ฟากฝั่งสังคมใหม่
หากเปรียบสังคมในวันนี้เป็นเป็นดั่งท้องทะเล เป็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เราๆท่านๆก็คงกำลังออกแรงว่ายอยู่ใจกลางทะเล ต่างว่ายต่างวนกันอยู่ในนั้น ต่างคนต่างฝ่ายก็พยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อจะเข้าหาฝากฝั่งให้ได้ดั่งหวัง แต่ก็ไม่รู้ว่ามีฝากฝั่งฝันนั้นจริงไหม !!!! เมื่อต่างคนต่างว่าย ต่างคนต่างไป เราก็เลยละเลย เหลียวมามองคนรอบข้าง คิดแต่เพียงว่า ทำไมเราช่างโดดเดียวกลางมหานทีเช่นนี้เล่า แถมยังไม่ยอมที่หยุดพักลอยคอ ตั้งสติ เพื่อจะได้หาทาง เพื่อจะร่วมไม้ร่วมมือ ช่วยกันจูงมือ ประคับประคองกันไปให้ถึงฝากฝั่งนั้น
ใช่หรือไม่ มนุษย์นับวันจะโน้มเอียงไปในทางเป็นวัตถุมากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยอมถอยห่างออกไปจากแก่นกลางของจิตวิญญาณ ซึ่งถือว่าเป็นจุดสมดุล มนุษย์เราทั่วทั้งโลกเวลานี้ตกอยู่ในภาวะ “วุ่นวาย ว้าวุ่น ตะเกียกตะกาย สับสน อลหม่าน” เนื่องเพราะขาดสมดุลระหว่างร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ มองเรื่องภายในเป็นเพียงสุขภาพจิต ไม่ได้มองลึกลงไปในมิติคุณค่าทางด้านจิตใจ ต่างก็โผเข้าเกาะวัตถุโดยไร้การสังเคราะห์ พินิจ พิจารณา หลงใหลในรูปที่เรียกว่า เทคโนโลยีบ้าง ระบบการสื่อสารทันสมัยใหม่บ้าง นวัตกรรมใหม่ๆบ้าง คิดค้นระบบแบบใหม่เพื่อพัฒนาสังคมในรูปของทุนนิยมบ้าง บริโภคนิยมบ้าง ระบบเศรษฐกิจแนวใหม่ การตลาดนิยม เป็นต้น
เศรษฐกิจโลกพังคลืนลง หากมองให้ลึกๆ ค้นหาให้สาเหตุให้นานๆจะพบว่าเพราะทุกคนหันไปยึดวัตถุ ผู้บริหารสถาบันระดับโลกหลายคนใช้ “จิตวัตถุ” ทุจริต กอบโกย และโกงกินด้วยความละโมภ สุดท้าย สิ่งที่ได้จากสังคมวัตถุที่ขาดการสังเคราะห์ คือ ความล้มเหลว และล้มสลายของระบบต่างๆที่คิดค้นกันขึ้นมา
สถานบันหลักในสังคมแบบเก่าก็ถูกเปลี่ยนโฉม แปลงรูปแบบไปอย่างไม่เหลือเศษซากและแก่นแท้ ระบบครอบครัวใหม่ พ่อไปทาง แม่ไปทาง ลูกหลานเลยหลงทาง เนื่องเพราะขาดการมองคุณค่าของกันและกัน ประเมินฉันและเธอเป็นเพียงวัตถุ แทนค่ากันเป็นด้วยมาตรวัดแบบวัตถุนิยมและเศรษฐศาสตร์นิยมที่ต้องมีผลกำไร ต่างคนต่างเก่ง เป็นยุคที่ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ต่างคนต่างมุ่งหน้าไปยังฝากฝั่งที่เรียกว่า “ความสำเร็จ” ด้วยตัวเอง ความสำเร็จที่วัดกันด้วยการมีบ้านหลังใหญ่ มีรถหรูให้ขับ มีโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุด เป็นเจ้าของเทคโนโลยีสมัยใหม่ Mp3 Mp4 Mp7 ต้องมีเงินเดือนสูง ต้องมีตำแหน่งแห่งหนได้เป็นผู้บริหาร มีงบประมาณก้อนโตให้ใช้สอย แต่แล้วในใจกลับไร้รัก ในใจไร้ความห่วงหาอาทรต่อคนใกล้ชิด ความสนิทสนมกับคนรอบข้างเริ่มจางหาย ครอบครัวไม่เป็นครอบครัวอีกต่อไป เพราะขาดการมีส่วนร่วมระหว่างสมาชิก มีบ้านหลังใหญ่ให้อยู่ก็จริงแต่กลับหว้าเหว่ มีรถให้ขับก็จริงที่ก็งียบเหงา มีโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดใช้ก็จริงที่ทำไมรู้สึกโดดเดียว มีสิ่งอำนวยความสะดวกตั้งมากมายแต่กลับวุ่นวายหามาเติมเต็มอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและพอเพียง
และเมื่อระบบครอบครัวเริ่มล้มสลายกลายเป็นระบบคนเคยอยู่ คนเคยเคียง เตียงก็เริ่มแยก ในระบบสังคมที่ใหญ่ที่ต้องอาศัยอยู่ร่วมกันในที่ทำงาน เป็นองค์กรใหญ่ ก็ยิ่งไม่หลงเหลือเชื้อแห่งความสันติสุข มีแต่การแข่งขัน แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น เห็นใครได้ดีไม่ได้ต้องเข่นฆ่าให้จมหายตายจากกันไป คนที่อาศัยชายคา อาศัยอาคารเดียวกันกลับกลายเป็นคนต่างหน้า เป็นคนแปลกแยก ไม่มองหน้าไม่สบตากัน มีแต่ความหวาดระแวง ชีวิตปราศจากความสุขจากวิถีชีวิตประจำวัน มาทำงานแบบไร้ใจ จดจ่ออยู่กับผลตอบแทนที่จะได้รับในวันสิ้นเดือน ทำงานในตึกสูงแต่ทำตัวเป็นเกษตรกรที่ชอบปลูกผักชี และมีบ้างบางคนที่ชอบทำตัวเกินตำแหน่งหน้าที่ชอบโอ้อวดความเก่งกาญ ชอบพูดมากๆโดยไม่ชอบธรรม (ทำ) ความเป็นส่วนร่วมเป็นหนึ่งในสถาบันก็หายไปหมด
การแตกแยกของคนในชาติ ในสังคมโลกนับวันก็ยิ่งเพิ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น เชื้อแห่งการเกลียดชังก็ถูกจุดติดได้ง่าย ฝากฝั่งแห่งสันสุขก็ยิ่งไกลลิบออกไปทุกที
การยึดมั่น ถือมั่นมากเกินไปในสังคมวัตถุนั้น ไม่เคยทำให้สุขกาย สุขใจ ได้อย่างแท้จริง เป็นเหมือนการว่ายจากฝั่งสู่ทะเล เห็นน้ำจรดขอบฟ้าอยู่ลิบๆ แต่ว่ายเท่าไหร่ๆ ก็ยิ่งไกล และไปไม่ถึง ต่อเมื่อ “กลับตัวกลับใจ” ได้เมื่อไหร่นั่นแหละ คือ “ฟากฝั่ง” การกลับตัวกลับใจนัยหนึ่ง คือ การกลับคืนสู่ “จุดสมดุล” ที่มีแก่นอยู่ที่จิตใจ ที่ต้องอาศัยความรัก การให้อภัย เหมือนกับเด็กเล็กๆที่ไปอยู่กับใครก็ได้ เพราะจิตใจของพวกเขาไร้มลทินและพร้อมที่จะปรับตัวเสมอ ใช่หรือเปล่า เราทุกคนก็เคยเป็นเด็กมาก่อน แต่จิตใจแบบเด็กในตัวเราไปหายไปไหนกันหมด หรือเป็นเพราะเราหลงลืมฝากฝั่งเก่าๆชอบที่จะออกว่ายไปหาฝากฝั่งสังคมใหม่ที่ดูไกลแสนไกลและเราจะมีวันไปถึงหรือไม่ยังไม่รู้ สุดท้ายเราคงหมดแรงลงก่อน...อย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น