นเขาก็จะเล่าให้ชายคนที่สองฟังถึงสิ่งต่าง ที่เขาได้เห็นจากหน้าต่างบานนั้น

นานวันเข้าโดยไม่รู้ตัว ชายคนที่สองก็รอคอยช่วงเวลาชั่วโมงนั้นทุกวัน เพราะเป็นช่วงเวลา ที่เขาจะได้รับรู้ถึงความสนุกสนานความรื่นเริงและสีสันของโลกภายนอก ที่มองจากทางหน้าต่าง จะมีสวนสาธารณะ ซึ่งตรงกลางมีบึงใหญ่มีเป็ดและหงส์ว่ายน้ำไปมา เด็กๆ ก็มาเล่นเรือลำเล็กๆที่บึงนี้ รอบๆ สวนเต็มไปด้วยแปลงดอกไม้หลากสีสัน คู่รักมาเดินเล่นพูดคุยกันอย่างมีความสุข มองออกไปไกลๆก็จะเห็นเส้นขอบฟ้าที่ตัดกับตึกระฟ้าของเมือง ทุกๆ ครั้งที่ชายคนแรกบรรยายสิ่งที่เขาได้เห็นจากหน้าต่างนั้น ชายคนที่สองก็จะหลับตาและก็จินตนาการถึงภาพต่างๆไปด้วยเสมอ แม้กระทั่งในบ่ายวันหนึ่งที่ชายคนแรกเล่าให้ฟังว่า มีขบวนพาเหรดผ่านไป ชายคนที่สองก็เห็นภาพผู้คนในขบวนพาเหรดในชุดหลากสีสัน เดินตามจังหวะเพลงอย่างสนุกสนาน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยินเสียงเพลงเลยแม้แต่น้อย

เวลาผ่านไป เช้าวันหนึ่ง เมื่อพยาบาลจะเข้ามาเช็ดตัวตามปกติก็พบว่า ชายคนแรกได้จากไปแล้วอย่างสงบ ไม่นานนักชายคนที่สองก็ได้ขอร้องพยาบาลให้เขาย้ายไปนอนติดกับหน้าต่างแทน ซึ่งเธอก็ไม่ขัดข้อง เมื่อย้ายเตียงเรียบร้อยแล้ว ชายคนที่สองก็ค่อยๆขยับตัว ถึงแม้จะเจ็บ เขาก็พยายามยันข้อศอกขึ้น เขาต้องการจะเห็นสิ่งที่เขาได้รับฟังมาตลอดจากชายคนแรก จากสิ่งต่างๆที่อยู่นอกหน้าต่างนั้น

ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ เขามองออกไปนอกหน้าต่าง สิ่งที่เขาเห็น คือ กำแพงที่ว่างเปล่า เขาไม่รีรอที่จะถามกับพยาบาลด้วยความสงสัยว่า ทำไมชายคนแรกถึงได้เล่าให้เขาฟัง ถึงสิ่งสวยงามต่างๆ ที่เกิดขึ้นนอกหน้าต่างนั้นตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน พยาบาลบอกให้เขาทราบว่า ชายคนแรกนั้นตาบอดและเขามองไม่เห็นอะไรเลย แม้กระทั่งกำแพงนั้น บางทีเขาแค่อาจจะอยากคอยให้กำลังใจคุณนะคะ

ในการทำให้ผู้อื่นมีความสุขนั้น ก่อให้เกิดความสุขที่ยิ่งใหญ่กว่า ความเศร้าหมองเมื่อได้รับการแบ่งเบาจะบรรเทาไปได้ครึ่งหนึ่ง แต่ความสุขเมื่อได้ถูกแบ่งปันจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เพียงแค่ให้น้ำแก้วเดียวในนามของพระคริสต์ เราก็จะได้บำเหน็จแล้วในสวรรค์ และถ้าเราทำให้คนรอบข้าง คนใกล้ตัวมีความสุข สวรรค์ก็เกิดขึ้นแล้วในวันนี้ วันหน้า และจะคงอยู่ตลอดไป ให้นั้นน่ะไม่ยากแต่เราก็ไม่อยากทำกันมากกว่า...

ไม่มีความคิดเห็น: